เล่ม 1 ตอนที่ 166 อยู่ฝึกฝนแต่โดยดี

ราชินีพลิกสวรรค์

รายงานสงคราม!

 

 

รายงานการรบจากที่แห่งใดหรือ

 

 

เหตุใดรายงานถึงถูกส่งมาที่นี่

 

 

ชั่วพริบตาความสนใจของทุกคนที่ลานล่าสัตว์ของราชวงศ์ก็เปลี่ยนไป

 

 

เสียงกีบม้าดังกระทบพื้นดินกึกก้องคนบนหลังม้าฟาดแส้ด้วยความเร็วทะยานเข้าแหวกผู้คนกลางลานล่าสัตว์ เขามาถึงสถานที่ที่ฝูงชนมารวมตัวกันเขาหยุดม้าพลิกตัวและกระโดดลง จากนั้นรีบเดินขึ้นไปบนเวทีสูงตระหง่านและตะโกนบอกเหล่าเทียนเทียวแห่งโฮ่วจิ้นที่อยู่ ณ ลานแห่งนี้

 

 

“เป่ยฝางได้เปิดสงคราม ราชวงศ์ฉินที่ยิ่งใหญ่นำทหารห้าแสนนายบุกเข้าไปในป้อมปราการทางเหนือของเรา ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการไว้ดังนี้ ‘เทียนเจียวของข้า สนามรบนองเลือด ประชาชนทุกข์ร้อน สงครามสองแคว้น บัดนี้ เป่ยฝางมีลู่อ๋องป้องกันเอาไว้ ปลอดภัยไร้กังวล เทียนเจียวทุกคนควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างของความจงรักภักดี ด้วยภารกิจสังเกตการณ์ มุ่งหน้าสู่เป่ยฝาง รับใช้ชาติประชาชน ตอบแทนคุณแผ่นดินเกิด’…”

 

 

หมายความว่าอย่างไร

 

 

เจียงหลีกะพริบตาปริบๆ หันไปมองลู่เสวียน

 

 

แต่ทว่าสีหน้าคุณชายน้อยลู่กลับซีดเซียว บ่นพึมพำในลำคอ “สงครามเป่ยฝาง…ทางเหนือเกิดสงครามขึ้นแล้ว!”

 

 

“…” เจียงหลีเข้าใจความรู้สึกของเขาเป็นอย่างดี

 

 

คนที่ประจำการเป่ยฝางของราชวงศ์โฮ่วจิ้นก็คือบิดาของลู่เจี้ยและลู่เสวียน เวลานี้แดนดินทิศเหนือกำลังลุกฮือด้วยไฟสงคราม ในฐานะที่เป็นบุตรพวกเขาจึงเป็นห่วงความปลอดภัยของบิดาเป็นธรรมดา

 

 

หากเขาทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว เจียงหลีก็เกรงกว่าอาจรังเกียจเขาที่ไม่มีหัวใจก็เป็นได้

 

 

อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ประเด็น ที่สำคัญคือการป้องกันเป่ยฝางที่กำลังลุกโชนขณะนี้และจู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตั้งกลุ่มสังเกตการณ์เทียนเจียวในซั่งตู พระองค์ทรงต้องการเล่นกลสิ่งใด

 

 

“ซ้อเล็ก พวกเรากลับบ้านกันก่อน ข้าจะไปถามพี่ใหญ่” ลู่เสวียนเร่งเจียงหลี

 

 

เจียงหลีพยักหน้า เรื่องนี้ค่อนข้างมีพิรุธ นางก็อยากกลับไปถามลู่เจี้ยให้แน่ชัดเหมือนกัน

 

 

“อาหลี” จิ่งเยี่ยเรียกเสียงเรียบนิ่งเหมือนกำลังไม่พอใจที่น้องสาวเมินเฉยเขา

 

 

เจียงหลีเบนสายตามองซ้ายมองขวา ถึงแม้ไม่มีใครสังเกตพวกเขาแต่นางก็ไม่อยากให้ใครสงสัยถึงสถานะของจิ่งเยี่ย นางหันสายตากลับมาเอ่ยเสียงดัง “เจ้าอยากท้าประลองกับข้าหรือ ไว้วันหลังค่อยหาเวลามาใหม่เถอะ”

 

 

กล่าวจบ นางก็เร่งฝีเท้าตามลู่เจี้ยออกไปจากลานล่าสัตว์ของราชสำนัก

 

 

“…” จิ่งเยี่ยไม่ได้ตามนางไป เพียงแต่มองหลังน้องสาวที่ค่อยๆ ลับสายตาไปเท่านั้น

 

 

เขาเข้าใจความหมายของเจียงหลีแต่หัวใจของเขาเต็มไปด้วยคำพูดมากมายซึ่งทำให้เขาไม่สบายใจจริงๆ

 

 

เจียงหลีสู้อย่างไม่คิดชีวิตเพื่อปกป้องลู่เจี้ยนั้นก็ช่างเถอะ แต่กลายไปเป็นบ่าวอุ่นเตียงของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ น้องสาวยอดดวงใจของเขาเสียเปรียบหรือไม่ แล้วสรุปมีความสัมพันธ์เช่นไรกับนายน้อยตระกูลลู่นั่น

 

 

จิ่งเยี่ยกำหมัดแน่นแล้วก็คลายแล้วก็กำแน่นอยู่อย่างนั้น ความคิดอยากบุกไปฆ่าคนก็ถูกเขาพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้ในใจ แต่มันกลับผุดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

 

 

เจียงหลีกับลู่เสวียนเดินทางมาถึงจวนตระกูลลู่

 

 

พอเข้ามาถึงประตูก็เจอกับพระชายาลู่นั่งอยู่ในห้องโถง

 

 

เมื่อเห็นทั้งสองกลับมานางก็เงยหน้าขึ้นและยิ้มกว้าง แน่นอนเมื่อนางเห็นสภาพกระเซอะกระเซิงของเจียงหลีนางจึงหุบยิ้มในทันทีวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเดินไปหาเจียงหลี “หลี

 

 

เอ๋อร์ใครกล้าทำร้ายเจ้าถึงเพียงนี้”

 

 

อีกด้านหนึ่งคือบุตรชายแท้ๆ แต่กลับถูกมารดามองข้ามเมินเฉย

 

 

“เอ่อ คือ พระชายาข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” ความห่วงใยของพระชายาเล่นเอาเจียงหลีทำตัวไม่ถูก แผลของนางแม้ดูสาหัสแต่ที่จริงไม่ได้มีปัญหาอะไรแล้ว มีวิญญาณยุทธ์อย่างเสวียนกังกุยปกป้องร่างกายได้ชดเชยความเสียหายที่เกิดจากวรยุทธ์ความโกรธจักรพรรดิแล้ว

 

 

“ลู่เสวียน เจ้าทำอะไรของเจ้า ทุกครั้งที่ออกไปกับเจียงหลีถึงได้ทำร้ายจนนางบาดเจ็บกลับมาทุกครั้ง เจ้าดื้อด้านนักใช่ไหม” พระชายาเพ่งเล็งไปที่ลู่เสวียน

 

 

คุณชายน้อยลู่ทำหน้าน้อยใจชี้ไปที่จมูกของตน “ท่านแม่ ข้าเป็นลูกชายท่านแม่นะ”

 

 

“ไปให้พ้น” นางยกขาขึ้นเตะตูดลู่เสวียนด้วยท่วงท่าสง่างาม ลู่เสวียนหลบหลีกว่องไวแต่ก็ยังมิวายเอามือปิดตูดของเขาด้วยความโกรธ

 

 

“หลีเอ๋อร์รีบกลับไปนอนพักเถอะ เดี๋ยวข้าจะเรียกคนไปดูอาการบาดเจ็บของเจ้า” เมื่อพระชายาลู่หันกลับมาสนใจเจียงหลีก็เปลี่ยนท่าทีเป็นอบอุ่นมีเมตตา

 

 

“….” หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “พระชายา ไม่ต้องก็ได้จริงๆ เจ้าค่ะ”

 

 

“ท่านแม่ เกิดสงครามที่เป่ยฝางแล้วท่านทราบหรือยังขอรับ” ลู่เสวียนเปลี่ยนประเด็นสนทนา

 

 

เจียงหลีส่งสายตาไปให้เขาอย่างนึกขอบคุณ

 

 

“สงครามหรือ สงครามจะเกิดก็ให้เกิดไปสิ มีเสด็จพ่อเจ้าอยู่ที่นั่นจะต้องกลัวสิ่งใด” พระชายาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยี่หระ

 

 

ลู่เสวียนส่ายหน้าคว้าเจียงหลีให้พ้นจาก ‘กรงเล็บปีศาจ’ ของมารดา

 

 

“เอ๊ะ เจ้าลูกคนนี้นี่เบาๆ หน่อย เจียงหลีร่างกายกำลังบาดเจ็บอยู่นะ” พระชายาตะโกนไล่หลัง

 

 

ลู่เสวียนไม่ยอมหันหลังกลับไป “พวกข้าจะไปหาพี่ใหญ่”

 

 

“เจ้าเด็กดื้อคนนี้นี่” พระชายาลู่ถอนหายใจอย่างโมโหแต่สายตากลับมีความรักความเอ็นดูที่ปิดบังไม่มิด

 

 

….

 

 

เจียงหลีและลู่เสวียนวิ่งอุดตะหลุดพุ่งตรงเข้าไปในห้องของลู่เจี้ย

 

 

ขณะนี้ลู่เจี้ยนั่งเหยียดตรงบนแหย่งในมือถือม้วนหนังสือไม้ไผ่ เสื้อคลุมหลวมสบายบนร่างกายทิ้งระบายลงพื้นด้วยท่วงท่าที่ดูเกียจคร้านเล็กน้อย เมื่อเห็นทั้งสองที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาเขาจึงเงยหน้ามองพวกเขา

 

 

เมื่อดวงตาของเขามองเห็นคราบเลือดบนร่างกายของเจียงหลีดวงตาคู่สวยงามหรี่ลงเล็กน้อยเป็นประกายวูบไหว “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

“ไม่มีอะไร ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” สิ่งที่เกิดขึ้นในงานล่าสัตว์ของราชวงศ์ยังไม่ถึงหูของลู่เจี้ยจึงทำให้ นางโล่งใจไปเปราะหนึ่ง

 

 

นางไม่อยากให้ลู่เจี้ยรู้ว่านางทำเรื่องพวกนี้

 

 

ลู่เจี้ยพยักหน้าให้

 

 

ในขณะที่เจียงหลีจะหันหลังไปนางจึงเหลือบมองส่งสัญญาณขู่เตือนให้ลู่เสวียนก่อนถึงจะก้าวขาจ้ำอ้าวออกไป

 

 

หลังจากรอให้เจียงหลีเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเข้ามาลู่เสวียนก็ไม่ได้อยู่ในห้องของลู่เจี้ยเสียแล้ว อีกทั้งยังมีชายหนุ่มผู้หนึ่งใช้สายตาอบอุ่นและอ่อนโยนจดจ้องทำให้หัวใจของนางสั่นไหว

 

 

ลู่เสวียนเจ้าสมควรตาย เจียงหลีมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าลู่เสวียนสารภาพทุกเรื่องออกมาหมดแล้ว

 

 

“หลีเอ๋อร์ มานี่มา” ลู่เจี้ยยกมือออกจากแขนเสื้อกวักมือเรียกนาง

 

 

เจียงหลีกรอกสายตาล่อกแล่กสุดท้ายก็จำยอมเดินเข้าไปหาลู่เจี้ย

 

 

นางเข้ามานั่งข้างๆ ลู่เจี้ยแต่กลับถูกเขาดึงเข้าไปนั่งในอ้อมกอด เจียงหลีไม่ขัดขืนแต่กลับแนบใบหน้าซบอกของชายหนุ่มแนบหูฟังเสียงหัวใจเต้นรัวผ่านเสื้อผ้าขวางกั้น “ท่านอย่าเข้าใจผิด ข้าก็แค่…”

 

 

“เด็กโง่” ลู่เจี้ยเปิดปากเอ่ยขัดจังหวะนาง “เด็กโง่” ทำไมนางถึงได้โง่ขนาดนี้ ทำเรื่องพวกนั้นให้เขามันสมควรแล้วหรือ

 

 

“ลู่เสวียน!” เจียงหลีอับอายเล็กน้อย นางขบกรามระบายอารมณ์ใส่ลู่เสวียน

 

 

ท่าทางของนางทำเอาลู่เจี้ยหลุดขำ

 

 

เพราะเสียงหัวเราะกับหน้าอกสั่นไหวทำให้เจียงหลีผ่อนคลายความลำบากใจลงบ้าง

 

 

“เจ้าคิดว่าหากเจ้าไม่พูดแล้วข้าจะไม่รู้หรือ หลีเอ๋อร์ของข้าก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เป็นจุดสนใจเยี่ยงนี้ไม่ต้องรอให้ถึงครึ่งวันก็รู้ไปทั่วซั่งตูแล้ว” น้ำเสียงของลู่เจี้ยนุ่มทุ้มดั่งเสียงสวรรค์

 

 

เมื่อได้ฟังน้ำเสียงของเขาราวกับพาให้ผู้คนตกอยู่ในวังวนหลงมัวเมา

 

 

เดี๋ยวก่อน!

 

 

จู่ๆ เจียงหลีก็นึกขึ้นได้จึงยกศีรษะออกจากอ้อมกอดของเขา “ข้าอยากถามท่านเรื่องสงครามเป่ยฝาง อีกทั้งยังมีรับสั่งฮ่องเต้หมายความว่าอย่างไรแล้วกลุ่มสังเกตการณ์เทียนเจียวคืออะไร”

 

 

แสงมืดหม่นที่วูบไหวในดวงตาของลู่เจี้ยมิสามารถเล็ดลอดไปจากสายตาของเจียงหลีได้

 

 

แต่เขากลับลูบไล้เส้นผมของนางป้อยๆ แล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “หลีเอ๋อร์ เรื่องทั้งหมดนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เจ้ากับเสี่ยวเสวียนอยู่ฝึกฝนที่สถาบันไป๋หยวนแต่โดยดีแล้วก็ฝึกฝนให้ดียิ่งกว่านี้ด้วย”