บทที่ 8 เขาต้องตาย (1) โดย Ink Stone_Romance
หลังเที่ยงคืน แม่น้ำฮู่สุ่ยอากาศชื้นมาก
เพราะเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นในตรอกข้างหน้า พอข่าวเผยแพร่ออกไป เรือสำราญที่แล่นอยู่ในน้ำจึงจอดเทียบท่าก่อนเวลานานแล้ว และยังไม่ทันได้เก็บโคมไฟที่แขวนอยู่บนต้นหลิวริมแม่น้ำ ทว่าช่างน่าประหลาด พอบรรยากาศของเทศกาลนี้อันตรธานหายไปหมด แสงไฟที่แกว่งไกวเหล่านั้นกลับดูแปลกประหลาด
ยามสี่เกิง[1] ริมฝั่งแม่น้ำที่ห่างไกลไร้ผู้คน หมอกลอยอยู่เหนือผิวน้ำอย่างเบาบาง กลางลำน้ำมีเรือเพียงลำเดียวล่องลอยไปตามกระแสน้ำอย่างเชื่องช้า แสงไฟด้านบนที่ทั้งช่วยกันอำพรางตัวและส่องสะท้อนกันและกันนั้นไม่ต่างอะไรกับเรือสำราญที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในแม่น้ำสายนี้ในยามปกติ แต่อาจเพราะคืนนี้เงียบสงัดเกินไป จึงทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความหนาวเหน็บแทน
เพราะอยู่ห่างไกลจากทั้งสองฝั่ง จึงไม่มีใครสามารถมองเห็นเหตุการณ์บนเรือได้อย่างชัดเจน ได้ยินเพียงเสียง ดนตรีที่ล่องลอยมาไม่ขาดสาย บางครั้งก็มีเงาเสื้อผ้าไหววูบวาบอยู่หลังกระโจมอบอุ่นเหล่านั้น
ช่วงค่ำคืนอันเงียบสงบ ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามปรากฏเงาคนแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว แล้วมาหยุดอยู่บนดาดฟ้าท้ายเรือสำราญระหว่างที่เรือลอยกระเพื่อมอยู่บนผิวน้ำ
เวลานั้นเสียงดนตรีในห้องโดยสารยังดังอย่างต่อเนื่อง คนพายเรือที่อยู่ด้านนอกต่างก็ดื่มเหล้าให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ด้านหนึ่ง หลังจากคนนั้นขึ้นมาบนเรือแล้วกลับไม่ได้ขยับตัวไปไหนต่อ แต่ก้มตัวคลำหาห่อผ้าสีเทาที่ไม่สะดุดตาจากกองของระเกะระกะที่อยู่ข้างๆ อย่างเชี่ยวชาญ แล้วเปลี่ยนชุดพรางตัวที่สวมอยู่ในเงามืดหลังห้องโดยสาร ในตอนที่เดินออกมานั้นก็เปลี่ยนโฉมใหม่เป็นร่างหญิงงามเมืองหน้าตาสะสวยงดงามรูปร่างอ้อนแอ้นเรียบร้อยแล้ว
“พี่ลั่วสุ่ย เจ้ายังบอกว่าดื่มเหล้าเก่งอีกหรือ นี่แอบไปอ้วกไปที่ไหนมาล่ะ?” หญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ออกมาจากห้องโดยสารเดินเข้ามาเอ่ยหยอกล้อพลางยิ้ม
“ตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าข้าไปอ้วกมาล่ะ?” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าลั่วสุ่ยเลิกคิ้วสูงด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ทั้งสองคนไม่ถูกกันนัก จิกกัดกันไม่กี่ประโยค ลั่วสุยก็เข้าไปในห้องโดยสาร
เวลานั้นบรรยากาศในห้องโดยสารสนุกสนานราวกับงานเต้นรำเฉลิมฉลองความสงบสุข มีการแสดงของคณะนักดนตรีบรรเลงเสียงพิณและเสียงขลุ่ย ชายหนุ่มนอนตะแคงอมยิ้มอยู่บนเตียงในห้องอุ่น เขาหลับตาพริ้มตั้งใจฟัง นิ้วมือเรียวยาวเคาะจังหวะลงบนต้นขาของตนเองบ้าง ท่าทางเคลิบเคลิ้มมากทีเดียว
ไม่มีใครกินเหล้าและกับแกล้มที่วางอยู่เต็มโต๊ะ บนโต๊ะเล็กข้างชายหนุ่มมีจอกหยกหนึ่งจอกและเหล้าหนึ่งคนโทวางอยู่ กลิ่นหอมเข้มข้นฟุ้งตลบอบอวลเย้ายวนใจเสียเหลือเกิน
ลั่วสุ่ยเดินเข้าไปนั่งลงบนเตียงชิดข้างขาเขาเอง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนหวาน กล่าว “คุณชายรอง ดึกมากแล้ว ท่านว่า…พวกเราควรกลับได้แล้วหรือไม่เจ้าคะ?”
เรือสำราญลำนี้เป็นของหอหวนชุ่ย เดิมทีมีคนเหมาลำมาท่องเที่ยว แต่ต่อมาบนฝั่งเกิดเรื่องขึ้น คนที่เหมาเรือก็กลับไปก่อนแล้ว ทีแรกลั่วสุ่ยและคนอื่นๆ ก็จะกลับไปเหมือนกัน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอเศรษฐีใหญ่แบบซูอี้เข้า ทั้งยังออกเงินก้อนโตเช่าเรือสำราญลำนี้มาด้วย
นางโลมที่ไหนจะไม่ชอบเงิน ในฐานะที่เป็นหญิงงามอันดับต้นๆ ของหอหวนชุ่ย ลั่วสุ่ยต้องตอบรับอย่างแน่นอน จึงได้ตัดสินใจเช่าเรือสำราญลำนี้มา
ซูอี้หรี่ตามองข้างนอกแล้วถามว่า “กี่ชั่วยามแล้ว?”
“เลยยามสี่เกิงมามากแล้วเจ้าค่ะ” ลั่วสุ่ยตอบ แล้วรินเหล้าส่งให้เขา
ซูอี้ไม่ได้รับมา แต่ดื่มเหล้าจากมือนางไปครึ่งจอก เหมือนกับได้ยินสองคนคุยอะไรบางอย่างกันแว่วๆ แล้วลั่วสุ่ยก็ยิ้มออดอ้อนฉอเลาะ สองสาวนักดนตรีที่อยู่ด้านนอกมองไปก็เห็นลั่วสุ่ยยิ้มจนอ่อนระทวยไปทั้งตัวและพิงซบอยู่บนตัวซูอี้
ทั้งสองคนต่างเบ้ปากดูถูกเหยียดหยาม…
ลั่วสุ่ยไม่เพียงแต่มีไม้ตายมัดใจแขกได้ แต่ยังสนิทกับแม่เล้ามากด้วย หากใครอิจฉาริษยาแค่มีปากเสียงด้วยไม่กี่ประโยคก็จบแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าฉีกหน้านางจริงๆ
ทั้งสองคนหยอกล้ออยู่ข้างในกันพักหนึ่ง ลั่วสุ่ยเอาใจซูอี้จนอารมณ์ดีแล้ว เขาจึงตามใจนาง “ได้สิ แยกย้ายกันเถอะ!”
เหล่าหญิงสาวต่างก็อยู่เป็นเพื่อนมาทั้งคืนแล้ว เวลานี้ก็ดูหมดแรงไปตั้งนานแล้ว
ลั่วสุ่ยหันไปมองด้านนอกแล้วเอ่ยน้ำเสียงอารีว่า “เก็บของเถอะ ไปสั่งนายท้ายเรือให้เรือเข้าฝั่ง!”
“ทราบแล้วค่ะ!” ทั้งสองคนรับคำ แล้วลุกขึ้นอุ้มของออกไป
จนกระทั่งคนออกไปแล้ว ลั่วสุ่ยก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที รอยยิ้มออดอ้อนเลือนหายไปจากใบหน้า ท่าทางเคร่งขรึมเข้ามาแทนที่
“เรื่องที่ให้เจ้าไปตรวจสอบได้เบาะแสแล้วรึ?” ซูอี้ถามอย่างเฉยชา เขาเอนหลังพิงเตียงนุ่มนิ่งและยกยิ้มมุมปาก แต่สายตากลับฉายแววลุ่มลึกยิ่งนัก ทำให้ใครก็เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ยังเจ้าค่ะ!” ลั่วสุ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไร้พยานไร้หลักฐาน เวลาน้อยมากจึงไม่สามารถจับพิรุธได้ และองครักษ์ลับของราชสำนักกลุ่มนั้นส่วนใหญ่ก็รับคำสั่งโดยตรงจากคนในวังคนนั้น เวลานี้สิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้คือ…หลายวันก่อนว่ากันว่ามีพลังลึกลับปรากฏขึ้นใกล้ราชสำนักโม่เป่ยอย่างเบาบาง มีความเป็นไปได้มากว่าเป็นองครักษ์บางส่วนที่ส่งออกไปปฏิบัติภารกิจลับ แต่ว่า…ทางโม่เสว่มีข่าวคราวล่าสุด คนของโม่เป่ยกลุ่มนั้นถอนกำลังอย่างเงียบๆ แล้ว เห็นว่า…เจ้านายของพวกเขาเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน!”
ฮ่องเต้ส่งคนไปทำอะไรที่โม่เป่ยกันแน่ ซูอี้ก็พอจะเดาได้ ส่วนสาเหตุที่ถอนกำลังกลับอย่างกะทันหันในเวลานี้ก็รู้กันโดยไม่ต้องอธิบาย แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นนัก
“ไม่มีเบาะแสหรือ? แม้แต่จำนวนคนและขอบเขตการเคลื่อนไหวคร่าวๆ ของพวกเขาก็ไม่รู้รึ?” ซูอี้เอ่ยถาม และไม่มีท่าทีว่าจะผิดหวังแต่อย่างใด
“คนกลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่มที่ฮ่องเต้ฝึกฝนอย่างลับๆ หลังจากที่ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว และเพิ่งจะแสดงฝีมือและความสามารถออกมาในช่วงสองถึงสามปีมานี้ มีหน้าที่ออกหน้าจัดการเรื่องยุ่งยาก” ลั่วสุ่ยเอ่ย “ดูจากวิธีลงมือของฝ่าบาทแล้ว ไม่น่าจะทิ้งร่องรอยของคนพวกนี้ให้ตามไปได้หรอกเจ้าค่ะ”
หากเป็นองครักษ์หน่วยกล้าตายที่ฮ่องเต้ฝึกฝนอย่างลับๆ หลังจากที่ตั้งซีเยว่เป็นเมืองหลวงแล้ว เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกคนหรือขั้นตอนการฝึกฝนก็ต้องปิดเป็นความลับอย่างถึงที่สุด และไม่มีทางทิ้งเบาะแสให้แกะรอยตามไปได้อย่างแน่นอน
ซูอี้เม้มปากแล้วไม่เอ่ยอะไรต่อ นิ้วมือยังเคาะลงบนเข่าของตนเองบ้าง สีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ลั่วสุ่ยก็อดกระวนกระวายไม่ได้ นางลังเลอยู่ชั่วครู่จึงลองเอ่ยว่า “คุณชายคะ วันนี้ท่านมาแบบฉุกละหุกมากจริงๆ ให้เวลาข้าอีกสักหน่อย แน่นอนว่าข้า…”
“ช่างเถอะ!” ซูอี้ดึงสติกลับมาแล้วเหมือนเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน เขายิ้มอย่างไม่แยแส
เขาจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วถึงเอ่ยต่อว่า “สนใจแค่จัดการเรื่องของเจ้าเองให้เรียบร้อยก็พอ ส่วนวันนี้…ก็ถือว่าข้าไม่ได้มาละกัน!”
คนที่เขาบังเอิญเจอบนฝั่งก่อนหน้านี้ต้องเป็นหัวหน้าของพวกนักฆ่าที่ลอบสังหารทั่วป๋าไหวอันในคืนวันสิ้นปีแน่ ตอนแรกเขาแค่รู้สึกว่าคุ้นตารูปร่างของคนนั้นอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นตามรอยเขาไปจนครึ่งเมืองหลวงแล้วก็ยังไร้ผล ในใจก็รู้สึกว่าต้องใช่แน่ๆ…
คนผู้นั้น!
หากเหล่าฮั่นฆ่าคนเพื่อเขาจริง เช่นนั้นเรื่องนี้ก็แปลกมากจริงๆ คงไม่ได้เป็นแผนของฮ่องเต้หรอกกระมัง? ไม่เห็นจำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงมากขนาดนั้นเพื่อจัดการเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เพื่อคนชั้นต่ำแบบนั้น ถึงขั้นจงใจใช้มือสังหารยอดฝีมืออย่างนางให้คนระแวงสงสัยเลยหรือ?
พอเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดก็ทำให้คนสับสนมาก จนจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยสักนิด
และยังท่าทีของฉู่สวินหยางที่มีต่อเรื่องนี้ก็แปลกมากเช่นกัน ถึงแม้จะเพียงเพื่อพุ่งเป้ามาที่เรื่องนี้…
ทว่าเรื่องที่เหยียนหลิงจวินไม่อยากให้เขาเข้าไปยุ่งวุ่นวาย เขาก็ต้องเกรงใจเช่นกัน
ลั่วสุ่ยเห็นเขาเปลี่ยนใจกะทันหันก็คิดว่าเขาไม่พอใจนาง จึงรีบเอ่ยว่า “คุณชายคะ ข้าพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วเจ้าค่ะ จริงๆ แล้ว…”
“ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร!” ซูอี้เอ่ย เขาจัดเสื้อผ้าต่อให้เรียบร้อยแล้วลุกขึ้น ทันใดนั้นเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเบี่ยงประเด็นไปว่า “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ที่ข้าให้เจ้าคอยตามสืบคนตระกูลซู มีความคืบหน้าอะไรหรือไม่?”
“มีเจ้าค่ะ!” ลั่วสุ่ยเอ่ย แล้วรีบปรับสีหน้าทันที “ข้าตรวจสอบเรื่องที่หอยลนทีคืนนั้นจนรู้แน่ชัดแล้วเจ้าค่ะ ซูหลินพลั้งมือผลักซูหว่านตกลงไป เวลานั้นแม่นางหลัวอวี่ก่วนแห่งตระกูลหลัวก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย แล้วหลังจากนั้นทั้งสองคนก็มีความสัมพันธ์กันเจ้าค่ะ”
“งั้นรึ?” ซูอี้เอ่ย นัยน์ตาทอประกายขบขัน แต่หน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาเป็นพิเศษ
ลั่วสุ่ยแอบสังเกตสีหน้าของเขา นางเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่ออีกว่า “แล้วยังมีพระชายาของซื่อจื่อจวนอ๋องฉางซุ่นก็มีปัญหานิดหน่อยเช่นกันเจ้าค่ะ!”
“หึ…” ซูอี้ฟังแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ในที่สุด
“น่าสนใจดีนี่ เกรงว่าละครฉากนี้นับวันจะยิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ” ซูอี้ยกมือตบบ่าลั่วสุ่ยเอ่ย “จับตามองข่าวคราวฝั่งนั้นต่อไปก็พอ ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง!”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ!” ลั่วสุ่ยพยักหน้าตอบรับ
ซูอี้เดินออกไปแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น
ยามห้าเกิง[2] ท้องฟ้ามืดสลัว
จางอวิ๋นอี้ลืมตาขึ้นอย่างเวียนศีรษะ รู้สึกแค่ว่ามือไม้อ่อนแรงและปวดศีรษะมาก ยังไม่ทันลืมตาก็ตะโกนไปก่อนว่า “เอาน้ำมา!”
ปกติไม่ว่าเขาจะไปนอนห้องภรรยาหรืออนุของตนเองหรือนอนกับสาวใช้ที่ห้องหนังสือ ผู้หญิงพวกนั้นก็จะจัดการให้หมด ดูแลปรนนิบัติเอาใจเขาทุกอย่าง ถึงแม้ว่าช่วงกลางคืนจะไม่มีสาวใช้คอยรับใช้อยู่ด้านนอก ผู้หญิงข้างกายเขาก็จะจัดการแทน
แต่วันนี้บรรยากาศในห้องนี้กลับแปลกไป เขานอนรออยู่ตรงนั้นนานแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่มีใครเอาน้ำมาให้เขา แต่ทั้งในและนอกห้องยิ่งเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใด
เมื่อวานดื่มมากไปจริงๆ ตอนนี้เขายังเวียนศีรษะอยู่บ้าง และหงุดหงิดจนอยากระเบิดโทสะออกมา แต่นัยน์ตากลับฉายแววตื่นตกใจกับสิ่งแปลกตาที่อยู่ตรงหน้า
———————————————————
[1] ยามสี่เกิง = ช่วงเวลา 01.00-02.59 น.
[2] ยามห้าเกิง = ช่วงเวลา 03.00-05.00 น.