ตอนที่228 มีของ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่228 มีของ

ฉินฟางวางถ้วยชาลงตรงหน้าฉีเล่ย พร้อมกับผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้เขาดื่ม

ฉีเล่ยยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นจิบเล็กน้อย จากนั้นจึงได้พูดขึ้นว่า “ชาชั้นดี”

“ก็ต้องเป็นชาชั้นดีอยู่แล้ว ชาหลงจิ่งเป็นใบชาที่ถูกเก็บก่อนตะวันขึ้น มิหนำซ้ำยังได้รับน้ำแร่จากเขาเทียนซานด้วย แต่ฉันไม่ใช่คนขยันอะไรนักหรอกนะ ปกติก็ไม่ได้สนใจที่จะมานั่งชงชาให้ใครดื่มแบบนี้”

ฉินฟางหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเอ่ยปากโอ้อวดตนเองให้ฉีเล่ยฟัง

แต่ฉีเล่ยก็ไม่ได้โง่ เขาสามารถเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำพูดของฉินฟางได้เป็นอย่างดี จึงได้เอ่ยถามออกไปว่า

“คงไม่มีใครทำอะไรให้ใครฟรีๆแน่ และที่คุณลงทุนชงชาชั้นเลิศให้ผมดื่มด้วยตัวเองแบบนี้ คงต้องการอะไรจากผมสินะ? เอาล่ะ ในเมื่อผมดื่มชาของคุณเข้าไปแล้ว คุณมีอะไรก็เชิญพูดมาตรงๆได้เลย”

จากนั้น ฉีเล่ยก็นั่งนิ่งเงียบ และกำลังรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมา

อย่าบอกนะว่า หมอนี่ต้องการจะเชิญฉันไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของปู่เขาด้วย?

ฉีเล่ยเข้าใจงานลักษณะงานเลี้ยงของเหล่าคนร่ำคนรวยได้เป็นอย่างดี และเขาจะไม่ยอมรับปากไปร่วมงานด้วยอย่างแน่นอน ขืนเขาตกปากรับคำไป ก็รังแต่จะมีผลเสียกับตัวเอง ด้วยสถานะและภูมิหลังของตระกูลใหญ่โตร่ำรวย ขืนไม่มีของขวัญที่มีมูลค่าติดไม้ติดมือไปให้แล้วล่ะก็ เขาก็ต้องโดนดูถูกเหยียดหยามอย่างแน่นอน แต่ถ้าจะต้องใช้เงินจำนวนมากไปกับของขวัญพวกนั้น เขาก็คงต้องเจ็บปวดใจอย่างมากเช่นกัน

“ผมคิดว่าวันนั้นคุณคงจะต้องยุ่งมากสินะครับ?”

ฉินฟางเอ่ยถามพร้อมกับจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าแววตาอบอุ่น แต่น้ำเสียงกับเรียบเฉยอย่างมาก และคำถามของเขาก็ดูเหมือนจะเป็นการช่วยฉีเล่ยตัดสินใจ มากกว่าจะเป็นการถามความเห็น

ฉินฟางได้บอกเขาเป็นนัยๆอย่างชัดเจนว่า อีกสามวันจะเป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของปู่ฉัน ไม่ว่าใครก็ตามที่ชวนนายไปร่วมงานนี้ ทางที่ดีนายควรอ้างว่าไม่ว่าง

ฉีเล่ยรู้สึกตกใจเล็กน้อย เพราะคิดไม่ถึงว่า สถานการณ์จะตรงข้ามกับที่จินตนาการไว้ เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใช้น้ำเสียงข่มขู่มากกว่าเจรจาขอร้อง

ฉีเล่ยหรี่ตามองฉินฟางพร้อมกับย้อนถามยิ้มๆ “นี่เป็นขู่ หรือว่าคำขอร้องกันแน่?”

ไท่โหล่วที่นั่งยองๆอยู่มุมห้อง และกำลังแอบฟังบทสนทนาของชายหนุ่มทั้งสองคนอยู่ หลังจากได้ยินคำถามของฉีเล่ย เขาถึงกับอดที่จะตกใจไม่ได้ และรีบหันมายกนิ้วโป้งให้กับฉีเล่ยแทนคำพูด เพราะตั้งแต่เขาอยู่กับฉินฟางมา ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนกล้าพูดกับคุณชายของเขาด้วยคำพูด และสีหน้าท่าทางแบบนี้

มิน่าล่ะ คุณหนูสกุลซูนั่นถึงได้ไม่แม้แต่จะแยแสคุณชายของเขา นั่นเพราะคนที่เธอชอบมีบุคลิกนิสัยแบบนี้นี่เอง

ฝ่ามือที่ถือถ้วยชาของฉินฟางชะงักค้างอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็กลับเป็นปกติ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขากกระดกชาในถ้วยเข้าปากรวดเดียวจนหมด ก่อนจะนั่งมองฉีเล่ยแน่นิ่งพร้อมกับครุ่นคิดอยู่เงียบๆ

“อืมม เป็นคำถามที่น่าสนใจทีเดียว” ในที่สุดฉินฟางก็เอ่ยปากพูดกับฉีเล่ย

“คำถามของคุณก็น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกันนะครับ” ฉีเล่ยตอบกลับเช่นกัน

“หมายความว่า ในวันนั้นคุณเองก็อาจจะไปปรากฏตัวที่งานเลี้ยงก็ได้สินะครับ? แล้วถ้าผมลืมส่งบัตรเชิญให้กับคุณล่ะ?” ฉินฟางย้อนถามกลับไปเป็นชุด

เวลานี้ ฉินฟางยังไม่อาจบอกได้ว่า อีกฝ่ายจะเป็นศัตรูหรือว่าเป็นสหาย

ฉีเล่ยสบตาฉินฟางที่จ้องมองมาอย่างไม่คิดที่จะหลบเลยแม้แต่น้อย พร้อมกับตอบอีกฝ่ายไปว่า

“อีกตั้งสามวัน ใครจะไปคาดเดาได้ล่วงหน้าล่ะ ไม่แน่ว่าวันนั้นผมอาจจะยุ่งมาก หรืออาจจะว่างมากก็ได้ ผมเป็นคนมีนิสัยขี้เกียจครับ ไม่ชอบคิดการอะไรล่วงหน้ายาวๆ ผมเป็นพวกใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ชอบคำนึงถึงอนาคตมากเท่าไหร่”

“แต่จะบอกอะไรให้ ผมไม่เคยคิดอยากจะไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดที่ว่าเลย เมื่อครู่ ผมยังกังวลว่าคุณจะเอ่ยปากชวนผมไปด้วยซ้ำ เพราะถ้าต้องไปร่วมงานจริงๆ คงจะเป็นปัญหากับผมไม่น้อยทีเดียว ไหนจะต้องหาของขวัญที่ดูมีค่ามีราคา ผมคงต้องทุกข์ใจเพราะเสียดายเงินแน่”

“แต่ก็อย่างว่า สามวันข้างหน้าผมจะว่างหรือไม่ว่าง เป็นเรื่องที่ผมคนเดียวสามารถควบคุมได้ กระทั่งเทพเจ้ายังดลบันดาลไม่ได้เลย ผมจะว่างหรือไม่ว่างเป็นเรื่องที่ผมกำหนดเอง แต่ยังขอสงวนไว้ไม่ตอบตอนนี้”

ถ้าผู้ชายคนนี้บอกฉันตรงๆว่าชอบชูซินซู และขอให้ฉันช่วยเปิดทางให้กับเขา ฉันเองก็ยินดีที่จะช่วย

ความจริงถ้าฉีเล่ยอารมณ์ดี เขาก็อาจจะตกปากรับคำได้ในทันที อีกอย่าง เขาเองก็ได้ขีดเส้นกั้นระหว่างตนเองกับชูซินซูไว้แล้ว อีกทั้งยังได้ปฏิเสธข้อเสนอของหญิงสาวไปก่อนหน้านี้แล้วด้วย

แต่ผู้ชายคนนี้แทนที่จะขอร้องเขาตรงๆ กลับใช้คำพูดว่า ‘ผมคิดว่าวันนั้นคุณคงจะต้องยุ่งมากสินะครับ?’ ซึ่งฟังดูเหมือนกับการข่มขู่เขาให้ทำตามซะมากกว่า และนั่นทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจเป็นอย่างมาก

นายมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจแทนฉัน?

แม้ว่าสีหน้าท่าทางของฉินฟางจะดูอ่อนโยน แต่เวลาที่เขาแย้มยิ้มออกมานั้น กลับทำให้ฉีเล่ยรับรู้ได้ถึงความไม่เป็นมิตรที่แอบแฝงอยู่ และฉีเล่ยก็สัมผัสได้ถึงความมั่นอกมั่นใจจนกลายเป็นจองหองอวดของอีกฝ่าย

อาจเป็นเพราะความมั่นอกมั่นใจนี้ก็ได้ ทำให้อีกฝ่ายสามารถเผชิญหน้ากับคนอื่นได้ด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง ไม่แน่ว่าในสายตาของผู้ชายคนนี้ เขากลับไม่คิดว่าอีกฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกับตัวเอง หรือมีความเป็นมนุษย์เหมือนตัวเองก็ได้ เขาอาจเห็นคุณเป็นแค่เพียงเก้าอี้ ถ้วยชา หรือไม่ก็สิ่งของอะไรสักอย่างเท่านั้น

ความจองหองอวดดีของผู้ชายคนนี้ได้สั่นคลอนความภาคภูมิใจในตัวฉีเล่ย จนเขาไม่มีทางเลือกอื่น และได้แต่ยืดแผ่นหลังใหตั้งตรง

“แล้วถ้าผมบอกว่าเป็นการข่มขู่ล่ะ?”

ฉินฟางหัวเราะหึๆในลำคอ ก่อนจะเอ่ยตอบพร้อมกับจ้องมองฉีเล่ยด้วยความสนอกสนใจยิ่งกว่าเดิม

หรือที่ซินชูชอบหมอนี่ก็เพราะบุคลิกแบบนี้ของมัน?

แต่แล้วฉินฟางก็ส่ายศรีษะไปมา ผู้หญิงอย่างชูซินซูเป็นคนที่คิดอะไรรอบคอบหลายชั้น คงจะไม่ชอบผู้ชายคนหนึ่งด้วยเหตุผลตื้นๆแบบนี้แน่ เพราะระบบการให้คะแนนของเธอบ่งบอกค่อนข้างชัดเจน

ฉีเล่ยเบะปากเล็กน้อยพร้อมตอบกลับไปว่า “แล้วคุณคิดจะใช้อะไรมาข่มขู่ผมไม่ทราบ?”

“ขอบอกตามตรง ถ้าจุ่ๆนายหายตัวไปจากปักกิ่งล่ะ จะมีคนหลายคนเสียใจเพราะเรื่องนี้รึเปล่า?”

ฉินฟางยกมือขึ้นตบเข่าของตนเองเบาๆ พร้อมกับพึมพำออกมา นิ้วมือที่วางอยู่บนเข่านั้นเคาะสลับกันไปมาถี่ขึ้นเรื่อยๆ

“ก็คงต้องลองดู” ฉีเล่ยตอบกลับโดยปราศจากความหวาดกลัว

ฉินฟางตอบกลับพร้อมกับส่ายหน้าไปมา “ขอบอกตามตรง ไม่ใช่ว่าผมจะเป็นคนมีจิตใจเมตตาอะไร ถึงแม้ผมจะสามารถทำได้ตามที่พูดจริง แต่ผมจะไม่ทำกับคุณแน่”

“ทำไม? ผมแตกต่างจากคนอื่นงั้นเหรอ?” ฉีเล่ยย้อนถามพร้อมกับหัวเราะในลำคอ

“ผมไม่ชอบคุณ แต่ก็ไม่คิดที่จะทำร้ายคุณ”

ฉินฟางตอบกลับยิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยต่อทันที “เพราะผมยังมีภารกิจให้คุณทำในอนาคต”

“บอกตามตรง การเปิดเผยแผนการของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องโง่ไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากจะบอกคุณอยู่ดี ในวันที่ผมเดินจูงมือซินซูเข้าโบสถ์ ผมอยากให้คุณได้อยู่เป็นสักขีพยานให้เราสองคน คงจะไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับคุณอีกแล้วล่ะ”

“โอ้! ช่างบังเอิญจริงๆนะครับ ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยชอบคุณเท่าไหร่ แต่ก็ตั้งใจว่า เมื่อวันนั้นมาถึง ผมก็อยากจะเป็นพยานให้กับคุณพอดี”

“ขอบใจมาก!”

ฉินฟางพยักหน้า เขาเอื้อมมือไปคว้ากาน้ำชามารินใส่ถ้วยอีกครั้ง แต่คราวนี้เขารินลงเฉพาะในถ้วยชาของตนเองเท่านั้น แต่กลับไม่รินให้ฉีเล่ยด้วย

นั่นเป็นการสื่อว่า บทสนทนาระหว่างเขากับฉีเล่ยได้จบลงแล้ว คุณออกไปได้!

จากนั้น ไท่โหล่วที่นั่งนิ่งเงียบอยู่นานก็รู้หน้าที่ของตนเองดีว่าต้องทำอย่างไรต่อไป เขาจัดการดับก้นบุหรี่ในมือ ก่อนจะหันไปเชื้อเชิญฉีเล่ยให้ออกจากห้อง ฉีเล่ยเองก็ลุกขึ้นยืน และเดินตามไท่โหล่วออกไปอย่างว่าง่าย

“นายมีของมากกว่าที่ฉันคิดซะอีก!”

ระหว่างทางที่เดินออกไปนั้น ไท่โหล่วก็อดที่จะเอ่ยชมฉีเล่ยออกมาไม่ได้

“ฉันก็แค่พูดในสิ่งที่ต้องการ และพูดในสิ่งที่ฉันควรจะพูด ก็เท่านั้นเอง!” ฉีเล่ยตอบกลับเสียงเบา