บทที่ 172 บ้านผีสิง
เวลาย่ำค่ำ เมื่อส่งนักโทษประหารไปเกิดใหม่สำเร็จ ซ่งชิงผู้มีใต้ตาคล้ำหมองเตรียมจะลงไปหาอะไรกินเพื่อแก้ปัญหาปากท้อง

เขาเดินไปพลาง ครุ่นคิดไปพลาง “ไม่ได้ การปลูกถ่ายอวัยวะสามารถใช้ได้กับร่างกายคน เช่นอวัยวะภายในที่เสียหายสามารถนำมาทดแทนกันได้ ถ้าอย่างนั้น ลองทำอะไรที่มันละเอียดกว่านั้นได้ไหมนะ อย่างปลูกแขนขาที่ขาดขึ้นมาใหม่…อืม นี่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของจอมยุทธ์ระดับสาม แต่ถ้าข้าไขความลับการเล่นแร่แปรธาตุได้ มันจะต้องสั่นสะเทือนทั้งใต้หล้าแน่นอน”

“สวี่หนิงเยี่ยนเคยบอกว่าการเล่นแร่แปรธาตุกับสิ่งมีชีวิตควรจะเป็นสิ่งละเอียดอ่อนกว่านั้น…แต่ตาเปล่าของคนไม่อาจมองเห็นสิ่งเล็กๆ ราวฝุ่นผงเหล่านั้นได้นี่นา…จริงสิ ข้าสามารถสร้างสิ่งของที่คล้ายกับกล้องส่องทางไกลได้”

กล้องส่องทางไกลนั้นมีอยู่ หลังจากค้นพบกระจกแล้ว กระจกเว้า กระจกนูนก็ถูกการพัฒนาตามมาในไม่ช้า กล้องส่องทางไกลจึงเป็นของสามัญในกองทัพ มักจะอยู่ติดตัวทหารทั่วไปเสมอ

แต่หน่วยสอดแนมชั้นยอดไม่ค่อยได้ใช้ เพราะหลังจากอยู่ระดับหลอมปราณแล้ว วิสัยทัศน์ของทหารก็จะยิ่งยกระดับสูงมากขึ้น ยิ่งพลังแข็งแกร่ง ประสาทสัมผัสทั้งห้าก็ยิ่งแข็งแกร่งตาม กล้องส่องทางไกลจึงเป็นแค่ซี่โครงไก่ไร้ประโยชน์

“กลิ่นหอมมาจากไหน” ซ่งชิงสูดดม

เขาตามกลิ่นหอมไป เดินไปยังห้องครัวที่อยู่ชั้นล่าง มองเห็นฉู่ไฉ่เวยกำลังสั่งการคนชุดขาวสองสามคนอยู่ ในหม้อกำลังต้มอะไรบางอย่าง

“โอ๊ะ มีน้ำแกงไก่ด้วย ศิษย์น้องไฉ่เวยช่างใส่ใจจัง” ซ่งชิงเห็นว่าในหม้อเล็กตุ๋นไก่อยู่ ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมา

“ไปๆๆ” ฉู่ไฉ่เวยไล่เขา “นี่คือการเล่นแร่แปรธาตุที่สวี่ชีอันสอนข้า ถ้าทำสำเร็จ จะทำให้มีของอร่อยแพร่ไปทั่วหล้า”

พอได้ยินฉู่ไฉ่เวยอธิบายหลักการของผงปรุงรสไก่และผงชูรสออกมา ซ่งชิงก็ไตร่ตรองดูแล้วถอนหายใจ “สวี่หนิงเยี่ยนช่างแปลกคนจริงๆ”

ใช่แล้ว นี่ก็คือการเล่นแร่แปรธาตุ

หลอมแก่นของสมุนไพรออกมาเป็นเม็ดยา กลั่นเหล็กกล้าออกมาจากหินแร่เพื่อสร้างเป็นอาวุธ และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือการสกัดรสชาติสดใหม่ในเห็ดหอมออกมาเป็นผงชูรส

สอดคล้องกับความรู้ที่เขาบรรยายในการเปิดชั้นเรียนวันนั้นพอดี

การเล่นแร่แปรธาตุรวมขอบเขตสาขามากมายเอาไว้ เคล็ดลับคือสกัดสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านั้นออกมา

“ผงชูรสที่เขาบอกมาข้ายังไม่เข้าใจนัก เพราะเขายังไม่ได้บอกกระบวนการทำ แค่พูดให้ฟังคร่าวๆ ว่าสกัดออกมาจากการหมักธัญพืช” ฉู่ไฉ่เวยกล่าว

“ศิษย์พี่จะช่วยเจ้าเอง” ซ่งชิงลูบหัวฉู่ไฉ่เวย

การซ่อมแซมบ้านใหม่เสร็จสิ้นก่อนกำหนดสองวัน สวี่ชีอันลาพักงานจากหน่วย แล้วมาช่วยอารองกับอาสะใภ้ย้ายบ้าน

อาสะใภ้ผู้สวมชุดผ้าไหมสีเขียวเข้มทับด้วยเสื้อคลุมสีเดียวกันไว้ชั้นนอก ยืนเท้าเอวด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างโบกผ้าเช็ดหน้า บุคลิกช่างเหมือนกับแม่ทัพผู้นำทหารเข้าร่วมรบ นิ้วชี้โบกสั่งให้คนรับใช้ขนย้ายสิ่งของ

หากเปลี่ยนเป็นฮูหยินหน้าตาธรรมดาทั่วไป การแสดงกิริยาปากตลาดอย่างเข้มข้นเช่นนี้คงไม่เป็นที่น่าพอใจนัก

แต่พอเปลี่ยนเป็นฮูหยินน้อยวัยยี่สิบหกแต่ทำตัวเหมือนวัยสามสิบต้นๆ อย่างอาสะใภ้ผู้มีดวงหน้างามหยดย้อยเรือนร่างอรชรอวบอิ่ม มันกลับเป็นภาพชวนพิสมัย

สวี่ชีอันครุ่นคิดว่า น้องสาวข้างกายผู้มีหน้าตางดงามและมีเครื่องหน้าได้สัดส่วนผู้นั้น หากผ่านไปอีกยี่สิบปีนางจะมีเสน่ห์ไร้ที่สิ้นสุดแบบแม่ของนางหรือเปล่านะ หรือจะยอดเยี่ยมยิ่งกว่า

เอ๊ะ หลิงเยวี่ยก็ถึงวัยออกเรือนแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มคนไหนจะโชคดีได้แต่งกับเด็กสาวงามขนาดนี้…สวี่ชีอันทอดถอนหายใจที่ ‘สตรีเติบใหญ่แล้วต้องออกเรือน’ ก่อนก้มหน้าก้มตาช่วยอารองย้ายของ

เพราะจ้างรถม้ามามากพอ ขนเพียงสองรอบ การขนย้ายของในจวนก็เสร็จสิ้น ส่วนของจิปาถะทั้งหลายนั้น อาสะใภ้กะว่าจะถือโอกาสนี้ซื้อของใหม่จากเมืองชั้นในเสียเลย

อาสะใภ้และอารองเป็นผู้อาวุโส แม้ว่าสวี่ชีอันจะเป็นคนซื้อบ้าน แต่ห้องหลักทางตะวันออกก็มอบให้ทั้งคู่อาศัย

ตอนที่แบ่งห้องกันนั้น สวี่หลิงเยวี่ยที่อ่อนโยนมาตลอดก็ทะเลาะกับอาสะใภ้อย่างหาได้ยาก

บ้านสามทางเข้ามีขนาดใหญ่มากก็จริง แต่เรือนชั้นในที่ใจกลางนั้นมีห้องอยู่จำกัด ห้องรับแขกและบริเวณที่พักของคนรับใช้ที่อยู่ติดกันนั้น เจ้านายไม่สามารถอาศัยอยู่ได้

ตามเจตจำนงของอาสะใภ้ ห้องปีกตะวันตกนั้นให้เป็นห้องของสวี่ชีอัน ถึงอย่างไรในอนาคตเขาก็ต้องแต่งสะใภ้

แต่สวี่หลิงเยวี่ยผู้หน้าหนาก็อยากไปอยู่ที่นั่น จะอยู่ติดกับพี่ใหญ่

อาสะใภ้บอกว่า “เจ้าเป็นสตรีเติบใหญ่แล้วยังจะอยู่ใกล้กับพี่ชายอีก ไม่รู้จักอายเสียบ้าง”

สวี่หลิงเยวี่ยร้อนใจขึ้นมาทันที โต้เถียงเสียงดัง ทั้งยังทะเลาะกับมารดาอีก

สุดท้ายนางก็ได้อยู่ที่ห้องปีกตะวันตก แต่อาสะใภ้ก็ได้จัดห้องของเอ้อร์หลางไว้ที่ปีกตะวันตกเช่นกัน นางได้ปรึกษากับสวี่ชีอันแล้ว รอให้ภายหลังเขาแต่งสะใภ้มาค่อยให้หลิงเยวี่ยกับเอ้อร์หลางย้ายไปอยู่ที่ห้องทางเหนือ

สวี่ชีอันไม่ค่อยยินดีนัก เพราะหากอยู่ใกล้กันเกินไป เขาที่ชอบไปสำนักสังคีตดึกดื่นไม่กลับห้อง น้องสาวก็ต้องพบเห็นน่ะสิ พอถึงเวลานั้นก็จะมาบ่นอีก

ส่วนสวี่หลิงอินถูกจัดให้ไปอยู่ในห้องของท่านอาและอาสะใภ้ เด็กน้อยชินเตียงและชินสภาพแวดล้อม อาสะใภ้จึงกลัวว่าตอนกลางคืนเด็กหญิงจะนอนไม่สบายแล้วฝันร้าย

ถึงอย่างไรห้องปีกตะวันออกก็ใหญ่เป็นพิเศษ มีห้องอยู่ติดกันตั้งสามห้อง

สวี่ชีอันตกแต่งห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว เรือนเล็กหลังเดิมของเขาแทบจะไม่มีของตกแต่งใดๆ ดังนั้นของที่ต้องใช้ประดับจึงมีไม่มาก

เขาเดินไปรับแสงอาทิตย์นอกห้อง มองเห็นสวี่หลิงอินนั่งยองๆ อยู่ข้างบ่อน้ำคนเดียว ท่าทางหวาดกลัวเสียจนใบหน้าน้อยๆ ซีดขาว แต่กลับพยายามอดทนไม่ให้ตนวิ่งหนีอย่างถึงที่สุด

“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่” สวี่ชีอันถาม

“พี่ใหญ่…” พอเห็นพี่ใหญ่ผู้มีความสามารถเข้ามา สวี่หลิงอินก็โล่งอก นางชี้ไปที่บ่อน้ำท่าทางหวาดกลัว “ตรงนี้มีผีสิง”

“แล้วเจ้ามานั่งอยู่ข้างบ่อน้ำทำอะไร” สวี่ชีอันไม่ค่อยเข้าใจนิดหน่อย

ในเมื่อรู้ว่ามีผี แล้วทำไมไม่หลบไปอยู่ไกลๆ เพราะหวาดกลัวเล่า ทำไมต้องมานั่งอยู่ข้างบ่อน้ำ แล้วยังมีท่าทางทั้งกลัวทั้งแน่วแน่อยู่อีก

“พี่หญิงบอกว่า ผีจะกินเด็กโดยเฉพาะ” สวี่หลิงอินขมวดคิ้วน้อยๆ

“แล้ว?”

นางเดินลับๆ ล่อๆ ทันที วิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาแล้วกระซิบบอก “ข้ากำลังหลอกให้มันออกมา ชู่ว…อย่าให้มันได้ยินล่ะ”

“???”

สวี่ชีอันมองนางด้วยความงุนงงอยู่นาน แล้วยกนิ้วโป้งให้ “ผู้รู้จักกินคือวีรบุรุษ”

มนุษย์ล้วนมีอุดมคติ สวี่หลิงอินอายุยังน้อย แต่ก็ตามหาอุดมคติของตนเจอแล้ว ‘โลกนี้ไม่มีอะไรที่กินไม่ได้ มีแต่ข้าอยากกินหรือไม่เท่านั้น’

เพื่อของอร่อย ก็สามารถใช้ตนเป็นเหยื่อล่อได้…ความมุ่งมั่นแน่วแน่เช่นนี้ ไม่ว่าจะพูดในแง่ไหนก็เป็นอัจฉริยะ

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พยายามต่อไป ถ้าหลอกให้ผีออกมาได้แล้ว พี่ใหญ่จะทำของอร่อยให้กิน” สวี่ชีอันลูบหัวนาง

“อื้ม!” สวี่หลิงอินแม้จะหวาดกลัวแต่ก็ยอมจิกหัวตนอย่างโหยหา

ก่อนย่ำค่ำ เขาได้จองห้องพิเศษของร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านใหม่เอาไว้ ทุกคนออกไปกินข้าวอย่างพึงพอใจอย่างยิ่ง แม้ว่าอาหารจะเทียบกับร้านกุ้ยเยว่ไม่ได้ แต่ก็ชนะในเรื่องราคาถูกและอยู่ใกล้ ต่อไปสามารถมาที่นี่บ่อยๆ ได้

สวี่ชีอันนอนอยู่ในห้องใหม่อันกว้างขวางสะดวกสบาย มองดูขื่อไม้บนเพดาน จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง

เหมือนว่าจะไม่ได้บอกเอ้อร์หลางเรื่องย้ายบ้านนะ

“ช่างเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่จำเป็นต้องกังวล นอนซะ”

ปีกตะวันออก

อาสะใภ้กล่อมสวี่หลิงอินให้หลับแล้วกลับไปที่เตียง มองดูสามีที่นั่งสมาธิตระหนักรู้อยู่บนตั่งเล็ก จู่ๆ นางก็เป็นกังวลขึ้นมา

“ท่านพี่ ต่อไปพอหนิงเยี่ยนแต่งสะใภ้แล้ว จะมาแย่งอำนาจดูแลบ้านกับข้าหรือไม่ จะบอกให้พวกเราย้ายไปอยู่ปีกตะวันตกไหมเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าลูกสะใภ้ที่ร้ายกาจมากๆ มักจะคิดหาวิธีมาต่อกรกับแม่สามี”

อาสะใภ้นั้นโชคดี ปีนั้นตอนที่แต่งให้กับอารอง บิดามารดาทั้งสองคนของบ้านสกุลสวี่ล่วงลับไปนานแล้ว นางจึงไม่เคยถูกแม่สามีชั่วร้ายกดขี่

แต่ถึงไม่เคยกินเนื้อหมู ก็ต้องเคยเห็นหมูวิ่งหนีบ่อยๆ [1]ยิ่งสวี่ชีอันเป็นคนซื้อบ้านหลังนี้เอง และนางที่ไม่ได้อยู่ฐานะ ‘แม่สามี’ จริงๆ ย่อมพูดได้ไม่เต็มปาก

สวี่ผิงจื้อลืมตา ครุ่นคิดดู “จากอารมณ์และนิสัยของเจ้าแล้ว สู้คนอื่นเขาไม่ได้หรอก”

“ฮึ!” อาสะใภ้พูดไม่ออก จึงแค่นเสียงฮึออกมา

สวี่ผิงจื้อเอ่ยปลอบ “ไม่แน่ในอนาคตหนิงเยี่ยนอาจแต่งภรรยาโง่เง่าเข้ามาก็ได้”

อาสะใภ้คิดดูแล้วก็ว่ามีเหตุผล ลอบอธิษฐานให้หลานชายแต่งภรรยาโง่เง่าเข้ามา แบบนี้นางก็สามารถรังแกคนอื่นได้แล้ว

“จริงสิ ยังไม่ได้เขียนจดหมายบอกเอ้อร์หลางเลย พวกเราย้ายบ้านใหม่ เขายังไม่รู้เรื่องนี้ เดี๋ยวกลับบ้านที่เมืองชั้นนอกจะไม่เจอพวกเรา” อาสะใภ้เป็นห่วงลูกชาย

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าไม่ค่อยรู้ตัวอักษรนัก” สวี่ผิงจื้อผู้ที่ไม่ได้รู้อักษรอะไรมากเช่นเดียวกันเอ่ยขึ้น

“ให้หนิงเยี่ยนเป็นคนเขียนเถอะ”

สองวันผ่านไป ชีวิตของสวี่ชีอันสงบเงียบอย่างยิ่ง ทุกวันไปลาดตระเวน ฝึกบำเพ็ญ มีเวลาว่างก็ไปแลกเปลี่ยนความรู้กับเว่ยเยวียนที่หอเฮ่าชี่

เพราะเรื่องการสิ้นอำนาจของเจ้ากรมโยธา การต่อสู้ระหว่างพรรคพวกฝักฝ่ายก็ลดลงไปไม่น้อย ไม่มีพรรคใดเพ่งเล็งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลชั่วคราว

ในตอนเย็น สวี่ชีอันกลับมาบ้าน พบว่าอารองไม่อยู่

“วันนี้ไปลาดตระเวน” อาสะใภ้ตอบกลับ

หรือไม่ก็อาจจะไปที่สำนักสังคีตแล้ว…สวี่ชีอันค่อนแคะในใจ

อารองเป็นนายกองของกองดาบ บางครั้งก็ลาดตระเวนยามกลางวัน บางครั้งก็ลาดตระเวนยามกลางคืน เนื้อหาทำงานเหมือนกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอันมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีมากมายติดต่อกัน สิ่งที่รอคอยเขาอยู่จึงเป็นงานกะกลางวันผสมกลางคืน

ก่อนหน้านี้สวี่ชีอันก็เชื่อใจอารองเหมือนกับอาสะใภ้ ทว่าทั้งแต่การ ‘บังเอิญพบกัน’ ที่สำนักสังคีตครั้งนั้น อีกทั้งต่อมายังมีการใช้เปลือกส้มมากำจัดกลิ่นน้ำหอมอีก สวี่ชีอันก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว

วาจาชาย เปรียบได้ดังหลอกผี

เหมือนว่าข้าจะไม่มีสิทธิ์ไปแขวะอารองนะ…สวี่ชีอันก้มหน้ากินข้าว

ตกกลางคืน สวี่ชีอันพลันตื่นขึ้นมาเพราะเสียงกรีดร้อง ขณะที่เขาลืมตาโพลงและพลิกตัวนั่ง มือก็ยื่นไปคว้าดาบยาวดำทองที่พิงอยู่ข้างเตียง

เขาออกมาที่ลานบ้าน มองเห็นสาวใช้ของหลิงเยวี่ยนั่งตัวแข็งทื่ออยู่กับพื้น เชิงเทียนล้มอยู่บนพื้น สีหน้าของนางซีดเผือด นิ้วชี้ไปที่บ่อน้ำ เอ่ยเสียงสั่นไม่เป็นภาษา

“เจ้าเห็นอะไร” สวี่ชีอันพูดเสียงขรึม

ประตูด้านหลังถูกเปิดออก สวี่หลิงเยวี่ยสวมเสื้อนอกออกมาดูสถานการณ์

ทางด้านปีกตะวันออก แสงเทียนในห้องของอาสะใภ้ก็สว่างโร่ขึ้นมาแล้ว นางพาลวี่เอ๋อออกมาตามเสียง

“มีอะไรหรือ” อาสะใภ้ขมวดคิ้ว

พอคนมากเข้า ความหวาดกลัวในใจของสาวใช้ก็ลดลง นางชี้ไปที่บ่อนี้ เอ่ยเสียงสั่น “ใน ในบ่อมีหัวคน”

เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาพร้อมกัน

สวี่หลิงเยวี่ยหน้าซีด กระถดตัวไปอยู่หลังสวี่ชีอันแล้วจับชายเสื้อของเขาไว้แน่น อาสะใภ้ก็เดินเข้ามาใกล้ด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน

“เจ้า เจ้าไม่ได้บอกว่า…” อาสะใภ้เบิกดวงตาคู่งาม หวาดกลัวอย่างยิ่ง

นางไม่ได้พูดคำว่า ‘ไล่ผีไปแล้ว’ ออกมา เรื่องนี้ไม่อาจให้คนใช้ในบ้านรับรู้ได้

ในบ่อน้ำมีหัวคนหรือ สวี่ชีอันจับดาบยาวสีดำทองในมือแน่น กดมือลง ส่งสัญญาณให้น้องสาวกับอาสะใภ้ผู้ตื่นตระหนก ส่วนเขาก็ค่อยๆ เข้าไปใกล้บ่อน้ำ

วิญญาณอาฆาตในบ่อถูกกำจัดไปแล้วจริงๆ ส่วนบ่อน้ำที่ใช้เลี้ยงผีของทางฝั่งรังโจรนั่นก็จัดการไปแล้วด้วย ตามหลักแล้วไม่มีทางที่วิญญาณอาฆาตจะโผล่ขึ้นมาได้

หรือว่าจะเป็น…สวี่ชีอันก้าวยาวๆ ไปด้านหลังบ่อน้ำ และเจอเสี่ยวโต้วติงนั่งอยู่ข้างบ่อน้ำอย่างที่คิดจริงๆ ท่าทางง่วงเหงาหาวนอน

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…”

นางถูกสวี่ชีอันใช้ฝักดาบสะกิดตื่น เสี่ยวโต้วติงขยี้ตาเอ่ยงึมงำ

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” สวี่ชีอันแอบพูดในใจว่า เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย

“ข้าหิว ข้าออกมาหาของกิน” เสี่ยวโต้วติงมองดูปากบ่อน้ำ ท่าทางดื้อดึง “มันซ่อนตัวได้ดีจริงๆ เลย ขนาดมีเด็กน้อยมาอยู่หน้าประตูแล้วก็ยังไม่ออกมาอีก”

สวี่ชีอันคาดว่าหัวคนที่สาวใช้เห็นก็คือสวี่หลิงอินที่เอนตัวชะโงกหน้าไปที่บ่อน้ำนั่นเอง หายากนักที่เขาจะมีความอึดอัดใจอยู่เต็มท้อง แต่พ่นออกมาไม่ได้

“พี่ใหญ่จะไปห้องครัวเอาขนมมาให้” สวี่ชีอันอุ้มนางขึ้นมาแล้วเดินกลับไป

“หลิงอิน?” อาสะใภ้ตกใจมาก นางเลิกคิ้วกิ่งหลิวขึ้น “เจ้าเด็กเหลือขอนี่ ดึกดื่นค่อนคืนออกมาหลอกให้คนอื่นตกใจกลัวซะได้…”

ตอนนี้เองนางถึงได้รู้ตัวว่าหลิงอินไม่ได้อยู่ที่ห้อง

สวี่ชีอันขัดจังหวะการตะคอกด่าของอาสะใภ้อย่างไม่สบอารมณ์ “นางแค่หิวน่ะ”

แม้ว่านางจะกินข้าวเย็นไปสามชาม แต่นางก็หิวแล้ว

ตอนนี้อาสะใภ้อารมณ์ไม่ดีแล้ว นางแค่นเสียง เท้าเอว เบิกตากลมโต ตวัดตามองเด็กหญิง

สวี่ชีอันปลอบโยนน้องสาวและอาสะใภ้ รวมถึงสาวใช้อีกสองสามคน คะยั้นคะยอให้พวกนางไปนอน และไปหยิบขนมที่ห้องครัวมาให้สวี่หลิงอินกิน

เสี่ยวโต้วติงไม่ต้องให้กล่อม นางกินไปกินมาก็หลับไปแล้ว

สวี่ชีอันส่งนางคืนให้กับลวี่เอ๋อ แล้วกลับห้องไปนอนต่อ ขณะกำลังสะลึมสะลือก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู

“พี่ใหญ่…” เสียงหญิงสาวไพเราะเสนาะหูของสวี่หลิงเยวี่ยดังมาจากนอกประตู

“มีอะไรหรือ” สวี่ชีอันไม่ได้เปิดประตู ยามค่ำคืนดึกดื่น คนเป็นพี่ชายไม่อาจเปิดประตูให้น้องสาวสุ่มสี่สุ่มห้าได้ มันไม่ถูกธรรมเนียม

“ข้า ข้านอนไม่หลับ ข้ากลัว…” สวี่หลิงเยวี่ยนิ่งไป แล้วกล่าวเสริม “ท่านแม่ก็นอนไม่หลับเช่นกัน เมื่อครู่ลวี่เอ๋อถามขึ้นมา ท่านแม่ก็เลยเล่าเรื่องบ้านผีสิงให้ฟัง พูดไปพูดมา พวกนางสองคนก็กลัวขึ้นมา ท่านพ่อก็ไม่อยู่บ้าน พวกนางไม่กล้าเข้านอน”

พวกนางไม่กล้านอนแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า จะให้ทุกคนมาล้อมวงเล่นไพ่นกกระจอกทั้งคืนหรือไง แต่สวี่ชีอันหวนนึกถึงสมัยที่ตนเพิ่งหัดเดินก็รู้สึกเข้าอกเข้าใจ ดังนั้นจึงเอ่ยอย่างอดทน

“ไม่ต้องกลัว ที่บ้านไม่มีผี”

สวี่หลิงเยวี่ยไม่ตอบ ลังเลอยู่พักหนึ่ง “พี่ใหญ่ไปอยู่เป็นเพื่อนพวกเราได้ไหมเจ้าคะ”

………………………

[1] สำนวน ‘ไม่เคยกินหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่งหนี’ แปลว่า แม้ไม่เคยประสบกับตัว แต่ก็ต้องเคยได้ยินมาบ้าง