เล่อเหยาเหยาหลับยาวอยู่บนเตียงจนถึงตะวันโด่งจึงตื่นขึ้น
เมื่อตื่นขึ้นมา เล่อเหยาเหยารู้เพียงสมองตนใกล้ระเบิด ทำให้เธออยากนอนอยู่บนเตียงครึ่งวันก่อนลุกขึ้นมา
ก่อนแอบถอนหายใจ
สุรา ไม่ใช่สิ่งที่ดีจริงๆ!
แอบถอนหายใจถึงโทษของการดื่มสุรา ขณะเดียวกันมีเรื่องหนึ่งที่ทำให้เล่อเหยาเหยาแทบอยากตาย
ก่อนหน้านี้หลังเธอเมามาย เธอจะลืมเลือนเรื่องเมื่อคืนไปเจ็ดแปดส่วน
แต่ความทรงจำเมื่อคืนกลับเด่นชัด ทำให้เล่อเหยาเหยาอยากลืมเลือนก็ทำไม่ได้ และพอนึกถึงเรื่องเมื่อคืน เล่อเหยาเหยาอยากร้องไห้ แต่ไร้น้ำตา
สวรรค์! น่าอับอายยิ่งนัก!
เมื่อคืน เธอกลับอาเจียนใส่ตัวพญายม!
เวลานี้หูยังมีเสียงอาเจียนน่ารังเกียจของตนดังเข้ามาเป็นระลอกไม่หยุด และใบหน้าเคร่งเครียดของพญายมนั้น
สวรรค์! เธอไม่อยากเจอหน้าผู้คน เหตุใดเธอจึงมักทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ต่อหน้าพญายม!
ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยายิ่งเสียใจ จึงล้มตัวลงบนเตียงใช้ผ้าห่มคลุมร่าง คิดตายไปเช่นนี้
เดิมทีเล่อเหยาเหยาวางแผนเช่นนี้ ทว่าสุดท้ายเธอสู้ท้องที่ส่งเสียงประท้วงไม่ได้ ในที่สุดจึงเพียงอาบน้ำลวกๆ อย่างรวดเร็ว จากนั้นไปทานอาหารที่โรงครัว
โชคดีที่เวลานี้เป็นช่วงอาหารเที่ยงพอดี โรงครัวจึงแน่นขนัด ผู้คนเดินขวักไขว่
หลังเล่อเหยาเหยามาถึงโรงครัว พบเข้ากับเสี่ยวมู่จื่อพอดี ดังนั้นทั้งสองคนจึงหยิบอาหารด้วยกัน ก่อนนั่งลงตำแหน่งเดิม พลางทานอาหาร พลางพูดคุยกัน
เพราะเมื่อคืนอาเจียนทุกอย่างออกมาจนหมด และนอนมาถึงตอนนี้ ท้องเล่อเหยาเหยาจึงว่างเปล่า หลังหยิบอาหาร พลันกินอย่างตะกละตะกลามทันที
และทานมากกว่าก่อนหน้านี้อย่างมาก
ไม่รู้เพราะเมื่อคืนดื่มสุรามากเกินไปจนอาเจียนหรือไม่ เล่อเหยาเหยาเพิ่งทานอิ่ม ภายในท้องพลันปั่นป่วน ดังนั้นจึงรีบพุ่งไปที่ถังขยะ อาเจียนอาหารที่เพิ่งทานเข้าไปเมื่อครู่ทั้งหมดออกมา
เสี่ยวมู่จื่อเห็นเช่นนั้น ก็รีบร้อนถือผ้าเช็ดหน้าและน้ำอุ่นเข้ามา ก่อนยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาอาเจียนเสร็จ จึงป้อนน้ำให้เธอดื่ม พร้อมเช็ดปากเล็กด้วยสีหน้ากังวลใจ
“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าป่วยหรือไม่ ข้าว่าเจ้าไปให้ท่านหมอดูอาการเถิด พักนี้เจ้าอาเจียนไม่หยุด ข้าเห็นแล้วกังวลยิ่งนัก”
เมื่อได้ยินเสี่ยวมู่จื่อพูดอย่างร้อนใจ เล่อเหยาเหยาใช้น้ำอุ่นบ้วนปาก จึงหายใจสะดวกขึ้น
คิดไปแล้ว รู้สึกว่าเสี่ยวมู่จื่อพูดไม่ผิด พักนี้ท้องไส้เธอคล้ายไม่ค่อยดีมาตลอด มักจะอาเจียนอย่างไร้เหตุผล!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพยักหน้าให้เสี่ยวมู่จื่อ ก่อนเอ่ยว่า
“ได้ เช่นนั้นข้าจะไปให้หมอดูอาการ เสี่ยวมู่จื่อเจ้าอย่างกังวลเลย อาจเพราะพักนี้ท้องไส้ข้าไม่ค่อยดีเท่านั้น”
“เฮ้อ หากป่วยเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นก็ดี ท่านหมอตงฟางไป๋กลับมาแล้ว เจ้าไปให้เขาดูอาการเถิด เขามีฝีมือแพทย์ล้ำเลิศ และเป็นสหายกับเจ้ามิใช่หรือ”
“อะไรนะ พี่ไป๋กลับมาแล้วหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาพลันตกตะลึง ทันใดนั้นดวงตาคู่งามเปล่งประกาย แววตาดูตื่นเต้นดีใจมากจนสุดจะบรรยายได้ ก่อนรีบร้อนเอ่ยถามขึ้น
เสี่ยวมู่จื่อเห็นเช่นนั้น รู้ว่าความสัมพันธ์ของเล่อเหยาเหยาและตงฟางไป๋ไม่ธรรมดา ดังนั้นพลันเอ่ยขึ้นว่า
“ใช่แล้ว วันนี้ข้าเห็นท่านหมอไป๋มาที่วังอ๋อง คล้ายได้ยินว่าท่านอ๋องบาดเจ็บ จึงแวะมาเยี่ยมเยืยน”
พอพูดถึงตรงนี้ เสี่ยวมู่จื่อพลันเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า
“เสี่ยวมู่จื่อ หรือเจ้าไม่รู้ เจ้าไม่ได้อยู่ที่ตำหนักหย่าเฟิงตลอดเวลาหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดประหลาดใจของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาเพียงหัวเราะฮ่าๆ ออกมา
ถูกต้อง เธออยู่ในตำหนักหย่าเฟิงตลอด แต่เวลานั้นเธอหลับอยู่ในห้องพักของตน ดังนั้นจึงย่อมไม่รู้ว่าตงฟางไป๋มาที่นี่
คิดแล้ว เธอไม่เหมาะสมกับการเป็นบ่าวไพร่จริงๆ!
บ่าวคนอื่นมาทำงาน ปรนนิบัติเจ้านาย แต่เธอกลับนอนตื่นช้ากว่าเจ้านาย ยังอาเจียนใส่เจ้านายด้วย
โชคดีที่พญายมไม่โมโหกลับตามใจเธอ คิดไปแล้วพญายมคงชอบเธอจริงๆ
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกชื่นใจ
แม้เมื่อคืนเธอยังไม่ได้พูดเรื่องตนออกไป ทว่าในใจพญายมคงมั่นใจแน่นอน และเมื่อเขาไม่โมโห คิดไปแล้ว ความจริงเขาคงให้อภัยเธอจริง
ตอนนี้เมื่อรู้ว่าตงฟางไป๋กลับมาแล้ว เล่อเหยาเหยาจึงอยากไปเยี่ยมเขา
ไม่เจอหน้าตงฟางไป๋หลายวัน เธอคิดถึงเขา
ว่ากันว่า ครั้งนี้เขาไปรักษาโรคคนไข้ผู้หนึ่ง ระหว่างเดินทางคล้ายได้ข่าวน้องสาวที่สูญหายไปของเขา จึงไปตรวจสอบ และไม่รู้ว่าครั้งนี้ตงฟางไป๋ตามหาน้องสาวพบหรือไม่
ชายหนุ่มเช่นเขานี้ หวังว่าสวรรค์จะประทานพรให้เขาได้พบกับน้องสาวตนเองให้เร็วที่สุดถึงจะถูก
เล่อเหยาเหยาอธิษฐานในใจ ก่อนเอ่ยทักทายเสี่ยวมู่จื่อ และไปเรียนหัวหน้าขันทีลี่พร้อมรับป้ายออกจากวัง จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปที่โรงหมออันดับหนึ่ง
อากาศวันนี้ไม่เลว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง พระอาทิตย์ลอยเด่น
ตอนกลางวันอุณหภูมิค่อนข้างสูง แสงอาทิตย์ร้อนระอุนั้น แทบจะแผดเผาทั่วพื้นดิน
ดังนั้นแม้ถนนใหญ่ที่เดิมทีรุ่งเรืองคึกคัก เวลานี้ยังเงียบงันไร้ผู้คน เพราะเหล่าราษฎรต่างไม่ออกมาเดินเล่นท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุ แต่กลับไปจิบชารับลมที่สวนใผ่
โชคดีที่โรงหมออันดับหนึ่งอยู่ไม่ห่างจากวังรุ๋ยอ๋อง ระยะทางห่างกันเพียงถนนสองสายเท่านั้น ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงมาถึงโรงหมออันดับหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว
วันนี้คนไข้ในโรงหมออันดับหนึ่งมีไม่มากเพียงสามคนเท่านั้น
เล่อเหยาเหยากวาดสายตาคู่งามชั่วขณะ เมื่อไม่เห็นตงฟางไป๋อยู่ที่ห้องโถง จึงเอ่ยถามเสี่ยวถังที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่ พอรู้ว่าตงฟางไป๋อยู่ที่เรือนหลัง พลันมุ่งหน้าไปที่เรือนหลังทันที
เรือนหลังโรงหมอ พื้นที่กว้างขวาง ภายในปลูกยาสมุนไพรไว้มากมาย
เมื่อเล่อเหยาเหยาเข้าไปยังเรือนด้านหลัง พลันสายตาก็เห็นชายหนุ่มชุดขาวที่กำลังตากสมุนไพรอยู่ภายในเรือน
เห็นเพียงชายหนุ่มเวลานี้หันหลังให้เธอ กำลังพลิกสมุนไพรตากแห้งอยู่บนชั้นไม้
แสงแดดร้อนระอุที่สาดส่องลงมาบนตัวชายหนุ่ม ทำให้เสื้อคลุมยาวสีขาวหิมะของเขาดูจับตาและเปล่งประกาย
ทำให้ร่างกายชายหนุ่มผอมเพรียว งามสง่า
ผมดำดุจแพรไหมนั้น ยาวจรดถึงเอว ใช้เพียงผ้ารัดผมสีขาวเส้นหนึ่งมัดรวบเป็นช่อเล็กๆ อย่างง่ายๆ ส่วนที่เหลือปล่อยสยายลงมาที่แผ่นหลัง
เส้นผมของชายหนุ่มนุ่มลื่นสวยงามอย่างยิ่ง ดุจเพิ่งทาน้ำมัน และไม่รู้เขามีวิธีการดูแลเช่นใด ในยุคโบราณที่เรียบง่ายเช่นนี้ ยังสามารถดูแลเส้นผมได้สวยงามขนาดนี้ ทำให้คนที่เห็นอยากเข้าไปลูบคลำไม่ได้
ขณะเล่อเหยาเหยาอุทานในใจ ชายหนุ่มชุดขาวที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการตากสมุนไพร อาจเพราะรับรู้ถึงสายตาร้อนแรงด้านหลัง ดังนั้นการเคลื่อนไหวของมือจึงชะงักงันชั่วขณะ จากนั้นหันกลับมาอย่างช้าๆ มองไปทางด้านหลัง
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยายืนอยู่ด้านหลังไม่ไกลจากตน ใบหน้าหล่อเหลาเพียงซีกเดียวของชายหนุ่มดูตะลึงงันครู่หนึ่ง ทันใดนั้น รอยยิ้มที่สดใสน่าหลงใหลปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าเขา
สะดุดตา เปล่งประกาย เหนือพระอาทิตย์!
“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้ามาแล้วหรือ”
“ฮิๆ พี่ไป๋ ไม่เจอกันนานนะ”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเนิบนาบจับใจ ไพเราะดุจกระแสลำธารของชายหนุ่มนั้น ทำให้เล่อเหยาเหยาอดยิ้มมุมปากอย่างอ่อนหวานไม่ได้ ก่อนสองเท้าเดินเข้าไปด้านหน้า
เมื่อมาถึงด้านหน้าชายหนุ่ม เห็นชายหนุ่มดูผอมบางไป ใบหน้าเล็กที่แฝงด้วยรอยยิ้มของเล่อเหยาเหยาพลันตะลึงไปชั่วขณะ คิ้วเข้มพลันขมวดมุ่น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลว่า
“พี่ไป๋ เหตุใดดูผอมไป”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยประโยคนี้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และสีหน้ากังวลนั้นดูจริงจังอย่างยิ่ง
ตงฟางไป๋เห็น เพียงหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยว่า
“หลายวันนี้วิ่งเต้นอยู่ด้านนอกไม่หยุด ผอมลงจึงเป็นเรื่องธรรมดา”
แม้ตงฟางไป๋จะพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่เล่อเหยาเหยาไม่ใช่คนโง่ และเมื่อนึกได้ว่าเพราะเรื่องใดตงฟางไป๋จึงเหนื่อยล้าเช่นนี้ อดเอ่ยถามอย่างห่วงใยไม่ได้ว่า
“พี่ไป๋ ยังไม่เจอตัวน้องสาวท่านอีกหรือ”
หลายวันก่อนรู้ว่าตงฟางไป๋ไปดูอาการคนไข้ และได้รับข่าวที่น่าเชื่อถือว่า เจอตัวพ่อค้าทาสที่เก็บตัวน้องสาวของเขาในตอนเด็กแล้ว ทว่าสุดท้ายเกิดสิ่งใดขึ้น เธอก็ไม่ค่อยชัดเจน เพราะเรื่องพวกนี้พญายมเป็นคนเล่า
วันนี้เห็นตงฟางไป๋ผ่ายผอมลงไป แม้เขาจะไม่พูด เล่อเหยาเหยาก็รู้ว่าต้องตามหาไม่พบแน่!
เฮ้อ นั่นเพราะสูญหายมากว่าสิบหกปีแล้ว ตอนนี้ต้องตามหาดุจงมเข็มในมหาสมุทร!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกเศร้าในใจ
เพราะความรู้สึกสูญเสียคนรักเช่นนี้ เธอก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
แม้เธอกับตงฟางไป๋จะประสบความโชคร้ายที่แตกต่างกัน แต่ตั้งแต่เธอข้ามเวลามาที่นี่ ความจริงเวลาส่วนใหญ่ เธอก็คิดถึงครอบครัวของตนมากเช่นกัน
บิดาที่รักเธอดุจชีวิต และมารดาที่อ่อนโยนนั้น ไม่รู้ตอนนี้พวกเขาจะเป็นเช่นไร จะเสียใจเพราะการตายของเธอหรือไม่
คิดไปแล้วตนช่างอกตัญญู ทำให้พวกเขาเสียใจ
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกโศกเศร้าเสียใจ
ตงฟางไป๋เห็น เพียงคิดว่าเธอกำลังห่วงใยตนเท่านั้น อดเอ่ยปากขึ้นไม่ได้
“เสี่ยวเหยาจื่อเจ้าอย่าเป็นเช่นนี้ ข้า ข้าไม่เป็นไร”
“เช่นนั้นพี่ไป๋ต้องไม่เสียใจ คนดีเช่นท่าน สวรรค์ต้องช่วยให้ท่านตามหาน้องสาวเจอในเร็ววันนี้แน่”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋รู้ว่าเธอกำลังปลอบใจตน จึงอดหัวเราะ พลางเอ่ยว่า
“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด”
หลังจากนั้นเล่อเหยาเหยาและตงฟางไป๋ก็สนทนาเรื่องอื่น และสุดท้ายเล่อเหยาเหยาจำได้ว่าตนมาที่นี่ ความจริงยังมีอีกจุดประสงค์ ดังนั้นพลันเอ่ยกับตงฟางไป๋ว่า
“จริงสิ พี่ไป๋ ท่านช่วยตรวจร่างกายให้ข้าทีเถิด พักนี้ข้าคล้ายไม่สบาย”
“อะไรนะ เจ้ารู้สึกไม่สบายที่ใด รีบให้ข้าดูเร็วเข้า”