หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.490 – เสื้อคลุมดวงดารา

 

“ต้องการเสื้อคลุมดวงดาราอย่างงั้นหรอ .. ”

 

ซูเซี่ยเอ๋องึมงำ

 

ทันใดนั้น เธอก็กวาดมือออกไป พร้อมกับเสื้อคลุมสีดำที่เต็มไปด้วยดวงดาราปรากฏขึ้นมาในฉับพลัน

 

เมื่อได้เห็นถึงเสื้อคลุมนี้ สีหน้าของทั้งแปดจ้าวมณฑลก็แปรเปลี่ยนไป

 

ซูเซี่ยเอ๋อไม่ทราบเกี่ยวกับมันก็จริง แต่สำหรับแปดจ้าวมณฑลที่เหลือแล้วพวกเขารู้!

 

ว่ายามใดที่สวมใส่เสื้อคลุม ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลก็จะสามารถเฝ้ามองถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้

 

เสื้อคลุมนี้จึงเปรียบดั่งเกราะคุ้มภัยอันยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับจ้าวมณฑลทั้งเก้า

 

ดังนั้น พวกเขาจึงกล้าที่จะจัดการกับพ่อแม่ของซูเซี่ยเอ๋อ ทว่าไม่กล้าที่จะลงมือกับซูเซี่ยเอ๋อโดยตรงตั้งแต่แรก

 

แม้แต่กับซูเซี่ยเอ๋อพวกเขายังจะต้องลงมือผ่านพ่อแม่ นับประสาอะไรกับยามที่เสื้อคลุมปรากฏขึ้นมา คงไม่ต้องกล่าวถึง พวกเขาจึงยินดีละทิ้งโอกาสนี้ แล้วค่อยไปลงมือเอาคราวหน้าก็ได้

 

“หยุดมือ!” แปดจ้าวมณฑลเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน

 

ซูเซี่ยเอ๋อเป็นคนแรกที่ผ่านการสืบทอดความแข็งแกร่งในรอบหลายพันปี เป็นคนที่ได้รับการโปรดปรานจากท่านผู้พิทักษ์

 

และพวกเขาไม่กล้าที่จะให้ท่านผูิพิทักษ์ค้นพบว่า พวกตนกำลังจะจัดการกับซูเซี่ยเอ๋ออยู่

 

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดหยุดการโจมตี ปากอ้าหอบหายใจหนักหน่วง

 

ทุกชนิดของเทคนิคมนตราได้ระเบิดการโจมตีไปเป็นเวลานาน แต่กลับไม่สามารถทำร้ายตระกูลซูทั้งสามคนได้เลย ยิ่งนาน ในหัวใจของผู้ฝึกยุทธอดไม่ได้ที่จะยิ่งท้อมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ

 

พวกเขาฝึกฝนมาได้ถึงระดับหนึ่ง แถมยังสามารถปลุกการรับรู้ทางพลังวิญญาณให้ตื่นขึ้นมาแล้วอีกด้วย

 

ทั้งหมดจึงมีลางสังหรณ์อันบางเบา มันเป็นสังหรณ์ร้ายผุดเข้ามาในการรับรู้ทางพลังวิญญาณของเหล่าผู้ฝึกยุทธชั้นยอดเหล่านี้

 

ดังนั้น เมื่อได้รับฟัง ทั้งหมดจึงฉวยโอกาสนี้หยุดมือทันที

 

ตลอดทั้งลานเงียบสงัด

 

ท่ามกลางความเงียบ สายตาทั้งหมดต่างจ้องมองมายังซูเซี่ยเอ๋อ

 

“นี่มันเรื่องจริงงั้นหรือนี่?”

 

“นั่นน่ะเหรอเสื้อคลุมดวงดาราที่เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงสถานะของจ้าวมณฑล?”

 

“ดูเหมือนว่าจะใช่นะ”

 

“เสื้อคลุมนั้นสวยจัง!”

 

“ปรากฏว่าตำนานเป็นความจริงสินะ”

 

….

 

ผู้คนต่างลดเสียง และเริ่มกระซิบกระซาบ

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองซูเซิงเหวินกับมาดามซูด้วยสายตาที่ราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า

 

เธอถือเสื้อคลุมดวงดาราเดินตรงไปหาพ่อแม่ของตัวเอง

 

“ท่านพ่อ ท่านแม่ เสื้อคลุมอยู่นี่แล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่หนูอยากจะบอกกับท่านให้มันชัดเจน”

 

“เซี่ยเอ๋อ เจ้าพูดมาได้เลย”

 

“เมื่อท่านเอาเสื้อคลุมนี่ไปแล้ว ตัวหนูจะถือว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซูอีกต่อไป ถ้าตกลงให้หนูออกจากตระกูลซู พ่อกับแม่ก็เอาเสื้อคลุมนี้ไปได้เลย”

 

ซูเซี่ยเอ๋อพูดอย่างใจเย็น

 

ขณะที่ภายในดวงตาของเธอ ประกายสุดท้ายจากหยาดน้ำใสๆได้ผุดออกมา

 

“พูดอะไรไร้สาระ!” ซูเซิงเหวินตะโกน “ต่อให้เสื้อคลุมอยู่ในมือพ่อ เจ้าก็ยังเป็นลูกสาวของพ่ออยู่ดี”

 

เขาคว้าเสื้อคลุม และสวมมันทับใส่ตนเอง

 

บังเกิดความปั่นป่วนขึ้นในฝูงชน

 

แบบนี้ ก็แสดงว่าเสื้อคลุมดวงดาราของตระกูลซู ได้ถูกเปลี่ยนมือไปแล้วใช่ไหม?

 

ผู้คนอดไม่ได้ที่จะระงับเสียงของตนเอง

 

กระทั่งใบหน้าของทั้งแปดจ้าวมณฑล ก็ยังเผยถึงความซับซ้อน

 

ซูเซี่ยเอ๋อมองดูเสื้อคลุมที่พ่อของเธอสวมใส่ ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ … ”

 

เธอลดหัวลง พร้อมกับประกายระยับในแววตาที่หายไป

 

ไม่มีใครสามารถมองเห็นสีหน้าของเธอในเวลานี้ได้

 

มาดามซูเดินมาจะดึงลูกสาวเข้าไปกอด

 

“ลูกสาวที่ดี-”

 

แต่ซูเซี่ยเอ๋อกลับก้าวถอยหลัง หลบฉากออกมา

 

เธอเลี่ยงมือของมาดามซู และหันไปมองอีกแปดจ้าวมณฑล

 

“อีกเรื่องหนึ่ง”

 

“พวกคุณต้องล้มเลิกการก่อตั้งสหพันธ์พันธมิตรผู้ฝึกยุทธซะ” เธอกล่าว

 

คราวนี้ฝูงชนโดยรอบล้วนตกตะลึง

 

แต่ละคนต่างหันไปสบตากับคนข้างๆ

 

ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าสถานการณ์มันจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบนี้

 

เพื่อก่อตั้งสหพันธ์พันธมิตรขึ้น ทางเก้าตระกูลใหญ่จำต้องทุ่มออกด้วยความพยายามเป็นอย่างมาก

 

มันคือองค์กรที่จะใช้เพื่อยึดครองและนำพาผู้คนทั้งโลก แต่ตอนนี้ ซูเซี่ยเอ๋อกลับประกาศออกมาว่าให้ทุกคนล้มเลิกมันไปซะ

 

ผู้คนจ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นชา

 

“เจ้าไม่ใช่จ้าวมณฑลอีกต่อไปแล้ว!” จ้าวมณฑลคนหนึ่งกล่าว

 

ขณะที่จ้าวมณฑลคนอื่นๆส่งสัญญาณทางสายตาให้กันและกัน

 

บัดนี้ ซูเซี่ยเอ๋อมิได้ครอบครองชุดคลุมดวงดาราอีกต่อไป

 

ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าท่านผู้พิทักษ์จะเห็นถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ตอนนี้ พวกเขาสามารถลงมือจัดการกับซูเซี่ยเอ๋อได้เลยโดยตรง

 

ไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่ก็น่าจะมีจุดอ่อนอยู่บ้างแหละน่า

 

จับเธอได้เมื่อไหร่ ก็จะค่อยๆทรมานเธอจนคายความลับออกมา จากนั้นเก้าตระกูลใหญ่ก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

 

นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ

 

หนึ่งในจ้าวมณฑลอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความปิติในหัวใจ เขาหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “เรื่องใหญ่แบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวตัวน้อยๆจะตัดสินใจได้หรอก”

 

ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว “ไม่ หนูมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้”

 

ว่าแล้ว เธอก็เคาะคทาลงกับพื้นเบาๆ

 

ปัง!!

 

พื้นโลกบังเกิดการสั่นสะเทือนเป็นระลอกคลื่น

 

เงาสีเทาสูงตระหง่านผุดออกมาจากเมฆบนฟ้า ตกลงมาตรงประตูลานกว้าง

 

มันคือมอนสเตอร์ที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน

 

โดยไม่ต้องรีรอให้ฝูงชนตื่นตระหนก เหล่าผู้รักษาความปลอดภัยในสถานที่ดังกล่าวก็เข้าตอบโต้ทันที

 

ทุกชนิดของอาวุธที่ทันสมัย ผสานไปด้วยเทคนิคมนตราระเบิดเข้าใส่มอนสเตอร์ตัวนั้น

 

ประกายไฟที่งดงามกระจัดกระจายไปทั่ว

 

ทว่ามอนสเตอร์กลับดูจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

 

บรรดาจ้าวมณฑลมองหน้ากัน และเห็นถึงความประหลาดใจในแววตาของอีกฝ่าย

 

ซูเซี่ยเอ๋อสามารถควบคุมมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ได้หรือนี่?

 

แถมยังเป็นมอนสเตอร์ที่ต่อให้พวกเขารุมโจมตีด้วยอาวุธและมนตราที่รุนแรงที่สุด ก็ยังไม่ได้รับอันตรายใดๆแม้เพียงน้อย

 

ซูเซี่ยเอ๋อทำได้อย่างไรกัน?

 

“นี่ใช่เป็นการทักทายหรือไม่? พวกเขาดูกระตือรือร้นที่จะต้อนรับข้ามากทีเดียว” มอนสเตอร์เอ่ยถามด้วยความภาคภูมิในตนเอง

 

มีเพียงคำพูดของซูเซี่ยเอ๋อคนเดียวเท่านั้น ที่มันสามารถเข้าใจได้

 

“เปล่าหรอก พวกเขากำลังใช้พลังของตนเองโจมตีเจ้าอยู่น่ะ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว

 

“อ่าว เป็นงั้นหรอกหรือ?” มอนสเตอร์แลดูจะผิดหวังเล็กน้อย

 

ในเวลานั้นเอง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุดก็ทะยานตัวขึ้น หมายจะโจมตีเข้าใส่มอนสเตอร์

 

และเขาคือผู้ที่มีพื้นฐานวรยุทธสูงส่งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกยุทธในฉากนี้

 

“บ๊ะ!”

 

มอนสเตอร์ถ่มน้ำลายใส่ผู้ฝึกยุทธ

 

แล้วผู้ฝึกยุทธขั้นแก่นทองคำก็กรีดร้องอย่างน่าเวทยาออกมา บังเกิดกระแสลมอันแข็งกร้าวฉีกกระชากร่างกายของเขา ผสานไปกับน้ำลายที่กัดกร่อนเลือดเนื้ออย่างรวดเร็ว

 

พริบตาเดียว ทั้งคนทั้งร่างก็หลงเหลือเพียงไม่กี่ส่วน และถูกพัดพาไปกับสายลม

 

ผู้ฝึกยุทธตลอดทั้งฉากสั่นสะท้าน

 

ซูเซี่ยเอ๋อลูบไล้คทาของเธอ ย่ำลงบนพื้นดินอย่างแผ่วเบา

 

เธอลอยตัวขึ้นไปเหนือหัวของมอนสเตอร์ยักษ์ กดสายตาลงมองทุกชีวิตที่อยู่เบื้องล่าง

 

มอนสเตอร์สัมผัสได้ถึงสภาพจิตใจของเธอ มันจึงเอ่ยเตือนออกมา “ดูเหมือนว่าเกือบทุกคนจะเป็นคนที่ท่านรู้จัก ท่านต้องการที่จะทำแบบนี้จริงๆน่ะหรือ?”

 

“ไม่จำเป็นต้องพูด ฉันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาอีกแล้ว”

 

ซูเซี่ยเอ่อกล่าวสิ่งที่ตนคิด

 

เธอยื่นคทาออกมา และโบกมันไปทางเบื้องล่าง

 

บังเกิดแสงสีขาวพิสุทธิ์พวยพุ่งจากคทา

 

แสงสีขาวนี้กวาดลงไปตลอดทั้งลานกว้าง โดยที่ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ

 

จ้าวมณฑลทั้งแปดและหลายร้อยผู้ฝึกยุทธ หรือแม้กระทั่งผู้คนทั้งหมดในงานล้วนมิอาจต้านทานได้

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าแสงพิสุทธิ์นี้ พวกเขาไม่มีเวลาแม้จะกรีดร้องด้วยความอนาถ แขนขาถูกแยกออก อวัยวะกระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ

 

ลานกว้างที่เมื่อครู่พลุกพล่านและคึกคักไปด้วยเจ้าของงานและแขกเหรื่อ ได้กลายเป็นทะเลเลือดในพริบตา

 

หลงเหลือเพียงซูเซิงเหวินกับมาดามซูเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่

 

ทั้งสองสั่นสะท้านท่ามกลางซากศพ

 

ซูเซี่ยเอ๋อหลับตาลงแล้วสูดหายใจลึก

 

ดูเหมือนว่าเธอกำลังรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่าง

 

“นายหญิง ขอแสดงความยินดีด้วยสำหรับการรับรู้ถึงความตื่นเต้นในการสังหาร” มอนสเตอร์คำราม

 

“นี่น่ะหรือคือความตื่นเต้นในการสังหาร?”

 

“ถูกต้องแล้ว” มอนสเตอร์โบกไม้โบกมือของมันด้วยความปิติ

 

“ … ไม่ใช่หรอก”

 

ซูเซี่ยเอ๋อลืมตาและกล่าว “นี่มันเป็นแค่วิธีการแก้ปัญหาง่ายๆ และฉันเองก็ไม่รู้สึกอะไรกับมันเลย” เธอกล่าว

 

“ไม่รู้สึกงั้นหรือ?” มอนสเตอร์เผยถึงความประหลาดใจ

 

“แน่นอน เพราะพวกเขาพึ่งจะตายเท่านั้น และมันยังไม่จบลงแค่นี้”

 

ซูเซี่ยเอ๋ออธิบายและยกคทาในมือขึ้น

 

พร้อมกับร่างลวงตานับไม่ถ้วนถูกยกสูงขึ้นด้วยพลังที่มองไม่เห็นลอยขึ้นมาเหนือลานกว้าง

 

วิญญาณเหล่านี้ได้ตระหนักถึงสายตาของซูเซี่ยเอ๋อ

 

วิญญาณทั้งหมดพยายาที่จะหลบหนีออกไป แต่ก็ถูกกักขังอยู่ในบริเวณดังกล่าว และไม่สามารถออกไปไหนได้เลย

 

ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองไปยังจิตวิญญาณเหล่านั้น

 

เธอยกคทาขึ้นและชี้ไปที่วิญญาณทั้งหลายที่พึ่งจะสูญเสียร่างกายของตัวเองไป

 

“จงหลอมรวม” เธอเอ่ยสั่ง

 

คทาในมือวูบไหว

 

หลายร้อยวิญญาณต่างพากันเปล่งเสียงสลดขึ้นในเวลาเดียวกัน

 

วิญญาณเหล่านั้นแตกกระจายโดยสิ้นเชิง กลายเป็นจุดแสงสีดำ

 

จุดแสงเหล่านั้นหลอมรวมกันเป็นก้อนทรงสี่เหลี่ยมและถูกดูดซึมเข้าไปในคทา

 

ขณะที่สีของคทาแลดูจะเข้มขึ้น

 

ซูเซี่ยเอ๋อใช้นิ้วมืออีกข้างเคาะเบาๆลงบนหัวคทา

 

และใบหน้าของมนุษย์นับไม่ถ้วนก็ผุดออกมาจากคทา จ้องมองเธอด้วยความหวาดกลัว

 

พวกเขาอ้าขยับปาก พยายามร้องตะโกนขอความเมตตาแต่ก็ไม่สามาถส่งเสียงใดๆได้เลย

 

ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองคนเหล่านั้นที่กำลังเจ็บปวดและหวาดกลัว

 

คิ้วที่ขมวดมุ่นของเธอค่อยๆคลายลง

 

ใช่แล้วล่ะ การแบ่งหรือหลอมรวมวิญญาณน่ะ มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดยิ่ง

 

ความตายจะนับว่าเป็นสิ่งใดกัน เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดนี้?

 

“เจ้าลองมองดูสิ จับพวกเขาเอาไว้แบบนี้ แล้วทรมานจิตวิญญาณของพวกเขา … มันทำให้รู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าซะอีก … ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อหันไปกล่าวกับมอนสเตอร์

 

มอนสเตอร์มองไปยังวิญญาณที่กำลังถูกหลอมรวมเข้าด้วยเจ็บปวด ขณะที่ได้ยินเสียงกระซิบเย็นชาของซูเซี่ยเอ๋อ มันก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

 

“มีอะไรงั้นหรอ?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“ไม่มีสิ่งใด นายหญิงที่เคารพของข้า ข้าพร้อมและยินดีที่จะรับใช้ท่านเสมอ” มอนสเตอร์กล่าวด้วยความเคารพ

 

มันพยายามที่จะสงบสติอารมณ์

 

แต่ทันใดนั้นการแสดงออกทางสีหน้าของซูเซี่ยเอ๋อก็เปลี่ยนไปทันใด

 

เธอเก็บวิญญาณที่กำลังเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหล่านั้น และเคาะคทาลงบนหัวของมอนสเตอร์เบาๆ

 

มอนสเตอร์รู้ถึงสิ่งที่เธอกำลังจะสื่อได้ทันที

 

มันพาซูเซี่ยเอ๋อทะยานสู่ฟากฟ้า และจากไป

 

มีเพียงซูเซิงเหวินกับมาดามซูเท่านั้นที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

 

ซูเซี่ยเอ๋อไม่ได้เหลือบมองทั้งสองอีกเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

 

แต่หลังจากที่ซูเซี่ยเอ๋อจากไปแล้ว ซูเซิงเหวินกับมาดามซูก็เผยสีหน้าปิติยินดีออกมาทันใด

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ลูกสาวของฉันแข็งแกร่งจริงๆ! คราวนี้ล่ะ ยังจะมีใครอีกที่กล้าขัดขืนฉัน!” ซูเซิงเหวินกล่าว

 

“แต่ดูเหมือนว่าเธอจะโกรธพวกเรานิดหน่อยนะ” มาดามซูกังวล

 

“ไม่เป็นไรหรอก!” ซูเซิงเหวินลูบไล้เสื้อคลุมดวงดาราบนตัวเขา “ยังไงเธอก็เป็นลูกสาวของพวกเรา เอาไว้ค่อยหาโอกาสกล่อมเธอทีหลังก็ได้”

 

ซูเซี่ยเอ๋อทรงพลังเช่นนี้ มันมากพอแล้วที่จะกำจัดปัญหาทั้งหมดในคราเดียว

 

-ตัวเขายังมีอีกหลายสิ่งที่จำเป็นต้องพึ่งพาเธอในอนาคต!

 

มาดามซูตบหลังซูเซิงเหวิน “ตอนนี้พวกคนสำคัญๆของอีกทั้งแปดตระกูลก็ได้ตายลงไปแล้ว พวกเราจะต้องรีบกลับไปยังตระกูลซู เพื่อเตรียมการบางอย่างทันที แล้วเร่งลงมือให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุด!”

 

“เธอพูดถูก! พูดถูกแล้ว!”

 

ซูเซิงเหวินตระหนักได้ทันที เขาพยักหน้าครั้งแล้ว ครั้งเล่า

 

ในขณะนั้นเอง พวกเขาก็ทำเป็นตามืดบอด ไม่สนใจซากแขนขาและเลือดบนพื้น รีบออกจากลานกว้างไปทันที

 

ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเร่งลงมือทำ

 

ตระกูลซูจะต้องกลายเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในสหพันธรัฐรัฐบาลกลาง!

 

รอยเท้าเลือดสองคู่ย่ำเป็นทาง ไม่นานก็วิ่งหายไปไกล

 

 

มอนสเตอร์บินอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนอันไร้ที่สิ้นสุด

 

ซูเซี่ยเอ่อยืนอยู่เหนือหัวของมัน สีหน้าปรากฏถึงความสับสน

 

“นายหญิง ข้าคิดว่าท่านต้องการจะหลอมรวมจิตวิญญาณให้ดีเสียก่อน แล้วเหตุใดจึงเร่งข้าให้ออกมากัน?” มอนสเตอร์ถามด้วยความงงงวย

 

“เพราะมีเรื่องฉุกเฉินที่ฉันจะต้องจัดการน่ะสิ” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยตอบ

 

ในสายตาของเธอ ปรากฏหนึ่งบรรทัดเส้นแสงขึ้น

 

“อาจารย์ฝึกสอนของคุณกำลังจะกลับมายังเกาะหมอก กรุณากลับไปทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกค้นพบ”

 

ซูเซี่ยเอ๋อถอนหายใจ

 

เธอจะต้องเร่งกลับไปยังเกาะหมอกทันที

 

แต่ยังไงก็ตาม ผู้ปกครองและตัวตนทรงพลังของเก้าตระกูลใหญ่เกือบทั้งหมดก็ได้ถูกสังหารลงแล้ว ดังนั้นส่วนที่เหลือของเรื่องนี้ก็มอบหมายให้ประธานาธิบดีกับสมเด็จพระจักรพรรดินีเป็นคนจัดการก็แล้วกัน

 

หากไม่ไหวจริงๆ ก็ฝากให้เย่เฟย์หยู

 

เพราะคนๆนี้คือกำลังรบที่ยอดเยี่ยมที่สุด

 

ฉิงซาน …

 

เมื่อถึงเวลาที่เขากลับมา ทุกสิ่งอย่างจะต้องเป็นระบบระเบียบ

 

ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อปรากฏภาพของกู่ฉิงซานขึ้นมา มุมปากของเธออดไม่ได้ที่จะยกสูงขึ้น

 

ตราบใดที่นึกถึงเขา ความทุกข์ตรมทั้งหมดก็ดูเหมือนว่าจะไม่สำคัญอะไร

 

วินาทีต่อมา ม่านรังสีแสงก็ปรากฏขึ้น เข้าปกคลุมร่างของซูเซี่ยเอ๋อ

 

แล้วเธอก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมๆกับมอนสเตอร์ยักษ์