“นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดต้องทำให้คู่สามีภรรยาที่มีความรักใคร่ต่อกันอย่างลึกซึ้งพลัดพรากจากกันด้วยล่ะเจ้าคะ” หลินหลันเดินเข้ามาพร้อมคนกลุ่มหนึ่ง ในลานบ้านซึ่งเดิมทีเต็มไปด้วยความอลหม่านกลับสงบนิ่งลงทันใด
หลั้วเหยียนร้องไห้สะอึกสะอื้น ส่วนทางด้านหลี่หมิงเจ๋อยังคงยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าควรจะเดินออกไปจากตรงนี้ดีหรือไม่
หลินหลันส่งสายตาแลกเปลี่ยนกับหลี่หมิงอวินราวกับทั้งสองกำลังสื่อสารกัน หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “หมิงอวิน เจ้าไปหาท่านพ่อเถอะ เรื่องนี้เกรงว่าท่านพ่อคงยังไม่ทราบ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าเล็กน้อย ยามเดินเฉียดเรือนร่างของหลินหลัน หลี่หมิงอวินเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกระซิบ “ทางด้านนี้คงต้องฝากเจ้าจัดการแล้วละ”
“เจ้าวางใจเถิด” หลินหลันรับคำเสียงเบาอ่อนหวาน ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าหลี่หมิงเจ๋อกับติงหลั้วเหยียนจะต้องแยกจากกันหรือไม่ แต่เป็นการไปย้ำเตือนพ่อผู้ไร้ยางอาย เพื่อที่อีกเดี๋ยวพอเข้าไปอยู่ในคุกจะได้ตระหนักว่าอันใดควรพูดอันใดไม่ควรพูด มิใช่ถึงเวลาดันนำการกระทำผิดที่หมิงอวินไม่ได้ส่งมอบขึ้นไปเผยออกมาจนหมดเปลือก ดังนั้นการสร้างความมั่นใจในประเด็นนี้เป็นถือเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง
หลี่หมิงอวินพยักหน้าก่อนสาวเท้ายาวเดินจากไป
ติงฮูหยินเห็นหลี่หมิงเจ๋อถูกหลั้วเหยียนข่มขู่จนไม่กล้าขยับเขยื้อน ภายในใจทั้งโกรธเกรี้ยวทั้งร้อนรน นางมองซ้ายมองขวาเพื่อส่งสัญญาณ หลังจากนั้นหญิงวัยกลางคนร่างท้วมสองคนที่ดูแล้วมีพละกำลังไม่น้อยต่างพร้อมใจกันเดินเข้ามาจับตัวหลั้วเหยียน พยายามพาตัวไปด้วย
“ปล่อยข้านะ พวกเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น…” ติงหลั้วเหยียนขัดขืน แต่ด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดหรือจะสู้หญิงวัยกลางคนทั้งสองได้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” หลินหลันตะคอกก่อนเดินเข้าไปขวางไว้ สายตาคู่คมดุดันจับต้องไปยังติงฮูหยิน ได้ยินมาว่าติงฮูหยินอารมณ์ร้ายและปากจัดไม่น้อยทีเดียว ครั้งก่อนมาอาละวาดที่บ้านนี้ไปแล้วยกหนึ่ง ด่าทอหญิงชรากับแม่มดชราเสียจนอับอายขายหน้ายับเยิน น่าเสียดายที่ตอนนั้นนางไม่อยู่ด้วยจึงไม่ได้เห็นกับตาตนเอง วันนี้จึงนับว่าเป็นการได้เห็นอะไรต่อมิอะไรในมุมมองที่กว้างขวางขึ้น พอได้ยินว่าตระกูลหลี่กำลังเผชิญความยากลำบาก ติงฮูหยินก็รีบร้อนพาคนมาบีบบังคับตระกูลหลี่ให้หย่าขาดต่อกันถึงที่ นี่มันช่างเผด็จการและไร้เหตุผลสิ้นดี
ติงฮูหยินรู้ดีว่าผู้นี้คือสะใภ้รองของตระกูลหลี่ แม้จะเคยได้ยินข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับสะใภ้รองตระกูลหลี่มาไม่น้อยเช่นกัน ทว่านางก็ไม่เห็นหลินหลันอยู่ในสายตาแต่อย่างใด “ข้าจะพาลูกสาวข้าไป ใครจะทำอันใดได้หรือ” นางกล่าวอย่างไม่แยแส
หลินหลันแสยะยิ้ม “ทว่าฮูหยินอย่าได้ลืมไปสิเจ้าคะ เดือนสามปีที่แล้ว ท่านให้บุตรสาวของท่านแต่งงานมาเป็นสะใภ้ของตระกูลหลี่ ตอนนี้ท่านต้องการพาลูกสะใภ้ของตระกูลหลี่ไป แล้วท่านว่าคนของตระกูลหลี่ยังทำอันใดมิได้อีกหรือเจ้าคะ แน่นอนละ หากตัวพี่สะใภ้เองต้องการไป ข้าก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใดและเชื่อว่าพี่ใหญ่ก็คงไม่ขัดข้องเช่นกัน แต่จากคำพูดเมื่อครู่ของพี่สะใภ้ข้า บุตรสาวของท่าน ฮูหยินก็ได้ยินแล้วเช่นกันว่าพี่สะใภ้ไม่ยินยอม ดังนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนก็เลิกคิดพานางจากไปได้เลยเจ้าค่ะ”
หลินหลันยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ เหวินซานจึงนำกลุ่มข้ารับใช้หนุ่มมุ่งเข้าไปรายล้อมกลุ่มของติงฮูหยินไว้
ติงฮูหยินเปลี่ยนสีหน้า กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จะทำอันใด เจ้าคิดจะลงไม้ลงมือกับข้าเช่นนั้นหรือ”
“เช่นนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับว่าฮูหยินจะให้โอกาสที่ว่านี้หรือไม่เจ้าค่ะ” หลินหลันต่อปากต่อคำกับนางไม่ลดละ ไม่อ่อนข้อแม้แต่น้อย
“ฮูหยินคิดว่าการที่ท่านกระทำเช่นนี้เป็นความหวังดีต่อบุตรสาวท่าน แต่กลับไม่คิดดูเสียหน่อยว่า ตระกูลสามีประสบความยากลำบาก นอกจากร่วมฝ่าฟันความทุกข์ยากลำบากไปด้วยกันไม่ได้แล้วยังมาบีบบังคับให้สามีภรรยาหย่าร้างกันเพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยของตนเองเท่านั้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ตระกูลติงของพวกท่านจะยังมีหน้าเหลืออยู่อีกหรือไม่ แล้วในภายภาคหน้าจะให้บุตรสาวของท่านวางตัวเช่นไรหรือ มิเกรงว่าจะถูกคนเขาติฉินนินทาลับหลัง ถูกตำหนิให้ร้ายว่ากล่าวสาดเสียเทเสียหรอกหรือ อีกอย่าง ตระกูลหลี่ยังมิได้ถูกกำหนดว่าจะพังพินาศหรือประสบความสำเร็จเสียหน่อยเจ้าค่ะ! ท่านดันรีบร้อนมาตัดขาดกันอย่างไร้เยื่อใยกับตระกูลหลี่เช่นนี้ เกิดนี่เป็นเพียงสถานการณ์ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งของตระกูลหลี่เท่านั้นละเจ้าคะ” หลินหลันกล่าวหน้าตาเฉย
ติงฮูหยินแสยะยิ้ม “พวกเจ้ายังฝันหวานอยู่อีกหรือ! ไม่พ้นวันนี้ พระราชโองการให้ค้นบ้านและยึดทรัพย์ก็คงมาถึงแล้ว หรือว่าพวกเจ้าจะลากลูกสาวข้าลงหลุมฝังไปพร้อมกับพวกเจ้าด้วยหรือ”
“ท่านแม่ ต่อให้ต้องลงหลุมฝังไปด้วยกันก็เป็นความเต็มใจของลูกเจ้าค่ะ” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าแน่วแน่เด็ดขาด
นัยน์ตาของหลินหลันเป็นประกายทันทีทันใด นางกล่าวด้วยเสียงดังฟังชัดภายใต้สีหน้าอันน่าเกรงขาม “ทุกคนได้ยินแล้วสินะ ต้าเส้าหน่ายนายไม่ยินดีจากไป แต่พร้อมจะอยู่ฝ่าฟันอุปสรรคความยากลำบากไปพร้อมกับต้าเส้าเหยีย หากมีผู้ใดยืนกรานจะพานางไปต้องทำอย่างไรนะ”
เหวินซานชูกำปั้นขึ้นพร้อมส่งเสียงตะโกนขึ้น “ขับไล่ออกไป!”
ตามด้วยเสียงของกลุ่มคนที่พร้อมใจกันขานรับ “ขับไล่ออกไป ขับไล่ออกไป…”
ติงฮูหยินที่อาจหาญมาแต่ไหนแต่ไรกลับไม่เคยพบเจอผู้ที่อาจหาญและไร้เหตุผลเสียยิ่งกว่านางเท่าหลินหลันผู้นี้ ที่น่าโมโหคือบุตรสาวของตนเองไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย นางสะกดกลั้นความเดือดดาลภายในใจแล้วเอ่ยเกลี้ยกล่อมหลั้วเหยียน “ลูกแม่ เรื่องนี้มิใช่เรื่องล้อเล่นนะลูก ดีไม่ดีจะถูกตัดหัวเอาได้ เจ้าคิดให้ดีๆ อย่าให้ถึงตอนท้ายมาเสียใจภายหลังก็สายไปเสียแล้ว”
หลั้วเหยียนจ้องมองหมิงเจ๋อแล้วกล่าวอย่างเด็ดขาด “ลูกไม่เสียใจภายหลังแน่นอนเจ้าค่ะ”
ดวงตาทั้งสองของติงฮูหยินเต็มไปด้วยความเดือดดาล นางสะบัดชายแขนเสื้ออย่างกราดเกรี้ยวแล้วกล่าวต่อข้ารับใช้ที่ติดตามมา “กลับ!”
หลินหลันเอ่ยด้วยเสียงดังฟังชัด “เหวินซาน ส่งแขก”
เหวินซานรีบเดินตามไปติดๆ จนกระทั่งคนของตระกูลติงออกพ้นจวนหลี่ไป
หัวหน้าสาวใช้วัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ที่ติงฮูหยินเอ่ยเป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ”
หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “วางใจเถิด ฟ้ายังไม่ถล่มทลายลงมาเลย! ต่อให้ถล่มลงมาก็มีเหล่าเหยียแบกรับอยู่ เหล่าเหยียแบกรับไม่ไหวก็ยังมีเส้าเหยีย ทุกคนไปทำงานต่อเถอะ!”
ทุกคนมองดูสีหน้าไร้ความกังวลของนายหญิงสะใภ้รองจึงสบายใจขึ้นและคิดไปว่าฮูหยินตะกูลติงคงตีโพยตีพายไปเอง จึงพากันแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง
หลินหลันเดินไปหน้าหมิงเจ๋อและเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “พี่ใหญ่ ใครๆ ก็เอ่ยว่าสามีภรรยาเดิมทีไม่ต่างจากวิหคในป่าเดียวกัน เมื่อเผชิญอันตรายอันใหญ่หลวงต่างโบยบินกันไปตัวใครตัวมัน ทว่าพี่สะใภ้กลับยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อฝ่าฟันความยากลำบากไปพร้อมกับท่าน ดังนั้นแม้พี่ใหญ่จะมีความทุกข์ยากเพียงใดก็อย่าได้ทำลายน้ำใจอันยิ่งใหญ่นี้ของพี่สะใภ้ใหญ่เชียวนะเจ้าคะ”
สีหน้าหมิงอวินยามมองหลั้วเหยียนเปี่ยมความประทับใจ ก่อนหันมากล่าวต่อหลินหลัน “ข้ารู้แล้วว่าต้องทำอะไร ข้าจะไปวางแผนเดี๋ยวนี้ละ”
หลินหลันฉีกยิ้มขึ้นทันที “ต้องแบบนี้สิเจ้าคะ”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่งและเด็ดเดี่ยว เปลี่ยนไปจากท่าทีอันแสนอ่อนโยนเฉกเช่นในอดีต “ข้าก็จะไปวางแผนไว้บ้างเช่นกัน เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่เกิดความอลหม่านภายในบ้านเรา”
เวลานี้หลี่จิ้งเสียนกำลังกังวลว่านางฮานหายไปอยู่แห่งหนใด จะว่าไปมันก็แปลกประหลาดไม่น้อย ว่ากันตามหลัก ระหว่างทางที่เคลื่อนรถไปนายสวี่จะทิ้งสัญลักษณ์ไว้ให้ ทว่าท้ายที่สุดคนที่เขาส่งออกไปติดตามกลับตามหาแหล่งปักหลักของนางฮานไม่พบ นางฮานกำลังเป็นหนามยอกอกของเขา ซึ่งหนามนี้หากไม่ได้ดึงออกเขาก็คงไม่มีวันใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขไปได้
หลี่จิ้งเสียนจ้องมองผู้ดูแลจ้าวด้วยความเคลือบแคลงใจขณะกล่าวอย่างใจเย็น “ผู้ดูแลจ้าว เจ้าคงมิได้แอบไปบอกกล่าวให้มันรู้ตัวกระมัง”
ผู้ดูแลจ้าวกล่าวด้วยสีหน้าหวาดเกรง “บ่าวมิบังอาจขอรับ บ่าวมีนายก็คือนายท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้นขอรับ บ่าวมิกล้าทำเรื่องหักหลังผู้เป็นนายเด็ดขาดขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนจ้องมองเขาอยู่เนิ่นนานพอตัวก่อนกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว ส่งคนออกไปสืบเสาะอย่างละเอียดอีกที จำเป็นต้องหาแหล่งที่ปักหลักของนางฮานให้พบ”
ผู้ดูแลจ้าวกล่าวขึ้นทันควันภายใต้ความรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง “ขอรับ บ่าวจะรีบไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“จริงสิ ทางด้านใต้เท้าจงฝ่ายตรวจการมีข่าวคราวอันใดบ้างหรือไม่” หลี่จิ้งเสียนเอ่ยถาม ใต้เท้าติงฝ่ายตรวจการขุนนางเป็นตระกูลเกี่ยวดองของเขาได้รับบัญชาไม่ให้เข้าร่วมการตรวจสอบคดีความของเขา ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงอาศัยพวกพ้องคนอื่นให้ช่วยจับตาดูความเคลื่อนไหวของใต้เท้าหยาง
ผู้ดูแลจ้าวกล่าวตอบ “บ่าวนำของขวัญไปส่งมอบให้แล้วขอรับ ใต้เท้าจงเอ่ยว่าทันทีที่ได้รับข่าวคราวจะรีบบอกกล่าวให้เหล่าเหยียรับทราบทันทีขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนทอดถอนหายใจแล้วยกมือขึ้นโบกปัด “ออกไปเถอะ!”
ผู้ดูแลจ้าวรีบโค้งตัวคำนับให้แล้วถอยหลังออกไปแต่กลับเกือบชนเข้ากับใครคนหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงพบว่าเป็นนายน้อยรองนั่นเอง
“เอ้อร์เส้าเหยีย...”
หลังได้ยินว่าหมิงอวินมาเข้าพบ หลี่จิ้งเสียนเผยรอยยิ้มดีใจพร้อมฝาถ้วยน้ำชาในมือที่ค้างเติ่งอยู่เช่นนั้น “หมิงอวินมาแล้วหรือ!”
ตั้งแต่เหตุการณ์ที่ถูกนางฮานบีบบังคับจนหลุดปากเอ่ยถึงเรื่องราวอันเป็นความลับในอดีตในวันนั้น หมิงอวินหากไม่หลบหลีกหนีหน้าเขาก็จะแสดงออกอย่างเฉยเมยประหนึ่งคนไม่รู้จักกัน หลายต่อหลายครั้งที่เขาอยากพูดคุยกับหมิงอวินให้ดีๆ แต่กลับไม่มีโอกาส วันนี้กลับเป็นหมิงอวินที่เป็นฝ่ายมาพบเขา หลี่จิ้งเสียนจึงคิดว่านี่เป็นโอกาสดีงามหนึ่ง
หลี่หมิงอวินก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าพร้อมยกสองมือขึ้นคารวะ สีหน้ากระวนกระวายใจอย่างเด่นชัด “ท่านพ่อ เกิดเรื่องแล้วขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนตระหนกตกใจ ทว่ายังคงพยายามสะกดให้ตนเองสงบนิ่งเข้าไว้ “เรื่องอันใดหรือ”
“เมื่อครู่ติงฮูหยินพาคนมาต้องการพาตัวพี่สะใภ้ใหญ่ไปขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตกใจ แสดงออกอย่างแข็งกร้าว ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเท่าใดนักส่งผลให้น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ “ด้วยเหตุอันใดหรือ”
หลี่หมิงอวินกล่าว “ติงฮูหยินเอ่ยว่า ท่านพ่อ…ท่านพ่อมีเรื่องรับสินบน ซึ่งฝ่ายตรวจการขุนนางตรวจสอบพบแล้วขอรับ ดังนั้นบางทีพระราชโองการคงกำลังมาถึงในเร็วๆ นี้ขอรับ”
ทันใดนั้นฝาถ้วยน้ำชาในมือของหลี่จิ้งเสียนกลับร่วงลงพื้นแตกกระจายเกิดเสียงดัง ‘เพล้ง’ หลี่จิ้งเสียนตกตะลึง สีหน้าซีดเผือด
“ท่านพ่อ ท่านควรรีบเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ ถึงจะถูกนะขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าว
เนิ่นนานผ่านไป หลี่จิ้งเสียนยังคงไม่อาจดึงสติกลับจากข่าวร้ายสะเทือนขวัญนี้ได้ ตรวจสอบพบแล้ว เช่นนั้นก็เท่ากับเขาถึงคราวจบสิ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางหน้าที่การงาน ชื่อเสียงอันดีงามและความร่ำรวย ทั้งหมดมันจบสิ้นแล้ว ความยากลำบากที่เขาพยายามต่อสู้มาทั้งหมดเป็นอันต้องจบสิ้นลงเช่นนี้แล้ว…
“ท่านพ่อ จากคำพูดของติงฮูหยิน ความจริงที่ตรวจสอบพบในวันนี้คือช่วงเวลาที่ท่านพ่อปฏิบัติหน้าที่ในเมืองเทียนจิน ได้กระทำการรับสินบนคดีหนึ่งไว้ ท่านพ่อ ท่านจำเป็นต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนนะขอรับว่านอกจากนี้แล้วยังมีช่องโหว่อันใดอื่นให้เอาผิดได้อีกหรือไม่” หลี่หมิงอวินเอ่ยย้ำเตือนเกี่ยวกับการกระทำผิดของบิดาที่มากมายเป็นหางว่าว การตัดหัวยังนับว่าเป็นโทษสถานเบาด้วยซ้ำ เขาศึกษาเกี่ยวกับตัวบทกฎหมายไว้ก่อนหน้า ด้วยเหตุนี้จึงขุดออกมาเพียงเรื่องการรับสินบนเรื่องเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาเองก็ไม่กล้าให้ถูกเปิดเผยออกไปเช่นกัน การกระทำผิดจากการรับสินบนแตกต่างจากการยักยอกทรัพย์ในกองทุนบรรเทาภัยพิบัติ กรณีแรกบทลงโทษไม่ถึงขั้นต้องแลกด้วยชีวิต อย่างมากก็หลุดออกจากตำแหน่งขุนนาง ถูกค้นบ้านและยึดทรัพย์สินทั้งหมด ส่วนกรณีหลังมีบทลงโทษเดียวเท่านั้น ก็คือต้องแลกด้วยชีวิต
สมกับที่หลี่จิ้งเสียนคลุกคลีอยู่กับการเป็นขุนนางมาหลายสิบปีจึงมองเห็นโอกาสหนึ่งจากคำบอกเล่าของหมิงอวิน ในเมื่อเรื่องราวย่ำแย่มาถึงขั้นนี้แล้ว คงทำได้เพียงครุ่นคิดว่าจะทำเช่นไรถึงจะรักษาชีวิตนี้ให้อยู่รอดไปได้
ทันใดนั้นเขาทรุดตัวลงนั่งแล้วกล่าวขึ้น “ผิดที่พ่อหน้ามืดตามัว ต้านทานสิ่งยั่วยุนั่นไม่ได้”
มาสำนึกผิดเอาตอนนี้คงสายเกินไปเสียแล้ว! หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเป็นเรื่องนี้เรื่องเดียว บางทีคงยังพอรักษาชีวิตของคนในตระกูลหลี่เราเอาไว้ได้ ขอท่านพ่อช่วยบอกกล่าวข้อมูลที่แน่ชัดให้แก่ลูกด้วยขอรับ ลูกจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ เช่นกันขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนครุ่นคิดอย่างหนัก “ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว เพียงเท่านี้ชีวิตพ่อก็เป็นอันหมดสิ้นความหวังแล้วละ”
“ต่อให้มี ก็ขอท่านพ่อช่วยทำเพื่อความปลอดภัยของคนสกุลหลี่โดยการเก็บงำมันเอาไว้ให้มิดชิดด้วยนะขอรับ!”
หลังกลับมาถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หลินหลันก็เรียกแม่โจวพร้อมข้ารับใช้ทั้งหมดในเรือนมารวมตัวกัน
“แม่โจว พระราชโองการค้นบ้านและยึดทรัพย์คงมาถึงในวันนี้ ท่านและกุ้ยซ่าวต่างมิได้อยู่ในนามข้ารับใช้ของจวนหลี่ จึงน่าจะไม่ติดร่างแหไปด้วย หรูอี้ จิ่นซิ่ว อวิ๋นอิ่ง สัญญาซื้อขายตัวพวกเจ้าอยู่นี่ ตอนนี้ข้าขอคืนให้พวกเจ้า หากพวกเจ้ามีที่ไปเป็นของตนเองก็แยกย้ายกันไปเถอะ! หากไม่มีที่ไปก็ให้แม่โจวช่วยจัดการให้พวกเจ้า…” หลินหลันทยอยสั่งการทีละประเด็น
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ มันร้ายแรงเพียงนั้นจริงๆ หรือ เช่นนั้นท่านล่ะเจ้าคะ” แม่โจวกล่าวด้วยความกังวล
หลินหลันเผยรอยยิ้มสงบเยือกเย็น แสร้งกล่าวอย่างไร้ความกังวลใดๆ “โชคชะตาเป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าจะคาดเดาได้ ทั้งหมดจึงไม่อาจรับรู้ได้ในยามนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเตรียมการสำหรับกรณีที่เลวร้ายมากที่สุดเอาไว้ ส่วนตัวข้า…แน่นอนว่าข้าต้องอยู่กับเอ้อร์เส้าเหยีย หากข้าไม่ติดร่างแหไปด้วยนั่นคงเป็นการดีที่สุด หากต้องเข้าคุกไปด้วยกันคงจำเป็นต้องรบกวนพวกเจ้าช่วยส่งข้าวปลาอาหารให้ข้าสักสามสี่มื้อแล้วกัน”
ดวงตาของจิ่นซิ่วแดงระเรื่อ นางกล่าวทั้งน้ำตา “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ข้ามิไปไหนทั้งนั้น ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน หากท่านถูกจับเข้าคุกไป ถึงอย่างไรข้างกายเอ้อร์เส้าหน่ายนายก็ต้องมีใครสักคนคอยปรนนิบัตินะเจ้าคะ”
หรูอี้และอวิ๋นอิ่งต่างเอ่ยขึ้นมาเช่นกัน “พวกเราก็ไม่ไปไหนเช่นกันเจ้าค่ะ”
หลินหลันจะร้องไห้ก็มิใช่เรื่อง จะหัวเราะก็มิใช่เรื่อง นางจึงเลือกที่จะกล่าวเชิงตำหนิเบาๆ “พวกเจ้าเห็นคุกนั่นเป็นสถานที่เล่นสนุกหรือไร! ถึงได้แย่งกันไปเช่นนี้น่ะ มิใช่ว่าจะเป็นการไปเพิ่มความวุ่นวายให้ข้าหรอกหรือ ทุกคนเชื่อฟังข้า ไม่อนุญาตให้ผู้ใดคัดค้านทั้งสิ้น”