บทที่ 174 ผงปรุงรสไก่
ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งที่ทอดมองแผ่นหลังของขันทีใหญ่ชุดดำไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ราวกับรูปแกะสลักอันแข็งทื่อ

ในราชสำนักมีพระตำหนัก 24 แห่ง ซึ่งบรรดานางสนมกำนัลและบุตรของจักรพรรดิหยวนจิ่งอาศัยอยู่ วังหลังของจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ครื้นเครงแม้แต่น้อย ตำหนักฉู่ซิ่วไม่ได้รับหญิงงามวัยแรกรุ่นเข้ามาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว

เว่ยเยวียนมาถึงวังหลังอย่างชำนาญลู่ทาง นอกตำหนักของฮองเฮา หลังจากรายงาน เขาเข้าสู่ภายในวังและมองเห็นฮองเฮาที่ประทับอย่างอ่อนกำลัง

ฮองเฮาพระมารดาของแผ่นดินองค์นี้ หมู่นี้ทรงซูบผอมลงไปมาก ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มผ่าเผยก็สวยคมขึ้น

พระองค์เป็นสตรีผู้งดงามยิ่ง อายุเข้าใกล้ 40 ยังคงสง่างามหลักแหลมเหมือนเคย แม้จะไม่สดใสมีชีวิตชีวาดังสาวน้อย ทว่ากาลเวลาเจียระไนคุณค่าภายในของพระองค์อย่างประณีต ความสง่าที่เป็นผู้ใหญ่และดูผ่าเผยสาวน้อยทั่วไปมิอาจเทียบเคียง

“เว่ยกงมาได้อย่างไร” ฮองเฮาแฝงรอยยิ้มบางๆ ทอดพระเนตรใบหน้าของขันทีใหญ่ชุดดำ ดวงพระพักตร์เปี่ยมกำลังวังชา พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์บาง นัยน์เนตรลุ่มลึก แฝงด้วยความโชกโชนอันยากจะอธิบาย

ผมสีดอกเลาตรงขมับเพิ่มเสน่ห์แบบผู้ใหญ่มากขึ้น

เว่ยเยวียนเริ่มก้มศีรษะก่อน “ได้ข่าวว่าฮองเฮาประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฮองเฮายิ้มพลางตรัส “หายดีแล้ว”

“ฝ่าบาทตรัสว่าหมู่นี้ฮองเฮาไม่เจริญพระกระยาหาร จึงให้ข้าน้อยมาเข้าเฝ้า”

รอยยิ้มบนใบหน้าฮองเฮาจางหาย ทอดพระเนตรเขาอย่างนิ่งสงบ “ฝ่าบาทให้เจ้ามาหรือ เว่ยกงไม่ทราบหรือว่าข้าป่วย”

เว่ยเยวียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “หมู่นี้งานราชการรัดตัว จึงไม่ทราบว่าฮองเฮาประชวร”

ฮองเฮาเบือนหน้าไปอีกทาง แล้วตรัสเสียงเรียบ “ข้าเพลียแล้ว”

“ฮองเฮาโปรดเสวยชาให้น้อยลง มันไม่ดีต่อม้ามและกระเพาะอาหาร…” เมื่อเห็นว่าฮองเฮาทรงหมดความอดทน เว่ยเยวียนก็โค้งคารวะ “ข้าน้อยทูลลา”

“เว่ยเยวียน! ”

ฮองเฮาทรงตะโกนรั้งเขาในทันใด

เว่ยเยวียนยืนหันหลัง ไม่ได้หันกลับไป

“…” ฮองเฮาอ้าปาก ประสงค์จะตรัสบางสิ่ง ทว่าเพราะความกังวลต่างๆ นานา ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ตรัสสิ่งใด

หมื่นถ้อยพันคำล้วนซ่อนอยู่ในนัยน์ตาสวยของนาง เพียงแต่เว่ยเยวียนไม่เห็น

เว่ยเยวียนออกจากตำหนักของฮองเฮา สายลมเย็นพัดโชย ชุดดำปลิวสะบัด

เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฮองเฮาประชวร เพราะบุตรในเงามืดที่สอดแนมอยู่ใกล้เคียง ถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งถอนกำลังไปก่อนหน้านี้ ฮองเฮาก็ไม่ทราบเรื่องนี้

เรื่องเหล่านี้ไม่อาจพูดต่อหน้าสาธารณชน ทำได้เพียงปล่อยให้ฮองเฮาเข้าใจผิดต่อไป

เบื้องหน้า องค์หญิงฮว๋ายชิ่งผู้มีรูปร่างสูงเพรียวกำลังนำสาวใช้และทหารรักษาพระองค์เดินเข้ามา

นางสวมชุดกระโปรงสีขาว ปักลายดอกเหมยสีสดใส ด้านนอกคลุมเสื้อคลุมป้องกันลมหนาว ดูสง่างามหรูหรา ประณีตงดงาม

ต่างกับมารดาของนางสมัยวัยรุ่นลิบลับ

“เว่ยกง! ” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งแสดงคารวะ

“องค์หญิง” เว่ยเยวียนคารวะกลับ แล้วอธิบายคร่าวๆ “ฝ่าบาทได้ข่าวว่าฮองเฮาไม่เจริญพระกระยาหาร จึงให้ข้ามาเข้าเฝ้าแทนพระองค์”

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งส่งเสียง “อืม” ‘เสด็จพ่อไม่มาวังหลังตั้งนานแล้ว วันๆ เอาแต่แสวงหายาอายุวัฒนะ ถ้าเสด็จแม่หรือสนมคนใดเกิดป่วยขึ้นมา ถึงจะหันมาสนใจสักที แต่ปกติก็มักจะส่งคนมาเยี่ยมไข้’

“สาวใช้ที่คอยรับใช้อยู่ในวังบอกว่า หมู่นี้เสด็จแม่แทบจะไม่เสวยสิ่งใดเลย” ฮว๋ายชิ่งกล่าว

“หลังจากประชวรมานาน หากยังอดพระกระยาหาร พระวรกายจะไม่หายขาด” เว่ยเยวียนขมวดคิ้วแน่น ทว่าอยู่ต่อหน้าองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง เขาเก็บซ่อนสีหน้าโศกเศร้าของตนไว้ได้อย่างดี แสดงออกมาเพียงความกังวลที่ข้าราชบริพารพึงมี

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งยิ้มบางๆ ราวกับไม่กังวล น้ำเสียงเยือกเย็นแฝงด้วยความรู้สึกอัดแน่น “คิดจะเรียกพบสวี่ชีอันพอดี ในเมื่อพบเว่ยกงที่นี่ ฮว๋ายชิ่งจะได้ไม่ต้องให้ทหารรักษาพระองค์เทียวไปเทียวมาอีกรอบ”

เว่ยเยวียนเอ่ยอย่างงุนงง “องค์หญิงตรัสเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งตรัส “สวี่ชีอันมีตำรับยาผีบอกที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งจะทำให้รสชาติอาหารอร่อยขึ้นเป็นร้อยเท่า รสชาติยากจะลืมเลือนไปอีกนาน เสด็จแม่ไม่เจริญพระกระยาหาร จะได้ทดสอบตำรับยาผีบอกนี้พอดี”

สวี่ชีอันควักกระเป๋าของตนเชิญซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวมาฟังการบรรเลงของหอคณิกา สหายร่วมหน่วยทั้งสองฟังบรรเลงไปพลาง พลางทำภารกิจที่สานต่อด้วยชีวิตให้สำเร็จ

นี่เป็นสิ่งที่สวี่ชีอันชดเชยให้พวกเขา โดยเฉพาะซ่งถิงเฟิงที่มอบห้าตำลึงเงินแก่สถานรับเลี้ยงเด็ก คนสำมะเลเทเมาที่ไม่ได้สร้างครอบครัวเช่นเขา ค่าใช้จ่ายในชีวิตเป็นแค่เรื่องรอง แต่หากไม่มีเงินไปสำนักสังคีต คงระทมทุกข์เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อออกจากหอคณิกา จูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงที่เป็นปลาไหลหิวโหยได้อาหาร[1]ก็พึงพอใจอย่างหาใดเปรียบ ทั้งสามเดินไปไม่นานนัก ก็ถูกฆ้องทองแดงขี่ม้ามาขวางเอาไว้ แล้วเอ่ยตำหนิ “พวกเจ้าแอบไปอู้ที่ไหนมา หาตัวอยู่ตั้งนาน”

“มีเรื่องอันใด” สวี่ชีอันเอ่ยถาม

“เว่ยกงเชิญตัว” ฆ้องทองแดงกล่าว

คนที่เชิญตัวย่อมเป็นสวี่ชีอัน ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวรู้ว่าตนเป็นส่วนเกิน จึงโบกมือบอกลาสหายร่วมหน่วยด้วยใจกุศล แล้วพวกเขาก็ลาดตระเวนต่อ

เมื่อกลับไปยังที่ทำการปกครอง เข้าสู่หอเฮ่าชี่ สวี่ชีอันก็พบกับเว่ยเยวียนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ข้างโต๊ะ

ขันทีใหญ่วางม้วนหนังสือ พร้อมเอ่ย “ได้ยินฮว๋ายชิ่งบอกว่า เจ้ามีสูตรยาลับ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความอร่อยของอาหาร”

ฮว๋ายชิ่งปากสว่างเช่นนี้เลยหรือ เรื่องเล็กแค่นี้ยังโพนทะนาไปทั่ว…สวี่ชีอันตื่นตระหนกไปชั่วขณะ “ข้าฝีมือต่ำต้อย ไม่มีค่าพอให้เว่ยกงนึกถึง”

“หมู่นี้ฮองเฮาไม่เจริญพระกระยาหาร ข้าจึงอยากทดสอบสูตรยาของเจ้า” เว่ยเยวียนกล่าวอย่างอ่อนโยน

ฮองเฮาเป็นพระมารดาของฮว๋ายชิ่ง ฮว๋ายชิ่งฝากให้เว่ยเยวียนมาขอผงปรุงรสไก่จากข้า…สวี่ชีอันพยักหน้าในทันที เมื่อเห็นว่าห้องน้ำชาไม่มีคน จึงหยิบกระจกหยกออกมา ตบด้านหลังเบาๆ กระปุกขนาดเท่าศีรษะหล่นลงมา เขายื่นมือรับไว้อย่างมั่นคง

ผลพวงจากแรงงานของฉู่ไฉ่เวยกับซ่งชิงอยู่ตรงนี่แล้ว เขาเหลือผงปรุงรสไก่ให้ฉู่ไฉ่เวยเพียงขวดเล็กๆ

เว่ยเยวียนเปิดกระปุก สูดดมกลิ่น ก่อนจะขมวดคิ้วทันใด เขาได้กลิ่นที่ฉุนจมูกเล็กน้อย

“สิ่งนี้เรียกว่าผงปรุงรสไก่” สวี่ชีอันกล่าวเป็นเกร็ดความรู้

ผงปรุงรสไก่เป็นการผสมผสานผลิตผล ใช้ผงชูรสและสารชูรส[2]เป็นส่วนผสมหลัก เมื่อทั้งสองผสมเข้าด้วยกันก็บังเกิดผลประกอบเสริมกันและกัน

เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ผงปรุงรสไก่’ นี้ กล่าวได้ว่าความหมายกว้างขวางลึกซึ้ง ซึ่งมีทั้งหมด 3 ความหมายด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือเครื่องปรุงรสที่เห็นตรงหน้า

อีกความหมายหนึ่งคือไก่กลายเป็นสัตว์ประหลาด เรียกว่าปีศาจไก่ ยังมีอีกหนึ่งความหมายคือลักษณะเฉพาะตัวของชายหนุ่ม

หลังจากปิดฝาและคืนกระปุกให้สวี่ชีอัน เว่ยเยวียนก็เรียกเจ้าพนักงาน “ให้ห้องเครื่องต้มบะหมี่”

สวี่ชีอันรับคำ แล้วตามเจ้าพนักงานออกไป

หลังจากผ่านไป 15 นาที สวี่ชีอันประคองบะหมี่เนื้อฉีกใส่ไข่กลับเข้ามา วางไว้บนโต๊ะของเว่ยเยวียน

เว่ยเยวียนพยักหน้า “เจ้ากินสักคำ ช่วยข้าทดสอบพิษที”

“…” ตะเกียบมีเพียงคู่เดียว สวี่ชีอันใช้อีกด้านชิม

รออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อยืนยันว่าฆ้องทองแดงผู้น้อยไม่ได้ถูกพิษจากบะหมี่ที่ตนประคองเข้ามา เว่ยเยวียนจึงเริ่มขยับตะเกียบ

สวี่ชีอันเอ่ยอย่างแผ่วเบา “พิษอาจทาลงบนตะเกียบก็เป็นได้”

เว่ยเยวียนชะงัก ก่อนจะเอ่ยอย่างเดือดดาล “ไสหัวไป”

สวี่ชีอันไม่ได้ไสหัวไป กลับยิ้มแฉ่ง อยู่กับท่านพ่อเว่ยมานานขนาดนี้ เว่ยเยวียนไม่ใช่คนที่จะโกรธเป็นจริงเป็นจัง แต่เวลาอบรมคุณธรรมจะน่ากลัวจับใจ

ตามคาด เว่ยเยวียนไม่ได้สนใจ แล้วก้มหน้าก้มตากินบะหมี่

เคี้ยวเส้นที่เหนียวนุ่ม รู้สึกถึงรสสัมผัสของบะหมี่อยู่เหนือความคาดหมายเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่ตุ่มรับรสปะทะเข้ากับผงปรุงรสไก่ จนกระทั่งซดน้ำซุป นัยน์ตาของเว่ยเยวียนก็ส่องประกายขึ้นในทันใน

“เป็นอย่างไรบ้าง” สวี่ชีอันถามอย่างคาดหวัง

“พ่อครัวกี่คนต่อกี่คนทุ่มแรงกายแรงใจ ก็มิอาจทำรสชาติเช่นนี้ออกมาได้” เว่ยเยวียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ฮองเฮาเสวยกระยาหารเลิศรสของในวังจนเคยชิน การเบื่อพระกระยาหาร นอกจากการขาดความอยากอาหารแล้ว การเสวยพระกระยาหารในวังจนเอียนก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุ

สวี่ชีอันรู้สึกถึงคำชมเชยได้จากดวงตาของท่านพ่อเว่ย

เว่ยเยวียนหยิบขวดลายครามออกมาจากช่อง ยื่นส่งให้สวี่ชีอัน เขารับมา แล้วเทผงปรุงรสจากกระปุกลงในขวดลายครามเล็กน้อย

จากนั้นส่งคืนให้เว่ยเยวียน

เว่ยเยวียนส่ายหน้า มองกระปุกโดยที่ไม่ได้รับขวดมา “ในขวดเหลือไว้ให้เจ้า ส่วนกระปุกนั่นเป็นของข้า”

สวี่ชีอันแสดงท่าทีงุนงงในทันที

ยามพลบค่ำ

นางกำนัลยกอาหารเลิศรสที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ เข้ามา กลิ่นหอมของอาหารอันแน่นขนัดตลบอบอวลอยู่ภายในห้อง ทว่าสีหน้าของฮองเฮาอิดโรย ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์

“ข้าบอกแล้วไง เตรียมโจ๊กเปล่ามาเพียงชามเดียวก็พอ”

นางกำนัลเอ่ยเสียงอ่อน “เว่ยกงเพิ่งจะส่งสูตรโอสถลับมา กำชับให้พวกเราทำของดีๆ ถวายฮองเฮาเพคะ”

นางกำนัลอีกคนเอ่ยอย่างคาดหวัง “ฮองเฮา ท่านเสวยเสียหน่อยเถิดเพคะ”

พวกนางเคยทดสอบไปแล้ว รสชาติไม่เหมือนใคร ทำให้ยากจะลืมเลือน อาศัยอยู่ในพระราชวังมานามแรมปีเช่นนี้ ต้องเคยทดสอบอาหารชั้นหนึ่งเลิศรสนานาชนิดแทนเหล่านายท่านมาก่อนอยู่แล้ว

ลำพังเพียงรสชาติของวันนี้ ก็เป็นประสบการณ์การลิ้มรสที่ไม่เคยมีมาก่อน อดรู้สึกไม่ได้ว่ารสชาติที่เคยกินเมื่อก่อนช่างธรรมดาสามัญเหลือเกิน

เมื่อได้ยินว่าเป็นการจัดเตรียมของเว่ยเยวียน ฮองเฮาทรงถอนหายใจ แล้วตักซุปด้วยท่าทีขัดขืนเล็กน้อย ขมวดคิ้วลิ้มรส

รสชาติอันเข้มข้นปะทุไปทั่วตุ่มรับรส อึกๆ …ภายในต้นคอระหง คอหอยเกลือกกลิ้ง แล้วกลืนลงไปโดยไม่รู้ตัว

ฮองเฮาซดซุปตามลงไปคำแล้วคำเล่าจนหมดโดยไม่ขัดขืนหรือสะอิดสะเอียนแม้แต่น้อย

“จู่ๆ ข้าก็หิวขึ้นมา ตักข้าวซิ” ฮองเฮายื่นชามให้นางกำนัล จ้องมองอาหารอันโอชะเต็มโต๊ะอย่างคาดหวัง

วันถัดมา พ้นยามเหม่า[3]ไปไม่นาน ขันทีในตำหนักของฮองเฮานำเครื่องหยกเงินทองจำนวนมากมายังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

เว่ยเยวียนให้ขันทีเข้าพบที่หอเฮ่าชี่ เห็นได้ชัดว่าขันทีผู้นี้เป็นคนรู้จักเก่าแก่กับเว่ยเยวียน นั่งที่ข้างโต๊ะตามใจชอบ ดื่มชาที่เว่ยเยวียนชงกับมือพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เว่ยกงหาตำรับยาผีบอกนี้มาจากที่ใด เมื่อคืนฮองเฮาเสวยอย่างสำราญใจยิ่ง”

เว่ยเยวียนจ้องเขาเขม็ง แล้วเอ่ยถามด้วยความประหม่าเล็กน้อย “ไม่มีอาการเบื่อพระกระยาหารหรือ เสวยไปเท่าไร”

ขันทีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสวยมากกว่าเมื่อก่อน มากกว่าตอนที่พระวรกายแข็งแรงเสียด้วยซ้ำ ยามตื่นบรรทมเมื่อเช้า ฮองเฮาก็ตรัสถามถึงพระกระยาหารกลางวันเป็นประวัติการณ์เชียว”

เว่ยเยวียนยิ้มจากใจจริง

ผ่านพ้นยามบ่าย สวี่ชีอันถูกองค์หญิงฮว๋ายชิ่งเรียกไปเข้าเฝ้าในวัง เขาอยู่ในห้องตระการตาที่มีแสงสว่างสาดส่องจากหน้าต่าง พบกับองค์หญิงวัยสะพรั่งที่หน้าอกสามารถวางลงบนโต๊ะได้

นางเยือกเย็น สูงส่ง งดงามเหมือนดั่งเคย หากไม่สังเกตที่รูปร่างอันอวบอัด คงคิดว่าองค์หญิงเป็นดอกบัวขาวไร้มลทินบนภูเขาหิมะ

“วันนี้ข้าเสวยพระกระยาหารกลางวันกับเสด็จแม่ สูตรยาของเจ้าเหมือนจะได้รับการปรับปรุงใหม่เลยนะ” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งตรัสถาม

“เป็นความดีความชอบของศิษย์พี่ซ่งและแม่นางไฉ่เวยทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันกล่าว

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งพยักหน้า “ข้าอาลัยคิดถึงรสชาตินั้นเล็กน้อย แต่เสด็จแม่กลับตระหนี่ไม่ยกให้ เจ้ายังมีอยู่ไหม”

“ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันส่ายหน้าทันที “หนึ่งกระปุกเต็มๆ ก็ยกให้เว่ยกง ถวายให้ฮองเฮาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

อันที่จริงเขามี ยังมีขวดเล็ก ทว่ายกให้ฮว๋ายชิ่งไม่ได้ เขาต้องเหลือให้ยายตัวร้าย

ไม่ได้หมายความว่าองค์หญิงหลินอันมีสถานะอยู่ในใจเขามากกว่า ทว่ายายตัวร้ายชอบก่อปัญหา วังหลังขององค์จักรพรรดิก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก ของเล่นแปลกใหม่อย่างผงปรุงรสไก่ ช้าเร็วก็ต้องไปถึงหูหลินอัน แต่ไม่เป็นไร อย่างไรเสียเว่ยเยวียนก็เป็นคนมอบให้

แต่องค์หญิงฮว๋ายชิ่งทราบว่า ‘ผู้ริเริ่มความคิด’ ที่แท้จริงคือผู้ใด ด้วยความหน้าเนื้อใจเสือของฮว๋ายชิ่ง…ถึงเวลายายตัวร้ายคงคล้ายกับหญิงจู้จี้ที่พลิกคว่ำไหน้ำส้มสายชู[4] พาลเอาไฟโทสะมาลงกับสวี่ชีอัน

อย่างไรเสียในใจองค์หญิงหลินอัน สวี่ชีอันก็สลัดโลกมืดก้าวสู่แสงสว่างมานานแล้ว และกลายเป็นผู้ช่วยใต้บังคับบัญชาของนาง

คิ้วสวยขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งขมวดเล็กน้อย “แต่ข้าได้ข่าวว่า สิ่งที่เว่ยเยวียนส่งไปที่เสด็จแม่…เป็นผงปรุงรสไก่ครึ่งกระปุก”

“หือ” สวี่ชีอันชะงักงัน มองฮว๋ายชิ่ง

ฮว๋ายชิ่งก็มองเขาอยู่เช่นกัน ทั้งสองนิ่งเงียบอย่างไม่รู้ตัว

…………………………………………………………

[1] ปลาไหลหิวโหยได้อาหาร เป็นพ้องเสียงกับคำว่า 善恶终有报 หมายถึง ดีหรือเลวก็จะได้รับผลในท้ายที่สุด ซึ่งมีที่มาจากประเด็นร้อนแรงในโลกอินเทอร์เน็ตจีน เมื่อมีข่าวผู้ประกาศข่าวหญิงทำการถ่ายทอดสดนำปลาไหลใส่เข้าไปในส่วนล่างของร่างกายเพื่อดึงดูดผู้ชม แล้วท้ายที่สุดก็เสียชีวิต

[2] 鸟苷酸 หมายถึง GMP (Disodium Guanylate หรือ ไดโซเดียม กัวนีเลท) เป็นสารเติมแต่งผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งในรูปเกลือของสารแต่งรสชาติ หรือก็คือสารชูรส

[3] ยามเหม่า คือช่วงเวลา 05.00 น.ถึง 07.00 น.

[4] พลิกคว่ำไหน้ำส้มสายชู หมายถึง อารมณ์หึงหวง