เมื่อเฉียวฉู่ซินและตงเฟิงโฮ่วได้ฟังชีอ้าวชวางเล่าแล้ว ทั้งคู่ก็ตกตะลึง
“หมายความว่า…เก็บสิ่งประดิษฐ์ไม่ได้แล้ว? แก้แค้นไม่ได้แล้วหรือ?” เฉียวฉู่ซินพูดตะกุกตะกัก ในดวงตาของนางมีความผิดหวังชัดเจน
“เจ้าไม่จำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้ายอย่างนั้นก็ได้ มันก็ต้องมีวิธีสิ” ชีอ้าวชวางยิ้มโดยไม่มีวี่แววหงุดหงิดเลย
“อื้ม มันต้องมีวิธี” เฉียวฉู่ซินพยักหน้าอย่างรีบร้อน นางพยายามปลอบใจชีอ้าวชวาง แต่เมื่อมองขึ้นไปก็เห็นความแน่วแน่ของชีอ้าวชวางก็พูดอะไรไม่ได้เลย เดิมทีนางต้องการจะปลอบชีอ้าวชวาง แต่กลับกลายเป็นชีอ้าวชวางมาปลอบนางแทน
ต่อไปก็ถึงเวลากลับไปที่โยซาลี่แล้ว
แทนที่จะเร่งรีบเหมือนก่อนหน้านี้ คราวนี้จูดี้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เหนื่อยก็หยุดแล้วเดินทางต่อ
“เฮ้ อ้าวชวาง ดูนั่นสิ ช่องเขานั้นเป็นที่ที่เรากับซัมเมอร์แยกกัน ที่นั่นมีสัตว์เวทที่ทรงพลังมาก” เฉียวฉู่ซินเห็นบางอย่างจากท้องฟ้าและชี้ไปที่เทือกเขาด้านล่าง
“หืม? สัตว์เวทตัวนั้นลักษณะเป็นอย่างไรหรือ?” ชีอ้าวชวางถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“มันสูงและเต็มไปด้วยไฟ แต่การเคลื่อนไหวนั้นว่องไวมาก” เฉียวฉู่ซินขมวดคิ้วและพูดออกมา นางยังคงมีความกลัวอยู่เมื่อนึกถึงสัตว์เวทตัวนั้น
เฉียวฉู่ซินเห็นท่าทางนิ่งเงียบของชีอ้าวชวางก็รีบพูด “อย่าลงไปนะ มันอันตรายเกินไป สัตว์ตัวนั้นมันทรงพลังจริงๆ”
ชีอ้าวชวางพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก แต่มองไปที่ภูมิประเทศด้านล่างอย่างระมัดระวังและสังเกตตำแหน่งของมัน
ไม่กี่วันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองชิงเฉวียนที่ชายแดนโยซาลี่
เมืองยังคงดูสงบ ฝูงชนกระจัดกระจายไปตามมุมต่างๆ ของบาร์แห่งเดียวในเมืองเพื่อพักผ่อน ในตอนกลางคืน ชีอ้าวชวางนำพรรคพวกไปที่บ้านธรรมดาหลังหนึ่ง เมื่อประตูเปิดออก ลู่ย่าก็ตะลึงเมื่อเห็นกลุ่มคนตรงหน้า
“ขอโทษนะคะ มีธุระอะไรหรือคะ?” ลู่ย่ามองกลุ่มคนตรงหน้าแล้วไม่รู้จักใครสักคนจึงเข้าไปถามด้วยความสงสัยและสุภาพ
ชีอ้าวชวางเพิ่งนึกได้ว่าใบหน้าของนางยังไม่ได้กลับคืนหน้าเดิม และตอนนี้นางก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรแล้วจึงหยิบใบไม้สำหรับกลับคืนรูปลักษณ์เดิมออกมากินเองส่วนหนึ่ง และโยนอีกส่วนให้กับเหลิ่งหลิงยวิ๋น
ลู่ย่าขมวดคิ้วเล็กน้อยและเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของชีอ้าวชวางด้วยความสับสนมากขึ้น นางไม่เข้าใจว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังทำอะไรอยู่
“ข้าเองลูย่า” เสียงที่ลู่ย่าคุ้นเคยดังขึ้น แล้วหญิงสาวตรงหน้าก็ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม นี่คือเทพธิดาของพวกเขานั่นเอง!
“รีบเข้ามาสิคะ” ลู่ย่ากระซิบและเดินออกไปด้านข้าง คนกลุ่มใหญ่เช่นนี้ยืนอยู่ข้างนอกนานจะไม่ดีถ้ามีคนสังเกตเห็น
หลังจากที่ทุกคนเข้ามาในบ้านแล้ว ลู่ย่าก็พูดด้วยความเคารพ “ท่านกลับมาแล้ว พระคาร์ดินัลและนายน้อยสีกำลังรอพวกท่านกลับมาเลยค่ะ”
“พระคาร์ดินัล?” ชีอ้าวชวางสับสนเล็กน้อย มีพระคาร์ดินัลเพิ่มเมื่อใดกัน? ในวิหารแห่งความมืด นอกจากตำแหน่งเทพธิดาแล้วก็คือพระคาร์ดินัลชุดดำ
“พระสันตะปาปาส่งคนมาช่วยท่านค่ะ ในเวลานี้พวกเขาคงจะอยู่ในห้องโถง” ลู่ย่าพูดแล้วไม่กล้าเงยหน้ามองชีอ้าวชวาง เพราะพระคาร์ดินัลค่อนข้างจะ…
ออสต้ามองการคืนร่างเดิมของชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นจากทางหางตา เหลิ่งหลิงยวิ๋นที่มีผมสีเงินและดวงตาสีม่วงนั้นหล่อเหลามาก ส่วนชีอ้าวชวางผู้มีใบหน้างดงาม นางมีผมสีดำและดวงตาสีดำเหมือนอัญมณี ทำให้ออสต้าตะลึงไปชั่วขณะ นี่หรือคือใบหน้าที่แท้จริงของนาง? ช่างสวยงามมาก
ทุกคนเดินตามชีอ้าวชวางผ่านทางลับไปยังห้องใต้ดินขนาดใหญ่
“พระคาร์ดินัล ท่านจะทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้ไม่ได้นะ…”
“จริง!”
“หยุดพูดไร้สาระน่า!” เสียงนี้คุ้นมาก!
เมื่อพวกของชีอ้าวชวางก้าวเข้าไปในห้องโถง พวกเขาเห็นสีเฉ่าฉีและสีเฉ่าซื่อเกาหัวอย่างเร่งรีบ ในขณะที่ชายที่นั่งอยู่ท่ามกลางพวกเขาดูท่าทางรำคาญ
“อ้าว เทพธิดา เจ้ากลับมาแล้ว!” ทั้งสามคนในห้องโถงที่ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรนั้น สีเฉ่าซื่อเป็นคนแรกที่แสดงปฏิกิริยา เขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นชีอ้าวชวางยืนอยู่ที่ประตูและร้องเรียกอย่างมีความสุข
สีเฉ่าฉีก็เงยหน้าขึ้นพร้อใบหน้าที่ยินดีของเขาเช่นกัน
คนที่นั่งอยู่ตรงกลางของพวกเขาดูเหมือนจะแข็งทื่อไปเลย เขาเพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงงแล้วมองตรงมาที่ชีอ้าวชวาง แม้ว่าจะรู้ว่านางจะกลับมาและก็รู้ว่าตอนนี้นางเป็นเทพธิดาของวิหารแห่งความมืด รู้ว่าปัจจุบันนางชื่อชีอ้าวชวาง รู้ว่านางได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก รู้ว่านางต้องเจ็บปวด…แต่เมื่อนางยืนอยู่ต่อหน้า ได้เห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี นางจะรู้หรือไม่ว่าเขาตามหานางมาตลอด รู้หรือไม่ว่าเขามาที่นี่เพื่อรอนางทันทีที่ได้ยินข่าว จะรู้หรือไม่ว่าตนเองเป็นห่วงนางมาตลอด?
ชีอ้าวชวางมองคนที่กำลังตกตะลึงและยิ้มอย่างอ่อนหวาน “วัลโด เห็นเทพธิดามาแล้วทำเจ้าไม่ทำความเคารพล่ะ?”
ริมฝีปากของวัลโดสั่นเล็กน้อย เขามองไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ที่ประตู นางมีผมสีดำ ดวงตาสีดำ และรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง แต่ความแข็งแกร่งในดวงตาของนางนั้น ตนเองรู้สึกคุ้นเคยมาก นอกจากนางก็ไม่มีใครมีรูปลักษณ์เช่นนี้อีกแล้ว
วัลโดเผยอริมฝีปากแต่ไม่รู้จะเรียกคนตรงหน้าว่าอย่างไร ชีอ้าวชวาง? หรือแคลร์?
“วัลโด! เจ้ามัวยืนอึ้งทำไมเนี่ย? ก่อนหน้านี้เจ้าหายไปไหนมา?” ชีอ้าวชวางเดินมานั่งลงอย่างสบายๆ แล้วทุกคนก็นั่งลงด้วยในขณะที่วัลโดยังคงงุนงงอยู่
“อ้าว อ้าวชวาง…” วัลโดพูดออกมาด้วยความงุนงง ในตอนนี้จิตใจของเขาดูเหมือนจะว่างเปล่าไปเลย
“เฉ่าซื่อ ชงชาสิ” ชีอ้าวชวางสั่งสีเฉ่าซื่อ ในเวลานี้ชีอ้าวชวางยิ่งคิดถึงคามิลล์มากขึ้นอีก พูดตามตรงว่าคิดถึงชาหอมๆ ของคามิลล์จริงๆ
“ยินดีรับใช้ครับผม” อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ชีอ้าวชวางพูดจบ เสียงที่น่ากลัวก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน มีคนปรากฏตัวข้างหลังของชีอ้าวชวางอย่างเงียบๆ ราวกับผี มีเพียงคนเดียวที่มีทักษะเช่นนี้
ชาดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้อง และกลิ่นที่คุ้นเคยทำให้ดวงตาของชีอ้าวชวางเป็นประกาย
“คามิลล์ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?” ทันใดนั้นชีอ้าวชวางก็ลุกขึ้นและหันไปมองคามิลล์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขารินชาให้ตัวเองอย่างสูงส่งพลางถามด้วยความประหลาดใจโดยไม่สนใจคนอื่นๆ
คามิลล์ไม่ตอบ แต่ยังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าของเขาอยู่ เขารินชาหอมด้วยท่าทางสูงส่งให้กับชีอ้าวชวาง หลังจากรินเสร็จเขาก็วางกาน้ำชาลงบนโต๊ะ มองสีเฉ่าซื่อแล้วพูดเบาๆ “เด็กน้อย เจ้าไปรินชาให้คนอื่นๆ ที” สีเฉ่าซื่อเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนของคามิลล์ แต่ที่หลังของเขากลับเย็นวาบ นี่เป็นลมหายใจที่อันตรายมาก สีเฉ่าซื่อหยิบกาน้ำชาขึ้นมาอย่างเชื่อฟังและไปรินชาให้คนอื่นๆ
“ท่านมากับวัลโดหรือ? หาสถานที่นี้พบได้อย่างไรกัน?” ชีอ้าวชวางถามด้วยความประหลาดใจ
“ศัตรูของศัตรูคือเพื่อน” คามิลล์ยิ้มน้อยๆ แล้วนั่งลงข้างชีอ้าวชวาง “ข้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงในช่วงเวลาที่เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า ข้าไปทำธุระในที่ห่างไกล พอรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ก็มาหาเจ้าเลย แต่เจ้าหนีเก่งจริงๆ ข้าหาไม่เจอเลย” คามิลล์หยิบถ้วยเปล่าขึ้นมาอย่างสง่างาม จากนั้นสีเฉ่าซื่อก็วิ่งไปรินชาให้คามิลล์อย่างระมัดระวังแล้วรินชาให้คนอื่นต่อ
ศัตรูของวิหารแห่งแสงคือวิหารแห่งความมืด ชีอ้าวชวางถูกวิหารแห่งแสงใส่ร้าย ดังนั้นจึงมีศัตรูคนเดียวกับวิหารแห่งความมืด จากนั้นคามิลล์จึงนำความคิดที่เรียบง่ายนี้มาจัดการ เขาค้นหาวิหารแห่งความมืด และแน่นอนว่าเขาก็พบวัลโดที่กำลังตามหาชีอ้าวชวางเช่นกัน
ออสต้าได้กลิ่นหอมของชาในถ้วยและมองคามิลล์ด้วยความประหลาดใจ มนุษย์ที่ดูเจิดจ้าผู้นี้ชงชาหอมได้อย่างไรกัน? ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทีของเขาอีก…เขารินชาให้กับชีอ้าวชวางคนเดียว ไม่สนใจคนอื่นๆ เลย ตนเองไม่รู้สึกถึงคลื่นของธาตุวิเศษในตัวเขาแม้แต่น้อย แต่นักเวทแห่งความมืดดูกลัวเขามาก ทำไมกันนะ?
“อ้าวชวาง…” ในที่สุดวัลโดก็ได้สติแล้ว เขาวิ่งเข้าไปเตรียมจะโผกอดชีอ้าวชวางด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย คามิลล์เตะวัลโดด้วยท่าทางสง่างาม การเคลื่อนไหวของเขามีความชำนาญและไหลลื่นมากจนทำให้วัลโดกระเด็นออกห่างจากชีอ้าวชวางทันที
วัลโดถูกคามิลล์เตะล้มลงกับพื้น
“ท่านทำอะไร?” วัลโดนอนลงบนพื้นและหันไปมองคามิลล์อย่างโกรธๆ “ข้ากอดหน่อยจะเป็นอะไรไป? ข้าแค่จะแสดงความตื่นเต้นของข้า ข้าผิดอะไร?”
“โอ้ เช่นนั้นข้าเตะสักหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะ?” คามิลล์เอ่ยถ้อยคพเหล่านี้ด้วยรอยยิ้มบาง
วัลโดตัวสั่น แสงเย็นชาในดวงตาคู่สวยของคามิลล์ไม่ได้หมายความแค่ว่าเขาเตะแล้วจะเป็นอะไร แต่หมายความว่าหากข้าจะเอามีดปาดคอเจ้าตอนกลางคืนแล้วจะเป็นอะไรไป?
วัลโดวิ่งไปนั่งอีกด้านหนึ่งของชีอ้าวชวางอย่างชาญฉลาด และก็บีบสีเฉ่าฉีออกจากที่นั่งนั้น สีเฉ่าฉีแสยะยิ้ม ไม่กล้าพูดอะไรเพราะตำแหน่งของวัลโดสูงกว่าพวกเขา และความแข็งแกร่งก็มากกว่าพวกเขาด้วย ทุกครั้งที่คามิลล์รังแกเขา เขาจะต้องมาลงที่พี่น้องทั้งสอง ตามแบบฉบับของคนที่กลัวคนแข็งแกร่งกว่าแล้วรังแกคนที่อ่อนแอกว่า!
“อ้าวชวาง ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง…”วั ลโดเริ่มพูดอย่างฉะฉาน โอ้อวดเกี่ยวกับการเดินทางออกไปข้างนอกและความแข็งแกร่งของเขาว่าดีขึ้นอย่างไร นอกจากนี้เขายังแอบเข้าไปในห้องโถงสาขาแต่เขาไม่ได้พูดถึงว่ามีคนฝีมือดีกี่คนที่ไล่ล่าเขา
ชีอ้าวชวางยิ้มและฟังโดยไม่ขัดจังหวะ ปล่อยให้วัลโดพูดต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายวัลโดก็เหนื่อยไปเอง จากนั้นชีอ้าวชวางก็แนะนำพวกเขาที่มาด้วยกัน ตอนที่ได้รู้ว่าจูดี้ในชุดสีแดงเป็นมังกร ดวงตาของคามิลล์ก็ทอประกายที่มองไม่เห็น แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือออสต้า เขาเป็นถึงเจ้าชายแห่งเอลฟ์ หลังจากการแนะนำ วัลโดก็กระโดดไปที่ด้านข้างของตงเฟิงโฮ่วและดึงตงเฟิงโฮ่วไปซักถามว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป
สีฉ่าซื่อก็เริ่มเล่าให้ชีอ้าวชวางฟังถึงสถานการณ์หลังจากที่พวกเขากลับมา
“ตอนนี้หลงซ่าซือมีชื่อเสียงมากในโยซาลี่ แน่นอนไม่ใช่ชื่อเสียงในตัวตนก่อนหน้านี้ แต่เป็นตัวตนในปัจจุบันของเขา ผู้คนเรียกเขาว่าผู้ต่อสู้ด้วยดาบ ทุกคนไม่รู้จักตัวตนในตอนนี้ของเขา จักรพรรดิองค์ปัจจุบันสั่งให้ทหารไปจัดการเขามากกว่าหนึ่งครั้ง” สีเฉ่าซื่อรายงานด้วยใบหน้าที่จริงจัง