ในคืนนั้นถังหยินและหยวนยู่นำกำลังพลทั้ง 5 หมื่นนายออกจากที่ค่ายของตนเองอย่างเงียบ ๆ โดยมีทหารม้าสอดแนมของเนตรเวหาและเครือข่ายใยพิภพ นำทางพวกเขามุ่งหน้าไปยังเมืองจินฮั๋วอย่างรวดเร็ว

เมืองจินฮั๋วตั้งอยู่บนถนนสายหลักที่มีสามแยกมาบรรจบกัน ดังนั้นหากไม่ผ่านเมืองจินฮั๋ว ก็ต้องใช้ทางอ้อมที่เสียเวลากว่าเพื่อไปยังมณฑลกวนหนาน

เพื่อที่จะรีบไปยังเมืองจินฮั๋วก่อนกองทัพหนิง ถังหยินจึงไม่มีเวลาที่จะปกปิดการเดินทัพครั้งนี้ด้วยซ้ำ เขาเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างต่อเนื่อง

มณฑลจิงกวงนั้นตกอยู่ในกำมือซ่งเทียน และถูกเปลี่ยนเป็นแคว้นเปิงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว พวกทหารก็เปลี่ยนไปใช้เครื่องแบบสีแดงกัน ทำให้กองทัพเฟิงจำนวนนับหมื่นของถังหยินในชุดเกราะสีดำดูโดดเด่นยิ่ง ทว่าพวกเขาก็ราวกับคลื่นมนุษย์สีดำที่เข้าทำลายและกลืนกินไปตลอดทาง

ถ้าไม่ยอมจำนนก็จะถูกกวาดล้าง นี่คือทางเลือกเดียวที่ทหารในมณฑลแห่งนี้ต้องคิดให้ดี !

หลังจากเดินทางเป็นเวลา 3 วัน ถังหยินและหยวนยู่ก็พาคนของพวกเขามาถึงเมืองจินฮั๋วแล้ว

เมื่อผู้ว่าเมืองจินฮั๋วทราบว่ากองทัพเฟิงจำนวนมากเดินทางมาถึงนอกเมือง เขาก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า ด้วยมันเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย และถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาถึงที่นี่ได้อย่างไร แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าจำนวนทหารในเมืองจินฮั๋วที่มีน้อยกว่า 1 พันนายนั้น ไม่อาจต้านทานคนพวกนี้เอาไว้ได้เลย

โดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ ผู้ว่าก็พลันหันกลับไปพูดกับคนรับใช้ ว่าตนมีบางอย่างต้องไปทำ ก่อนที่เขาจะหายไป ทิ้งให้พวกทหารที่คุ้มกันประตูเมืองทำตัวไม่ถูก พวกเขาได้แต่ยืนนิ่งเฉย ปล่อยให้กำลังพลทั้ง 5 หมื่นนายนั่นเดินเข้ามาทั้งอย่างงั้น

ซึ่งก็เป็นขุนนางผู้หนึ่งที่มีใจหาญกล้า เขาได้เดินออกไปเปิดประตูเมืองต้อนรับถังหยินด้วยตัวเอง ทั้งยังมอบอาวุธให้กับถังหยินและคนอื่น ๆ อย่างว่าง่าย

หลังจากพบพวกคนในเมืองจินฮั๋วแล้ว ถังหยินก็ไม่ได้สนใจที่จะรวบรวมอาวุธของเขาอีก ด้วยพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนแก่ชรา อ่อนแอและพิการดูไร้เรี่ยวแรง ไม่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้แม้แต่น้อย

เมื่อทราบว่าผู้ว่าหายไปแล้ว ถังหยินก็ครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ ก่อนที่เขาจะสั่งให้ทหารของตนนำเหล่าขุนนางในเมืองจินฮั๋วมาเข้าพบ

หลังจากนั้นไม่นานนัก กลุ่มคนที่ชายหนุ่มตามตัวก็ได้มาถึง และด้วยพวกเขาเหล่านี้ไม่รู้ว่าถังหยินพยายามทำอะไร จึงได้แต่ตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม พากันลดศีรษะลงไม่กล้ามองไปที่ชายหนุ่มตรง ๆ

ชายหนุ่มมองไปที่ทุกคนและถามว่า “รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร”

คนพวกนั้นต่างมองหน้ากันไปมา และในที่สุดสายตาของพวกเขาก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของถังหยินก่อนจะส่ายหัวอย่างช้า ๆ ในความเห็นของพวกเขา แม้ว่าแม่ทัพที่อยู่ตรงหน้าจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราและสวมเกราะเหล็ก หากแต่รูปร่างหน้าตาที่ดูราวกับเด็กเช่นนี้ก็ทำให้ยากนักที่จะคาดเดาออก

ถังหยินยิ้มอย่างไม่แยแสและกล่าวว่า “ข้า ถังหยิน !”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา พวกทหารทุกคนก็ตกใจและไม่เชื่อว่าสิ่งที่ชายหนุ่มพูดเป็นความจริง ถังหยินเป็นผู้ปกครองมณฑลเทียนหยวน เขาเป็นคนแรกที่ต่อต้านซ่งเทียน เขาควรจะสู้กับซ่งเวินอยู่ไม่ใช่หรือ ทำไมจู่ ๆ เขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ นี่มันไร้เหตุผลเกินไป !

เมื่อเห็นทุกคนกำลังคิด ถังหยินก็หุบรอยยิ้ม ก่อนใช้ดวงตาที่เกรี้ยวกราดของเขาจ้องมองไปยังกลุ่มคนตรงหน้าอย่างเย็นชาและพูดว่า “ข้าเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยตัวข้าเอง แต่ว่าพวกเจ้ากลับไม่คิดที่จะทักทายกันหน่อยหรือยังไง ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ตกใจรีบคุกเข่าลง ประสานมือและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ขอทำความเคารพขอรับ !”

“ฮึ !” ถังหยินยิ้มเยาะและกล่าวว่า “แต่ข้าไม่คิดแบบนั้น ! พวกเจ้าเป็นขุนนางแคว้นเปิง ส่วนข้าก็เป็นผู้ปกครองมณฑลเทียนหยวนจากแคว้นเฟิง ดังนั้นคงไม่อาจรับการทำความเคารพนี้ได้หรอก !”

ทุกคนต่างสั่นสะท้านขณะที่พวกเขากล่าวว่า “นายท่านถังหยินข้าน้อยผู้ต่ำต้อยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำต้องเข้าร่วมแคว้นเปิง ! เพราะแม้แต่ผู้ว่ามณฑลก็ยังก้มหัวเคารพซ่งเทียน ดังนั้นข้าจึงไม่อาจที่จะหาคำแก้ตัวใดได้ !”

ยังไงเสียพวกเขาก็ยังมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับ พวกเขาคงจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักและคนในครอบครัวอาจถูกลากให้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาถูกก้มด่าว่าเป็นคนขายชาติขายแคว้น หากแต่พวกเขาก็ได้แต่ต้องกัดฟันต้านรับเอาไว้

ถังหยินสังเกตเห็นใบหน้าขุนนางพวกนี้ที่มีสีหน้าเศร้าโศก จึงพยักหน้าและพูดว่า “ข้าจะไม่ถามว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น แต่เนื่องจากตอนนี้ข้าได้มาที่เมืองนี้แล้ว ข้าจึงต้องถามว่าพวกเจ้ามีอะไรขัดข้องหรือไม่ ?”

“ ไม่ ๆ! พวกข้าไม่มีหรอก !” ทุกคนกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน

ทำให้ถังหยินกล่าวตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “ถ้าพวกเจ้าต้องการจะไปก็แค่พูดออกมาเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่เพียงแต่ข้าจะไม่ทำให้เรื่องยุ่งยาก แต่ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปกับครอบครัวอีกด้วย” ขณะที่เขาพูด สายตาของชายหนุ่มก็กวาดไปทั่วใบหน้าของกลุ่มคนตรง ไม่ปล่อยให้การแสดงออกใด ๆ ของพวกเขาหลุดรอดออกไป

“ว่ายังไงเล่า หื๊มมมม ?”

หลังจากได้ยินคำพูดของถังหยิน ทุกคนก็ตกตะลึง พวกเขามองหน้ากันไปมาอีกครั้งอย่างกระวนกระวายและพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน “ข้าแค่หวังว่าจะกอบกู้แคว้นเฟิงให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งก็เท่านั้น ! ถ้าไม่เช่นนั้นข้าจะยอมเป็นขุนนางแคว้นเปิงต่อไปทำไมกัน !”

‘หืม !’ ถังหยินแอบพยักหน้า หากต้องการต่อต้านพวกหนิง เขาจะต้องยืมความแข็งแกร่งของชาวเมือง และถ้าชายหนุ่มต้องการให้พวกเขาช่วย งั้นแล้วก็ต้องยืมมือขุนนางเหล่านี้ ! ดังนั้นถังหยินจึงต้องทำให้แน่ใจก่อนว่าพวกเขาภักดีต่อแคว้นเฟิงหรือไม่

เมื่อเห็นว่าทุกคนจริงใจ ถังหยินก็ผ่อนคลาย เขาโบกมือและกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถอะ !”

“ขอรับ ท่านถัง !” ทุกคนกลืนน้ำลายและลุกขึ้นจากพื้น

ถังหยินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “กองกำลังหลักของกองทัพเทียนหยวนกำลังต่อสู้กับทหารแคว้นเปิงที่นำโดยเจ้าคนสารเลวซ่งเวิน และที่ข้ามาที่นี่ ก็เพราะมีจุดประสงค์อื่น”

รองผู้ว่าเมืองจินฮั๋วนามเติ้งซวนก้าวออกมา ก่อนถามว่า “ไม่ทราบว่าข้าจะสามารถรับรู้จุดประสงค์ที่ว่านั่นได้หรือไม่ขอรับ”

ถังหยินยักไหล่และพูดอย่างตรงไปตรงมา “เพื่อหยุดกองทัพหนิงไม่ให้มุ่งหน้าไปทางเหนือ”

“ขอรับ ?” เติ้งซวนและขุนนางรอบ ๆ ตกใจ ก่อนเป็นเติ้งซวนที่กล่าวออกมา “ตามที่ข้ารู้ กองทัพหนิงมีกำลังคน 4 แสนนาย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังได้รับคำสั่งจากแม่ทัพจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ ?”

โดยไม่รอให้เขาพูดจบ ถังหยินก็ขัดจังหวะและพูดว่า “กองทัพของศัตรูกำลังยึดครองดินแดนแห่งนี้ พวกเขามีอิสระที่จะไปมาเช่นนี้ พวกเจ้าไม่คิดว่าในฐานะชาวเฟิง มันไม่ดูน่าละอายอย่างนั้นเหรอ ? อีกอย่าง กำลังทหาร 4 แสนนาย ? เห๊อะ ในสายตาของข้าพวกมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าใบไม้ใบหญ้าข้างทาง !”

คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นสีแดง พากันก้มหน้าด้วยความละอาย

ถังหยินกล่าวต่อว่า “ตอนนี้แคว้นของเราตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นทุกคนที่รู้จึงควรร่วมมือกับข้าเพื่อป้องกันศัตรูพวกนั้น ! ถ้าเราชนะการต่อสู้ครั้งนี้ วันแห่งการกอบกู้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม ! จะเป็นทหารกล้าที่ฝากชื่อไว้เป็นตำนาน หรือจะเป็นขี้ข้ารับใช้ความอยุติธรรมไปจนวันตาย พวกเจ้าเลือกเอาเอง !!!!”

สิ้นคำพูดนั้นถังหยินก็จากไปและไม่หันไปมองพวกเขาอีก

ขุนนางทุกคนต่างอยู่ในอารมณ์ที่ซับซ้อน ในสถานการณ์ชีวิตหรือความตายเป็นการยากที่จะตัดสินใจไม่ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบก็ตาม หลังจากนั้นไม่นานเติ้งซวนก็กัดฟันและกระทืบเท้าของเขาก่อนคุกเข่าลงอีกครั้ง และพูดเสียงดังว่า “ข้ายินดีที่จะเข้าร่วมกับท่านในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม !”

ขณะที่เขาเป็นผู้นำในการแสดงจุดยืน คนอื่น ๆ ก็พากันสงบลง พวกเขาคุกเข่า และพูดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “เรายินดีที่จะทำงานร่วมกับท่านเพื่อต่อต้านกองทัพหนิง !”

“ดี !” เมื่อได้ยินเช่นนั้นถังหยินก็หันไปทันที เขาเดินไปข้างหน้าและให้ทุกคนลุกขึ้นก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าช่างสมกับเป็นชาวแคว้นเฟิงเสียจริง ! ด้วยความช่วยเหลือของพวกเจ้า มันก็คงมากพอแล้วที่พวกเราจะต้านทานกองทัพอันยิ่งใหญ่ของพวกหนิงไว้ในที่แห่งนี้ !”

“ถ้าท่านมีอะไรที่ต้องการให้เราทำอย่าลังเลที่จะบอกเรา !”

“ได้ !” ถังหยินพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถามว่า “การป้องกันของเมืองตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

“ไม่มีสิ่งใดที่สามารถใช้ป้องกำแพงเมืองได้ พวกมันทั้งหมดถูกเก็บไว้ในคลัง” เติ้งซวนกล่าวอย่างเร่งรีบ

ถังหยินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็พูดว่า “ข้ามีบางอย่างที่ต้องการให้เจ้าช่วย”

“ท่านต้องการอะไรขอรับ ?”

“ก่อนอื่นให้ปิดผนึกเมืองทั้งเมือง โดยไม่มีคำสั่งของข้า จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าหรือออกจากเมือง คนที่กล้าฝ่าฝืนจะถูกประหารชีวิตโดยไม่มีการละเว้น !”

“ขอรับ !”

“แล้วก็จงไปจัดระเบียบเมืองเสียใหม่ ทำให้มันง่ายกับการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์และเสบียงทั้งหมดที่เก็บไว้ในคลังไปที่ด้านเหนือสุดของเมือง”

“ขอรับ !”

“นอกจากนี้ ก็ให้ส่งคนไปยังหมู่บ้านรอบ ๆ เมืองจินฮั๋วทันที เพื่อรวบรวมอาหารให้มากขึ้น จงรวบรวมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยมันจะช่วยให้พวกเราต้านรับพวกหนินได้นานขึ้น และถ้าใครไม่ส่งมอบ ก็ให้เจ้าทำการยึดมาเลย ! ”

“เข้าใจแล้วขอรับ !”

ถังหยินออกต่อคำสั่งอย่างต่อเนื่อง ส่งให้เติ้งซวนและคนอื่น ๆ ออกไปทำตาม ซึ่งสิ่งที่ชายหนุ่มคิดก็ถือว่าถูกต้อง เพราะเมื่อชาวเมืองจินฮั๋วได้ยินว่าเป็นการช่วยปกป้องกองทัพเฟิงจากกองทัพหนิง พวกเขาก็พากันเต็มใจที่จะช่วยในทันที โดยผู้ชายช่วยขนเสบียง ส่วนผู้หญิงก็ช่วยกันทำอาหาร

เพราะความช่วยเหลือของประชาชนในพื้นที่ มันก็ทำให้ภาระบนบ่าของชายหนุ่มผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว ผนวกกับการเดินทางข้ามวันข้ามคืนที่ทำให้ทหารทั้ง 5 หมื่นนายเหนื่อยอ่อน มันก็นับได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาที่จะพักผ่อนแล้ว…

พวกเขารู้เพียงว่าซ่งเวินกำลังเผชิญหน้ากับกองกำลังหลักของเทียนหยวน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รีบร้อนที่จะเดินทาง ด้วยพวกเขาต้องการให้ซ่งเวินเสียเวลากับกองทัพเทียนหยวนมากขึ้น ดังนั้นกองทัพหนิงทั้ง 4 แสนนายจึงเคลื่อนกำลังอย่างช้า ๆ เช่นเดียวกับจิตวิญญาณการต่อสู้ของทหารทุกคนที่เบาบาง ทำให้ทั้งกองทัพดูราวกับกำลังเที่ยวเล่นมากกว่าคิดจะไปทำสงคราม

ถังหยินและคนอื่น ๆ อยู่ในเมืองจินฮั๋ว ใช้เวลาเตรียมตัวตลอด 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งในระหว่างนั้น พวกหนิงก็ได้รับข่าวบางอย่าง ที่ในนั้นระบุไว้ว่ากองทัพเทียนหยวนส่วนหนึ่งได้แยกตัวออกมา และเข้ายึดเมืองจินฮั๋วแล้ว

เมื่อแม่ทัพหนิงนายหนึ่งทราบข่าว เขาก็ไม่เชื่อซะทีเดียว ด้วยเห็นได้ชัดว่ากองทัพเทียนหยวนกำลังต่อสู้กับซ่งเวินที่ชายแดน แล้วพวกเขาจะมาที่เมืองจินฮั๋วได้อย่างไร จริงไหม ?

ข่าวนี่น่าจะผิดพลาดอย่างแน่นอน

…เพราะแบบนี้ กองทัพหนิงจึงยังคงเดินทางอย่างไม่เร่งรีบ จนกระทั่งเข้าวันที่ 4 ที่พวกเขามาถึงเมืองจินฮั๋ว !