ตอนที่ 171.1 เด็กสาวผู้อ่อนโยนบอบบาง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 171.1 เด็กสาวผู้อ่อนโยนบอบบาง โดย ProjectZyphon

เหมาเสี่ยวตงปรากฏตัวในลานเล็กที่เงียบสงบ เห็นเด็กหนุ่มชุดขาวที่กำลังคลอเพลงในลำคอ นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งหิน ด้านหน้าคือกระดานหมากล้อม กางสองมือวางไว้บนริมขอบด้านบนของกล่องเก็บเม็ดหมากสีขาวและสีดำ ตกอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิด ขณะเดียวกันนิ้วมือก็เคาะลงบนตัวหมากเบาๆ จนเกิดเสียงกังวานใสดังซ้ำไปซ้ำมา

พอผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ปรากฏตัว ชุยตงซานก็ถามเบาๆ ว่า “เป็นอย่างไร? นายท่านใหญ่หลี่เอ้อร์รื้อวังหลวงจนเละไปหรือยัง?”

เหมาเสี่ยวตงเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะหิน ปรายตามองสถานการณ์บนกระดานที่ผลแพ้ชนะค่อนข้างชัดเจนซึ่งความต่างไม่ได้มีมากนัก เขาจึงไม่เสียเวลามองอีกต่อไป ทรุดตัวนั่งลงด้านข้าง “เจ้า หรือจะพูดว่าพวกเจ้าสองคน มีแผนการอะไรกันแน่?”

ชุยตงซานจุ๊ปากพูด ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง “เพิ่งจะมาถึงภูเขาตงหัวได้ไม่กี่วันก็เริ่มเป็นกังวลเพื่อแผ่นดินของต้าสุยแล้วหรือ? เสี่ยวตงเอ๋ย ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้าหรอกนะ จิตใจโลเลไม่มั่นคงก็ไม่เท่าไหร่ แต่ได้ใหม่แล้วลืมเก่าเร็วขนาดนี้ดูไม่มีคุณธรรมเท่าไหร่เลยนะ”

เหมาเสี่ยวตงตบโต๊ะหินหนึ่งครั้ง

เม็ดหมากทั้งหมดกระดอนขึ้นจากกระดาน ลอยค้างกลางอากาศ ดำสูงขาวต่ำคล้ายภาพวาดสองภาพที่พับมาบรรจบกัน แต่ไม่ว่าเหมาเสี่ยวตงจะมองแนวตรงหรือตะแคงมอง ไม่ว่าจะพินิจพิจารณาอย่างไรก็ล้วนไม่อาจมองเห็นความลี้ลับได้มากกว่านั้น จึงแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ตัวหมากร่วงลงกลับที่เดิมในทันทีทันใด ตำแหน่งไม่คลาดเคลื่อนไปแม้แต่น้อย

ชุยตงซานยังคงค้างอยู่ในท่าประหลาดนั้นตลอดเวลา “สำนักศึกษาซานหยาควรทำอย่างไรก็ทำไป ทหารมาก็เอาขุนพลต้าน น้ำมาเอาดินกลบก็เท่านั้น กินหัวไชเท้าดองแล้วยังต้องกลัวว่ามันรสจืดไปทำไม? (เปรียบเปรยว่าพะวงกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ชอบสอดรู้สอดเห็นกับเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเอง) หรือว่าเมื่อต้าหลีฮุบกลืนต้าสุยแล้ว สำนักศึกษาซานหยาก็จะหายไปด้วย? ข้าว่าไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ในเมื่อต้าสุยเองก็มอบสถานะหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาให้กับพวกเจ้าไม่ได้ วันหน้าเมื่อหวนกลับไปต้าหลี อย่างมากก็แค่ต้องพึ่งพาคนอื่น ไม่ได้ต่างจากที่เป็นอยู่ตอนนี้สักเท่าไหร่”

เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเสียงเฉียบ “สำนักศึกษานั้นสำคัญที่ลูกศิษย์ สำคัญที่อาจารย์ ไม่ใช่สี่คำว่าสำนักศึกษาซานหยา! อีกอย่างไม่ต้องพูดถึงนักเรียนของต้าสุย ต่อให้เป็นเด็กกลุ่มนั้นที่ติดตามข้าออกมาจากต้าหลี ตอนนี้ก็ยังเด็กและไร้เดียงสากันมากนัก จิงชี่เสินของพวกเขาจะทนรับความยากลำบากได้สักกี่ครั้ง!”

ชุยตงซานดึงมือกลับมาช้าๆ แต่กลับกำเม็ดหมากกำหนึ่งไว้แน่นจนเกิดเสียงกรอบแกรบดังมาจากในฝ่ามือ หันหน้ามามองเหมาเสี่ยวตงที่เดือดดาลอย่างหนัก

ชุยตงซานยิ้มบางด้วยสีหน้าเป็นปกติ “พูดจาได้เด็ดเดี่ยวผึ่งผายนัก น่าเสียดายก็แต่ความรู้ของเจ้าเหมาเสี่ยวตงมีจำกัด คิดอะไรตื้นเขินเกินไปแล้วก็มองใกล้เกินไป”

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่แค่นเสียงเย็น “งั้นก็คนแซ่ชุยอย่างเจ้าสินะที่คิดได้ลึก วางแผนได้ยาวไกล”

ชุยตงซานลุกขึ้นยืน กำเม็ดหมากที่อยู่ในฝ่ามือแน่น ก้าวเดินรอบม้านั่งหินเชื่องช้า เอ่ยหยอกเย้า “วัดไม่อยู่พระอยู่ พระไม่อยู่คัมภีร์อยู่ คัมภีร์ไม่อยู่พระธรรมอยู่ พระธรรมไม่อยู่พระพุทธเจ้าอยู่”

ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งบิดข้อมือเบาๆ เดินเล่นอย่างสบายใจ “สังขตธรรมทั้งปวง ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้แล รอเมื่อไหร่ที่เจ้าเข้าใจคามหมายในการดำรงอยู่ของสำนักศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว สำนักศึกษาซานหยาถึงจะค้นพบความมิพ่ายอย่างแท้จริง ส่วนข้อที่ว่าจะอยู่ที่ตระกูลไหน ใช้ชื่อแซ่อะไร อยู่บนดินแดนของแคว้นใดก็ล้วนไม่สำคัญอีกแล้ว”

เหมาเสี่ยวตงหลุดหัวเราะพรืด “คิดว่าสำนักศึกษาซานหยาคือสถานศึกษา (สถานศึกษาในสมัยโบราณมีขนาดใหญ่กว่าสำนักศึกษา ซึ่งความแตกต่างโดยหลักๆ คือสถานศึกษาทางการจะเป็นผู้ก่อตั้ง นักเรียนส่วนใหญ่คือบุตรหลานของชนชั้นสูง เป็นสถานที่ที่ใช้จัดพิธีการ งานดนตรี ประกาศเกียรติคุณ ชี้นำคนทั่วหล้าเป็นหลัก การเรียนการสอนเป็นเรื่องรอง) ที่ไม่ว่าลมจะพัดฝนจะตก พวกเราก็สามารถหยัดยืนไม่มีทางล้มหรืออย่างไร?”

ชุยตงซานหยุดเดิน จ้องมองผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่โดยมีโต๊ะหินตัวหนึ่ง กระดานหมากล้อมกระดานหนึ่งกั้นกลาง ถามกลับ “แล้วทำไมจะทำไม่ได้?”

ชุยตงซานก้าวเบาๆ ไปหนึ่งก้าว “ลองเดินดูไหม?”

เหมาเสี่ยวตงส่ายหน้าสีหน้าเคร่งเครียด “อย่างเจ้านี้เรียกว่ายืนพูดไม่ปวดเอว”

ชุยตงซานเองก็ส่ายหัวตาม จุ๊ปากพูด “เจ้าน่าจะได้พบเฉินผิงอันอาจารย์ของข้าจริงๆ”

พระอาทิตย์ต้นฤดูหนาวลอยสูงอยู่กลางนภา แสงแดดอบอุ่นสาดลงบนร่างของผู้เฒ่าสูงใหญ่ ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “เป็นคนที่ฉีจิ้งชุนฝากภาระยิ่งใหญ่ไว้ได้ เฉินผิงอันย่อมเป็นคนไม่เลว แต่คนอย่างเจ้าคือสุนัขที่ไม่เปลี่ยนสันดานกินอาจม เจ้ามีแผนการอะไรกันแน่”

ชุยตงซานสบถยิ้มๆ “เฮ้ๆๆ เสี่ยวตง ความรู้ของเจ้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไร ก็ได้ ไม่มีปัญหา แต่อย่าลากข้าเข้าไปเกี่ยวด้วยส่งเดชสิ”

เหมาเสี่ยวตงไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับคนผู้นี้อยู่ที่นี่จึงลุกขึ้นยืน “ความรู้เท่าตูดหมาของเจ้า โยนไว้บนพื้น หมาข้างทางยังไม่คิดจะแทะสักคำเลย”

ชุยตงซานหัวเราะร่า “อิจฉา ขี้อิจฉาซะจริง”

เหมาเสี่ยวตงก้าวยาวๆ ออกไปจากลานบ้าน หันหลังให้ชุยตงซาน “หลี่เอ้อร์บุกเข้าวังหลวงครั้งนี้ กระพือไฟได้ระดับพอดี เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก หากหลังจากนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ข้าจะมาเอาความจากเจ้า อย่ามาโทษว่าข้าไม่เตือน”

ชุยตงซานมองแผ่นหลังนั้นแล้วพูดอย่างกระอักกระอ่วน “แบบนี้คงไม่ดีกระมัง? นายท่านใหญ่หลี่เอ้อร์คิดจะทำอะไร ข้าที่เป็นเพียงมดตัวเล็กขอบเขตเก้าคนหนึ่งจะขัดขวางได้หรือ? หากอาจารย์ข้าอยู่ที่นี่ก็คงไม่ยาก เขาทั้งใจเย็นและมีเหตุผล เชี่ยวชาญกว่าข้ามากนัก”

เหมาเสี่ยวตงหันกลับมามองเจ้าคนที่แสร้งทำสีหน้าลำบากใจแล้วกล่าวอย่าง ‘ใจเย็น’ ว่า “หากเป็นไปได้ ข้าก็อยากตบหัวเจ้าให้เละเลยจริงๆ ดูสิว่าข้างในบรรจุอะไรเอาไว้กันแน่”

ชุยตงซานยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง กระดกนิ้วทำเป็นดรรชนีกล้วยไม้ แสร้งพูดดัดจริต “น่าเบื่อ”

เหมาเสี่ยวตงหมุนกายจาไปด้วยสีหน้าดำทะมึน ผู้เฒ่าทำสีหน้าขยะแขยงเหมือนคนเหยียบขี้หมา

พอเหมาเสี่ยวตงจากไป ชุยตงซานก็นั่งกลับลงไปบนม้านั่งหินอีกครั้ง หมัดที่กำตัวหมากหยุดค้างกลางอากาศเหนือกระดานหมากล้อม ปล่อยเม็ดหมากทิ้งลงมาทีละนิด เพียงรวดเดียวบนกระดานหมากล้อมก็มีเม็ดหมากตกลงมาเจ็ดแปดเม็ด เป็นสีขาวทั้งหมด ดังนั้นการวางหมากครั้งนี้จึงผิดกติกาอย่างมาก สุดท้ายชุยตงซานนั่งยองบนม้านั่งหินด้วยสองมือที่ว่างเปล่าคางเกยบนหัวเข่า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ก็เหมือนอย่างที่เหมาเสี่ยวตงบอกไว้ ใต้หล้านี้มีแค่ไม่กี่คนจริงๆ ที่นึกออกว่า “ชุยฉาน” กำลังคิดอะไรอยู่

ทว่าฉีจิ้งชุนเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว

เสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่รวดเร็วดังมาจากหน้าประตูบ้าน เซี่ยเซี่ยเลิกเรียนกลับมา หลังวางข้าวของเรียบร้อยแล้วก็เริ่มกวาดใบไม้ร่วงในลานบ้าน

ไม้กวาดกวาดผ่านพื้นก็มีลมเบาบางพัดพลิ้วเป็นระลอก

ชุยตงซานพึมพำ “เริ่มต้นจากต่ำต้อยเหมือนกัน ลมแห่งบุรุษกรรโชกแรงพัดผ่าน เสียงฟ้าร้องคำราม หินพลิกกลิ้งไม้หักโค่น ผืนป่าราบเป็นหน้ากลอง แม้จะทรุดโทรมเสื่อมถอย ทว่าพลังยิ่งใหญ่ควรค่าแก่การดื่มด่ำกลับยังคงอยู่ ลมแห่งสตรีแค่โชยผ่านตรอกซอกซอย พัดเม็ดดินเม็ดทรายให้ขยับ เป่าขี้เถ้าให้ปะปนขุ่นหมอง แม้จะรุนแรงถึงที่สุดแล้วก็ยังไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง เซี่ยเซี่ย เจ้าคิดว่าต้าหลีดี หรือต้าสุยดีกว่า?”

นี่เป็นครั้งแรกที่ชุยตงซานถามเด็กสาวอย่างจริงจัง นางพลันตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดคิด กอดไม้กวาดไว้ในอ้อมอกอย่างกระวนกระวาย ยังดีที่นางเป็นคนมีความคิดเฉียบไวมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังตัดสินใจดีแล้วว่า ในเมื่อต้องอยู่ร่วมกับคุณชายท่านนี้ไปอีกนานก็ห้ามคิดมาก เพราะยิ่งคิดยิ่งกังวลก็ยิ่งไร้ประโยชน์ ไม่สู้ตรงไปตรงมา คิดอะไรก็พูดก็ทำอย่างนั้น อย่างมากก็แค่โดนซ้อมรอบหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องตกเป็นที่หยามหยันของผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นนางจึงตอบไปว่า “ต้าสุยเหมาะแก่การตั้งรกราก เมื่อใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จะสุขสบายมาก ต้าหลีเหมาะกับคนที่มีใจทะเยอทะยานและมีแผนการ ตอนนี้เมื่อมีการพัฒนาจากทั้งภายในและภายนอกจึงแข็งแกร่งมากกว่าเดิม เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต พร้อมกับการบุกโจมตี ที่น่ากลัวที่สุดคือตอนนี้ต้าหลีเริ่มขยายอำนาจการควบคุมไปถึงกลุ่มอิทธิพลบนภูเขาที่อยู่ในอาณาเขตของตัวเองแล้ว ยิ่งขยับเข้าไปใกล้คำว่านายแห่งแคว้นมากขึ้นทุกที”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดว่าถูกหรือผิด แล้วก็ไม่ได้พูดแดกดันเด็กสาวอย่างที่หาได้ยาก

เด็กสาวบังเกิดความมั่นใจ วิธีนี้ใช้ได้ผล! อวี๋ลู่พูดถูกจริงๆ ด้วย อยู่ร่วมกับคนผู้นี้ ต้องบังคับให้ตัวเองคิดถึงแต่เรื่องที่อยู่ตรงหน้า บีบให้สายตาของตัวเองมองตื้นๆ

แล้วชุยตงซานก็ถามขึ้นกะทันหันว่า “ทำไมเจ้ายังไม่ไปผูกคอตายอีกล่ะ ข้ารอเก็บศพให้เจ้านานมากแล้ว ถึงเวลานั้นข้าจะแบกศพของเจ้าลงจากเขา หลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจพลางไปฟ้องร้องเจ้าตะพาบเฒ่าไช่จิงเสินผู้นั้นด้วย ไร้ยางอายเกินไปแล้ว ถึงขนาดแฝงตัวเข้ามาในสำนักศึกษา แม้แต่กับเด็กสาวหน้าตาอัปลักษณ์ผิวดำเป็นถ่านอย่างเจ้าก็ยังลงมือได้ลง ทำเอาเจ้าอับอายจนต้องฆ่าตัวตาย ถึงเวลานั้นข้าจะได้สู้กับเขาอีกสักรอบเพื่อแก้แค้นให้กับเจ้าไงล่ะ”

เด็กสาวอึ้งงันเป็นไก่ไม้

ชุยตงซานบิดคอ “เนื่องจากคืนนั้นป่าวประกาศแก่คนนอกว่าเจ้าคือลูกศิษย์ของข้า จึงจำเป็นต้องให้เจ้ายืมอาวุธอาคมไปมากมาย ในใจคุณชายอย่างข้าไม่ใคร่จะสบอารมณ์นัก”

เด็กสาวที่ห้อยขลุ่ยไผ่สีเขียวไว้ตรงเอวเริ่มก้มหน้าก้มตากวาดลานบ้านอีกครั้ง

ชุยตงซานปรายตามองเรือนกายอรชนอ้อนแอ้นของนางแล้วพูดเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “หากไช่จิงเสินหลานของข้าขึ้นเขามากลางดึก บุกเข้าไปในห้องของเจ้า อันที่จริงเขาก็ไม่เสียเปรียบสักเท่าไหร่”

เด็กสาวเงยหน้าจ้องเป๋งไปที่ชุยตงซาน

ชุยตงซานจ้องกลับไปที่ดวงตางดงามคู่นั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “เจ้าเหลือแค่ดวงตาคู่นี้เท่านั้นที่ยังคู่ควรกับชื่อเซี่ยหลิงเยว่”

เด็กสาวน้ำตาคลอเจียนหยด ก้มหน้าก้มตากวาดพื้นต่อไป

ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งครั้ง โบกมือเบาๆ เก็บกล่องเม็ดหมากและกระดานไว้ในตราประทับหยกฟางชุ่นที่อยู่ในชายแขนเสื้อ “อย่างเจ้านั่นกำลังกวาดพื้นเสียที่ไหน เห็นชัดๆ ว่ากำลังกวาดอารมณ์ดีๆ ของคุณชายเจ้าทิ้งไป ช่างเถอะๆ กลับห้องไปอ่านหนังสือเถอะ”

เมื่อเข้าไปในห้องหลักที่ว่างเปล่า บนเสื่อผืนใหญ่วางเบาะสานไว้ใบหนึ่ง ชุยตงซานโบกมือหนึ่งครั้ง ดึงเอาคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งออกมาจากกองภูเขาขนาดย่อมตรงมุมกำแพง คัมภีร์เล่มนั้นมานอนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา จากนั้นก็มีลมเปิดหน้าหนังสือระลอกหนึ่งปรากฎขึ้น มันพัดโชยล้อมวนรอบกายเด็กหนุ่มชุดขาวผู้มีใบหน้าหล่อเหลา

ลมเปิดหน้าหนังสือเริ่มเปิดหนังสือ

ชุยตงซานเริ่มอ่านหนังสือ

ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ เด็กสาวเซี่ยเซี่ยจะนั่งอยู่หน้าประตูเงียบๆ จิตใจสงบสุข เพราะมีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่ไอ้หมอนี่ไม่หันมาเล่นงานนาง อีกอย่างนี่ยังเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเองกับตา ถึงขั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยว่าจะมีใครที่แค่อ่านหนังสือ แล้วจะอ่านให้เกิดภาพของพันโลกธาตุขนาดใหญ่ที่แปลกพิสดารขนาดนี้ได้

เหมือนกับวันนี้

หลังจากที่ลมเปิดหน้าหนังสือเปิดหนังสือหน้าแรก และเสียงอ่านหนังสือเบาๆ เป็นจังหวะจะโคนมีเอกลักษณ์อย่างถึงที่สุดของชุยตงซานดังขึ้น ถ้อยคำนั้นประหนึ่งเม็ดฝนที่ล่องลอยอยู่เหนือหน้าหนังสือ จากนั้นระหว่างหน้าหนังสือก็มีดอกบัวกอดหนึ่งผุดขึ้นมา มันส่ายสะบัดอย่างมีชีวิตชีวา ฉลาดเฉลียวผิดปกติ

แต่ละหน้าที่เปิดผ่านไป แสงสว่างก็ค่อยๆ หดหายไป

ระหว่างบรรทัดตัวอักษรบนหน้าหนังสือเกิดภาพสองกองกำลังประจันหน้ากัน แม่ทัพและนายทหารแต่ละคนมีขนาดเล็กกว่าเมล็ดข้าวสาร แต่กลับมีพลังอำนาจดุจง้าวทองม้าเหล็ก ใช้แผนกลยุทธ์สลับสับเปลี่ยนไปมา ความว่างเปล่าเหนือหน้าหนังสืออบอวลไปด้วยหมอกสีเลืองพร่าเลือน ประหนึ่งฝุ่นผงที่คลุ้งตลบบนสมรภูมิรบจริงๆ

แล้วก็มีสตรีร่างอ้อนแอ้นสูงไม่เกินชุ่นที่คล้องตะกร้าดอกไม้เดินนวยนาดออกมาจากหน้าหนังสือ

และยังมีชายป่าเถื่อนใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา เปลือยหน้าอก ตีกรับร้องเพลงเสียงดัง

บนหน้าหนังสือมีหญิงชราใช้ไม้ทุบผ้าเงี่ยหูรับฟัง แล้วก็สามารถได้ยินเสียงที่ลี้ลับมหัศจรรย์ซึ่งซ่อนแฝงอยู่ภายในออกจริงๆ

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเด็กขี่ม้าก้านไม้ไผ่เล่นไล่จับกัน

มีโครงกระดูกพกกระบี่พกดาบเดินอยู่ท่ามกลางสุสานฝังศพ

มีอาจารย์นั่งเรียบร้อยสำรวม มือลูบเคราครุ่นคิดคล้ายกำลังจะเขียนเรียบเรียงตัวอักษร

……

เด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่อยู่ตรงหน้าประตู ไม่ว่าส่วนลึกในใจของนางจะเคียดแค้น หวาดกลัวราชครูต้าหลีผู้นี้แค่ไหน แต่นางก็จำต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มชุดขาวที่ตั้งใจอ่านตำรานั้นช่างมีบุคลิกท่วงท่างามสง่าน่ามองอย่างแท้จริง

มีเรื่องหนึ่งที่นางไม่เคยเข้าใจเลย ทำไมคนคนหนึ่งที่เลวร้ายขนาดนี้ เวลาอ่านหนังสือถึงได้มีภาพปรากฎการณ์ของอริยะปรากฎขึ้นได้?

ขณะที่เซี่ยเซี่ยกำลังเหม่อลอย นางไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าเมื่อพลิกเปิดหนังสือไปถึงหน้าสุดท้าย สีหน้าของชุยตงซานในวันนี้ผิดปกติไปเล็กน้อย สายตาฉายประกายร้อนแรง ทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและการดิ้นรนขัดขืน

ที่แท้ภาพเหตุการณ์หนึ่งขณะเขาอ่านหนังสือคือภาพที่คนสามคนปรากฏกายบนหน้าหนังสือเดียวกัน ใบหน้าของคนทั้งสามต่างก็เห็นได้ไม่ชัดเจน แต่อายุกลับต่างกันมาก

ผู้เฒ่าสวมเสื้อตัวยาวยืนอยู่ริมตลิ่งของแม่น้ำสายใหญ่ กำลังจ้องมองผืนน้ำ

ใกล้ๆ กันมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมแห้งซึ่งกำลังมองไปยังฝั่งตรงข้าม สีหน้าคิดหนัก

มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งขี่วัวสีดำ เงยหน้ามองท้องฟ้า เด็กหนุ่มทำท่าสะลึมสะลือใกล้จะหลับ

สุดท้ายชุยตงซานกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ภาพอัศจรรย์บนหน้าหนังสือจึงหายวับไป

เด็กสาวมองชุยตงซานอย่างตกตะลึงระคนหวาดกลัว

เขาใช้มือปาดคราบเลือดทิ้งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พึมพำกับตัวเอง “ช่วยไม่ได้ แตกต่างกันมากเกินไปแล้ว”

เด็กสาวเซี่ยเซี่ยถามอย่างเป็นห่วง “คุณชาย ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

ชุยตงซานใช้มือข้างหนึ่งกดตรงหัวใจ มืออีกข้างกำเป็นหมัดแน่น ตอบอย่างยากลำบาก “ไปเอา ‘ภาพน้ำ’ ที่ข้าให้เจ้ายืมชั่วคราวม้วนนั้นมา เร็วเข้า”

เซี่ยเซี่ยรีบลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบม้วนภาพโบราณในห้องตัวเอง แล้วเอามาคลี่วางต่อหน้าชุยตงซาน แล้วเสร็จจึงลุกขึ้นวิ่งเร็วๆ กลับไปที่หน้าประตูอีกครั้ง

ลูกกระเดือกของชุยตงซานขยับขึ้นลง ยกมือขึ้นใช้หลังมืออุดปาก เนิ่นนานต่อมาถึงได้วางมือลง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ‘ภาพน้ำ’ บนโลกใบนี้มีทั้งหมดสิบสองภาพ ต่างก็บรรยายถึงคูน้ำขนาดใหญ่สิบสองแห่งในสี่ใต้หล้า ภาพเบื้องหน้านี้คือ ‘น้ำจากฟากฟ้า’ ซึ่งตั้งชื่อจากภาพมหัศจรรย์ ‘หนึ่งกระบี่แทงทะลุถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก แม่น้ำหวงเหอไหลมาจากฟากฟ้า’

ปีนั้นชุยฉานที่ยังเป็นศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งเล่นหมากล้อมกับเจ้าเมืองนครจักรพรรดิขาวท่ามกลางชั้นเมฆหลากสี แม้ว่าชุยฉานจะแพ้ แต่ก็แพ้อย่างมีเกียรติ และปีศาจใหญ่ตนนั้นก็ได้มอบม้วนภาพล้ำค่าไม่ธรรมดาม้วนนี้ให้แก่เขา ชุยฉานเคารพเลื่อมใสในตัวของผู้ยิ่งใหญ่แห่งวิถีมารผู้บัญชาการณ์นครจักรพรรดิขาวผู้นี้อย่างถึงที่สุด

ชุยฉานกลั้นหายใจทำสมาธิเพ่งมองน้ำ แต่ในใจกลับคิดถึงภูเขา

ย้อนนึกถึงปีนั้น ชุยฉานเฒ่าเคยเดินทางไปทั่วสารทิศเพียงลำพัง เดินผ่านเส้นทางภูเขาของภูเขาที่สูงที่สุดในใต้หล้า ปีนขึ้นยอดเขายากดั่งปีนขึ้นสวรรค์

พอคิดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มชุยฉานก็อดยื่นมืออกมาตบเข่า ร้องเสียงดังไม่ได้ “เฮ้อ ยิ่งสูงก็ยิ่งอันตราย!”

แล้วเขาก็อึ้งค้าง

เห็นเพียงว่าบนภาพน้ำมีหน้าผาหินขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า ไม่สะดุดตานัก แต่บนหน้าผาหินกลับมีเรือนกายของเด็กหนุ่มผอมแห้งที่คุ้นเคยยืนรับลำ เขายืนอยู่ใกล้กับแม่น้ำ สองมือทำมุทรา ทอดสายตามองไปไกล

เด็กสาวเซี่ยเซี่ยที่ยืนอยู่ห่างไปไกลมองเห็นภาพนี้ก็ยิ่งตื่นตะลึงอย่างหนัก

เฉินผิงอันพกพาหน้าผาหินแถบหนึ่งแอบเข้ามาใน ‘ภาพน้ำ’ นี้ได้อย่างไร?

ลมปราณของชุยตงซานสงบนิ่งเหมือนเดิมนานแล้ว เวลานี้เขาประกบนิ้วมือทั้งสิบเข้าด้วยกัน ยิ้มแป้นหน้าเป็น “ท่านอาจารย์ผู้อยู่เบื้องบน โปรดรับการกราบไหว้จากศิษย์ด้วย”

จากนั้นชุยตงซานก็หงายตัวไปด้านหลัง กลิ้งตัวไปมาสองสามรอบ ปากก็ท่องไปด้วย “ผู้ที่ทอดทิ้งข้าไป เมื่อวานไม่อาจเหนี่ยวรั้ง ผู้ที่ทำให้ใจข้าสับสน วันนี้ยิ่งวุ่นวาย ความวุ่นวายเอ๋ยความวุ่นวาย วุ่นวายให้นายท่านใหญ่ว้าวุ่น…”

เด็กสาวนั่งอยู่ตรงหน้าประตู อดเงยหน้ามองสีท้องฟ้าไม่ได้ ดูไม่เหมือนว่าจะมีฟ้าผ่า น่าเสียดายยิ่งนัก

—–