ภาคที่ 2 ตอนที่ 70 วางแผนเก่ง

มรรคาสู่สวรรค์

คำถามนี้ตอบได้ยาก

คนอื่นกระทั่งฟังก็ยังฟังไม่เข้าใจ

แต่ถงเหยียนรู้ว่าจิ๋งจิ่วจะต้องเข้าใจแน่นอน

เมื่อเขารู้ว่าจิ๋งจิ่วจะท้าสู้ตนเองในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย เขาก็ไปดูบันทึกการเดินหมากของงานเลี้ยงซื่อไห่

การให้ความสำคัญเช่นนี้ เขาไม่มีทางมอบให้แก่ผู้ท้าชิงคนอื่น แม้นจะเป็นยอดฝีมือแห่งอาณาจักรที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นก็ตาม

ที่เขาให้ความสำคัญ เพราะจิ๋งจิ่วคือศิษย์ของสำนักชิงซาน

แต่ไหนแต่ไรมาศิษย์สำนักชิงซานมิเคยสนใจในศิลปะทั้งสี่ ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากสำนักจงโจว แต่บางครั้งบางคราวก็จะมีคนที่เหยียบขึ้นมาบนเส้นทางนี้ ซึ่งคนเหล่านั้นก็ล้วนแต่แสดงความสามารถอันน่าตกตะลึงออกมา อย่างเช่นหนานว่างที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงในเวลานี้

เหตุผลที่สำคัญกว่านั้นก็คือจิ๋งจิ่วเป็นศิษย์สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง

เมื่อได้ดูบันทึกการเดินหมากในงานเลี้ยงซื่อไห่ ถงเหยียนมิได้รู้สึกชื่นชมอะไรจิ๋งจิ่ว ในทางกลับกัน เขาเกิดความรู้สึกไม่สบอารมณ์

คล้ายกับความรู้สึกของเซี่ยงหว่านซูในตอนนั้น

พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่เดินหมากได้แย่ขนาดนี้มาก่อน

หากบอกว่าวิถีแห่งหมากล้อมมีการแบ่งเป็นฝักฝ่าย เช่นนั้นตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบันก็มีเพียงแค่สองฝ่ายเท่านั้น

การเดินหมากเหมือนอย่างจิ๋งจิ่วนั้นจัดอยู่ในประเภทที่ต่อสู้อย่างยากลำบาก มุ่งแต่คิดคำนวณถึงผลดีผลเสียต่างๆ เพียงอย่างเดียว

ถงเหยียนไม่สามารถยอมรับวิธีการเดินหมากที่ใช้แต่กำลังในการเอาชนะและไร้ซึ่งความงดงามเช่นนี้ได้

ศิษย์สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้?

ที่ถงเหยียนถามจิ๋งจิ่วว่าดูหมากของตนเองเข้าใจหรือไม่ เพราะต้องการจะบอกเขาว่าหมากล้อมมิได้เดินแบบนั้น

หรือว่าเจ้าสามารถคำนวณวิธีการตอบโต้ทุกอย่างของข้าได้? หรือทุกครั้งเจ้าสามารถคาดการณ์ออกมาได้ว่าตาต่อไปข้าจะเดินอย่างไร?

จิ๋งจิ่วมิได้ตอบคำถามของถงเหยียน

นี่คล้ายเป็นการพิสูจน์ความคิดของถงเหยียน

“เมื่อครู่ข้าบอกว่าคนเหล่านี้ไม่คู่ควรจะมาเล่นหมากที่นี่ ความจริงเจ้าเองก็เช่นกัน”

ถงเหยียนลุกขึ้น มองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “เพราะที่เจ้าทำนั้นมันมิใช่การเล่นหมาก หากแต่กำลังวางแผน”

ในขณะที่พูด เขาก็มองดูจิ๋งจิ่วอย่างดูถูก ขนคิ้วยิ่งดูเบาบาง ท่าทางที่มองไม่เห็นหัวผู้อื่นยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกยากจะยอมรับได้

ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดประโยคนี้มันยังโหดร้ายอย่างมาก

ผู้คนพากันส่งเสียงฮือฮาวุ่นวายขึ้นมา

บนวิถีแห่งหมาก ถงเหยียนมีสิทธิ์วิจารณ์ใครก็ได้

ก่อนหน้านี้ เขาสามารถเอาชนะมหาบัณฑิตกัวที่เป็นมือหนึ่งของอาณาจักรได้ตั้งแต่ช่วงกลางกระดานอย่างง่ายดาย

แต่คำวิจารณ์ที่เขากล่าววิจารณ์จิ๋งจิ่วนั้นก็รุนแรงเกินไปหน่อยจริงๆ เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงศิษย์ชิงซานเชียวนะ

“ก่อนหน้านี้เจ้าหักกระบี่ของหนานซาน เจ้าก็คงจะใช้การคำนวณ ก็เหมือนวิธีการเล่นหมากล้อมของเจ้า”

ถงเหยียนกล่าว “วันนี้ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ การคำนวณ สุดท้ายแล้วยากจะนำพาไปสู่ธรรมวิถีได้”

ครั้นเจ้าล่าเยวี่ยที่อยู่บนถนนฝั่งนั้นได้ยินเช่นนี้ นางถึงได้รู้ว่าเหตุใดคนผู้นี้ถึงได้พูดจาไม่เกรงใจถึงเพียงนี้

ที่แท้เหตุผลก็เหมือนกับลั่วไหวหนานที่พูดจาไร้สาระอยู่ในสวนดอกเหมย

กั้วหนานซานออกไปท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกเป็นเวลาหลายปี ไม่รู้ว่าผูกมิตรกับเหล่ายอดฝีมือไปมากน้อยเท่าไร กระทั่งอัจฉริยะแห่งสำนักจงโจวก็ยังคิดที่จะทวงความยุติธรรมให้เขา

ทุกคนต่างรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสำนักจงโจวและสำนักชิงซานมิได้ใกล้ชิดอะไร

นี่มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าเขาเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักชิงซาน หากแต่เป็นเพราะนิสัยและการแสดงออกของเขานั้นเหนือกว่าผู้อื่น

“การวางแผนเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าการเล่นหมากล้อมไม่รู้กี่เท่า”

จิ๋งจิ่วยืนขึ้นมา มองถงเหยียนพลางกล่าว “ข้าคิดว่าการเล่นหมากล้อมมันมิได้ต่างอะไรกับการเล่นไพ่นกกระจอกเลย ล้วนแต่เป็นเกมทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องอาศัยการคำนวณนิดหน่อยเท่านั้น”

เสียงฮือฮาดังขึ้นมา หลายคนได้ฟังเช่นนี้พลันรู้สึกโมโหอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าสองเรื่องนี้มันจะนำมาเทียบกันได้อย่างไร? กระทั่งเหล่าเจ้าของแผงหมากที่ถูกไล่ออกไปอยู่ด้านนอกก็ยังรู้สึกไม่พอใจ ในใจครุ่นคิดว่าจะเอาเกมที่พนันเงินแบบนั้นมาเทียบกับหมากล้อมได้อย่างไร ถึงแม้พวกเขาจะใช้การแก้หมากหาเงิน แต่ก็ใช้วิธีที่สง่างาม มิอาจถือเป็นการหลอกลวงได้!

ถงเหยียนยิ้มเยาะกล่าวว่า “อาศัยเพียงพลังในการคำนวณของตัวเองแล้วจะสามารถล่วงรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดได้? หรือกระทั่งเรื่องธรรมวิถีไร้ที่สิ้นสุดเจ้าก็ยังมิเข้าใจ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “จักรวาลไร้ขอบเขต ย่อมไม่สามารถคำนวณได้ทั้งหมด แต่กระดานหมากล้อมมีเพียงสามสิบแปดเส้น สามร้อยหกสิบเอ็ดจุด แล้วเหตุใดจะคำนวณทั้งหมดไม่ได้?”

ถงเหยียนกล่าว “กระทั่งตาต่อไปข้าจะเดินอย่างไรเจ้ายังคำนวณไม่ได้ แล้วจะมาพูดถึงเรื่องคำนวณทั้งหมดอะไรกัน”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่มีใครสามารถคำนวณการเดินทุกตาของคู่ต่อสู้ได้ เพราะกระทั่งตัวคู่ต่อสู้เองก็อาจจะยังไม่รู้”

ถงเหยียนย่อมไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้

ก็คล้ายกับการเดินหมากกระดานนี้ ไม่ว่ามหาบัณฑิตกัวจะวางหมากไปตรงไหน เขาก็ล้วนแต่เตรียมวิธีรับมือที่ยอดเยี่ยมเอาไว้หลายวิธี

จะเป็นไปได้อย่างไรที่ตัวเองจะไม่รู้ว่าตาต่อไปตัวเองจะเดินยังไง?

จิ๋งจิ่วใช้ปลายนิ้วเคาะไปที่กระดาน จากนั้นหยิบเอาหมากสีดำขึ้นมาเม็ดหนึ่ง แล้ววางลงไปตรงตำแหน่งหนึ่งบนกระดาน

“เจ้ามีวิถีของเจ้า ข้ามีวิถีของข้า ต่างคนต่างเดิน หากเจ้าต้องการจะพิสูจน์ให้ได้ว่าข้าผิด เช่นนั้นก็เอาชนะข้าในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยให้ได้แล้วค่อยว่ากัน”

กล่าวจบประโยคนี้ เขาเก็บเก้าอี้ไม้ไผ่ หมุนตัวเดินไปยังฝั่งตรงข้ามของถนน ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับเจ้าล่าเยวี่ย

ถงเหยียนดึงสายตากลับมา มองไปบนกระดานหมากล้อม

สายตาของผู้ชมจำนวนมากต่างก็มองไปยังกระดานพร้อมกัน

จากนั้นในบริเวณนั้นพลันมีเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นมา

ตำแหน่งที่หมากดำเม็ดนั้นวางลงไปกลับทำให้หมากของตัวเองโดนกินไปแถบใหญ่

“นี่เล่นตลกหรือเปล่า?”

เพราะเขาได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันหมากล้อมของงานเลี้ยงซื่อไห่ จึงไม่มีใครคิดว่าจิ๋งจิ่วเล่นหมากล้อมไม่เป็น

เช่นนั้นการที่จิ๋งจิ่วทำแบบนี้อาจจะมีคำอธิบายอยู่สองอย่าง

เขาทำให้หมากของตัวเองตายไปแถบใหญ่ การตอบโต้ของถงเหยียนย่อมต้องไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้ในตอนแรก นี่ก็จะสามารถพิสูจน์คำพูดที่เขาพูดเอาไว้เมื่อครู่นี้ได้

—- ไม่มีใครสามารถคำนวณการตอบโต้ของศัตรูได้ทั้งหมด รวมไปถึงตัวเขาเองด้วย

เพียงแต่การพิสูจน์แบบนี้มันจะมีความหมายอะไร?

อาศัยวิธีการแบบนี้ยอมแพ้ จากนั้นเดินจากไปโดยไม่เสียหน้า?

ผู้คนคิดว่าการตอบโต้แบบนี้ค่อนข้างฉลาดเฉลียวทีเดียว ดังนั้นจึงส่งเสียงหัวเราะด้วยเจตนาดี

ถงเหยียนมิได้หัวเราะ เขามองดูกระดานหมากล้อมอย่างเงียบๆ

มหาบัณฑิตกัวเองก็มิได้หัวเราะ เขามองดูกระดานหมากล้อมคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

เขาเป็นคนเดินหมากกระดานนี้ในช่วงแรก ดังนั้นเขาย่อมต้องเข้าใจในหมากกระดานนี้เป็นอย่างมาก

สิ่งที่พวกเขามองมิใช่หมากสีดำเม็ดนั้น หากแต่เป็นมุมหนึ่งของกระดาน

ก่อนที่จิ๋งจิ่วจะจากไป เขาใช้นิ้วมือเคาะไปบนกระดาน ซึ่งตำแหน่งที่เคาะก็คือตำแหน่งนี้

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร มหาบัณฑิตกัวกล่าวอย่างทอดถอนใจออกมา “ร้ายกาจ”

ถงเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ถือว่าไม่เลว”

……

……

เจ้าล่าเยวี่ยเล่นหมากล้อมไม่เป็น แต่นางก็รู้ว่าการเดินตานั้นของจิ๋งจิ่วคือการฆ่าตัวตาย

เป็นการฆ่าตัวตายจริงๆ ไม่ใช่การกระโดดลงจากหน้าผา ไม่มีทางเกิดปาฏิหาริย์ ไม่มีทางเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ไม่มีทางที่หมากดำจะมีพื้นที่ใหม่แล้วพลิกจากพ่ายแพ้มาเป็นฝ่ายชนะ

สถานการณ์ที่มหัศจรรย์เช่นนั้นส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นบันทึกที่อยู่ในเรื่องเล่า แทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงได้ ยิ่งไปกว่านั้นคู่ต่อสู้ของเขายังเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดทางวิถีหมากล้อมของโลก

เช่นนั้นจิ๋งจิ่วทำเช่นนี้มีความหมายอะไรแอบแฝงอย่างนั้นหรือ?

จิ๋งจิ่วกล่าว “เขาจะต้องคิดไม่ถึงแน่นอนว่าข้าจะเดินเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วเขาก็จะคิดไม่ถึงเช่นกันว่าตาต่อไปตัวเองจะเดินอย่างไร”

เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ นี่เป็นการประชดประชันแบบเด็กน้อยชัดๆ จึงถอนใจออกมาว่า “แบบนี้มันจะมีประโยชน์อะไร?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเพียงแต่อยากจะบอกเขาว่า อาศัยเพียงจินตนาการกับสัญชาติญาณนั้นไม่สามารถวิเคราะห์ความคิดทั้งหมดของศัตรูได้ สุดท้ายแล้วก็ยังต้องคำนวณความเป็นไปได้ทั้งหมดอยู่ดี”

เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงคำพูดของถงเหยียนก่อนหน้านี้ ถึงกล่าวถามว่า “เจ้าคำนวณการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดบนกระดานได้จริงๆ หรือ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “มิใช่การคำนวณทั้งหมดล้วนต้องมีคำตอบ บางครั้งพวกเราเพียงแค่ต้องการข้อมูลบางอย่างมาช่วยเลือกทิศทางในการเดินหมาก แต่ถ้าสามารถคำนวณทุกอย่างได้อย่างชัดเจนย่อมต้องดีที่สุด ในหนังสือหมากล้อมที่เจ้าซื้อให้ข้าพูดถึงเรื่องสถานการณ์ ความงาม รูปแบบ พื้นที่ว่างเอาไว้ ซึ่งหลายคนเองก็เชื่อในเรื่องนี้ แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขายังคำนวณได้ไม่ชัดเจนเท่านั้น”

เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิด กล่าวว่า “ก็อาจจะจริง แต่ฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร รู้สึกค่อนข้างเย็นชา”

จิ๋งจิ่วมองไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน กล่าวว่า “เพราะพวกเราเป็นมนุษย์ที่ถนัดในการใช้คำพูดที่ดูดีและคำจำกัดความมาปลอบใจตัวเอง ทว่าเดิมโลกมันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”

……………………………………………………………