บทที่ 841 + 842 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 841 ความจริงที่ไม่แปรเปลี่ยน
กู้ซีจิ่วมองเรือนของตน อยู่ในสภาพดั้งเดิมเหมือนตอนแรกเริ่ม เครื่องเรือนยังนับว่าสมบูรณ์ สามารถอยู่อาศัยได้
หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เธอจะต้องอยู่ในเรือนหลังนี้ไปอีกแปดเก้าปี ว่ากันตามเหตุผลแล้วก็สมควรจะเก็บกวาดซ่อมแซมให้ดี แต่เธอรู้สึกขี้เกียจขึ้นมาชั่วขณะ หมดความสนใจในด้านนี้ไปแล้ว
แล้วไปเถอะ บ้านเรือนมีไว้อาศัย มิใช่มีไว้ประดับประดาตกแต่ง เธอจะไม่จัดการมันหรอก
วันหน้าถ้ามีกะจิตกะใจค่อยจัดการแล้วกัน ตัวเธอในยามนี้นอกจากความสนใจด้านการเล่าเรียนแล้ว อย่างอื่นล้วนไม่สนใจมากนัก
ตอนที่เธอเพิ่งย้ายเข้ามาที่นี่ หลงซือเย่เคยมาหาแล้วครั้งหนึ่ง เขากระตือรือร้นและอยากช่วยเธอวางแผน แต่ถึงแม้เขาจะเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง แต่ประสาทในด้านนี้กลับไม่พัฒนาเลยจริงๆ เรือนของตัวเขาเองยังเหมือนถ้ำหิมะอยู่เลย จะคาดหวังให้เขาออกแบบอะไรที่มีรสนิยมได้อย่างไร?
การตกแต่งบ้านในชาติก่อนของเขายังคงเป็นกู้ซีจิ่วที่ช่วยเขาออกแบบ เขาไม่มีหัวทางด้านนี้เลยจริงๆ
เนื่องจากตอนนี้กู้ซีจิ่วไม่สนใจ เขาก็ไม่อาจออกแบบให้เธอสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงยอมแพ้
อีกอย่างถึงแม้เครื่องเรือนต่างๆ ของกู้ซีจิ่วจะอยู่ในสภาพดั้งเดิมที่ดาษดื่นทั่วไปยิ่งนัก แต่ยังคงใช้ได้สะดวกสบายนัก จึงไม่ต้องรีบร้อนเปลี่ยน
ส่วนตี้ฝูอี คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะในด้านนี้ แต่เขาไม่เคยมาสักครั้งเลย
นับตั้งแต่ ‘ละคร’ ครั้งนั้นปิดฉากลง เขากับกู้ซีจิ่วก็แทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กันอีกเลย
เขายังคงอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ทุกสามวันจะเข้าสอนหนึ่งคาบ คนผู้นี้เป็นอาจารย์ที่ดี เนื้อหาที่บรรยายก็เพลิดเพลินจรรโลง อธิบายเนื้อหาที่ลึกซึ้งด้วยถ้อยคำเรียบง่าย เหล่าศิษย์เต็มใจเข้าชั้นเรียนของเขายิ่งนัก ทุกห้องเรียนที่เขาเข้าสอนล้วนมีคนเนืองแน่น ทุกครั้งยามที่เขาเข้าสอนจะมีศิษย์ของห้องอื่นมากมายมาเข้าฟังด้วย อย่าว่าแต่ในห้องเรียนเลย แม้แต่ใต้หน้าต่างนอกห้องเรียนล้วนมีคนฟังอยู่ข้างๆ ด้วย…
การสอนของเขาก็มีการเรียกถามศิษย์ด้วย ศิษย์ที่ถูกเขาถามล้วนตื่นเต้นคึกคักยิ่ง ขอเพียงตอบคำถามได้เสียงก็จะดังเป็นพิเศษ หากว่าตอบไม่ได้ก็จะหน้าแดงก่ำลำคอโป่งพอง โชคดีที่คนผู้นี้ถึงแม้ปกติจะปากคอเราะร้าย ทว่ายามเข้าสอนยังคงอ่อนโยนยิ่งนัก ต่อให้ศิษย์ตอบไม่ได้เขาก็ไม่ตำหนิ ถ้าสบช่วงที่เขาอารมณ์ดีก็จะกล่าวให้กำลังใจหลายประโยค ทำให้ศิษย์เหล่านั้นหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง!
บางทีอาจทำเพื่อเลี่ยงข้อพิพาท หรือไม่ก็เป็นเขาวางมือจากเธอแล้วจริงๆ บทเรียนที่เขาสอนมากมายจนแทบจะถามศิษย์ในชั้นเรียนคนละหนึ่งรอบ ทว่ากลับไม่เคยเรียกถามกู้ซีจิ่วเลย ทั้งสองไม่เคยสนทนากันเลยสักประโยค
เพียงแต่เหล่าอาจารย์ล้วนชมชอบลูกศิษย์ที่เรียนเก่ง นี่คือความจริงที่ไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ไม่แปรเปลี่ยน ดังนั้นยามที่ตี้ฝูอีเรียกถาม ส่วนมากก็จะเรียกถามศิษย์เก่งๆ เช่นกัน
ถึงแม้พลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วจะค่อนข้างต่ำ แต่สติปัญญาเธอยอดเยี่ยม มีความเข้าใจสูง อาจารย์ที่เข้าสอนก่อนหน้านี้แทบจะไม่มีใครไม่ชอบเธอเลย ทุกคนก็ชอบเรียกให้เธอตอบเหมือนกัน ทุกครั้งที่เธอตอบไม่เพียงถูกต้องชัดเจนเท่านั้น ยังสรุปประเด็นแล้วอนุมานต่อยอดได้อีกด้วย บางครั้งเธอก็สามารถไขปัญหาที่แม้แต่อาจารย์ก็ยังคาดไม่ถึงออกมาได้
หลงซือเย่ทุกสองวันจะสอนหนึ่งคาบ เขาก็เป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งเหมือนกัน เนื้อทั้งหมดที่บรรยายก็ได้รับคำยกย่องจากเหล่าศิษย์ยิ่งนัก เขาไม่ค่อยเรียกให้ลูกศิษย์ตอบ แต่ทุกครั้งที่เรียกจะต้องเรียกกู้ซีจิ่วให้ตอบเสมอ กู้ซีจิ่วนิสัยชอบเอาชนะ ถ้าจะทำก็ต้องทำให้ดีที่สุด ดังนั้นยามที่เธอตระเตรียมบทเรียนเนื้อหาก็จะเอนเอียงไปทางวิชาหลอมกลั่นโอสถของหลงซือเย่ เลี่ยงไม่ให้ตอบไม่ได้แล้วต้องขายหน้าผู้อื่น
ส่วนวิชาเหินหาวของตี้ฝูอี สองสามคาบแรกกู้ซีจิ่วยังคงตระเตรียมบทเรียนมาอย่างดีอยู่ หลังจากเห็นว่าเขาไม่ถามตน เธอก็ไม่เตรียมบทเรียนมาอย่างดีอีกต่อไป แค่ทำสรุปเนื้อหาการเรียนเท่านั้น
แน่นอน ตอนที่เข้าเรียนเธอก็ยังคงตั้งใจฟังยิ่งนัก ความรู้ที่ควรเก็บเกี่ยวเธอก็เก็บเกี่ยวไว้อย่างมั่นคงยิ่ง
————————————————————————————-
บทที่ 842 ไม่เคยมีใครเกี้ยวเขาได้
ศิษย์ของชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งล้วนเป็นเด็กหัวกะทิ สุ่มเลือกมาสักคนก็ล้วนเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น ตามธรรมดาแล้วเหล่าอัจฉริยะล้วนใจกล้ายิ่ง กล้าคิดกล้าทำ ต่อให้เป็นเด็กผู้หญิงก็ซื่อตรงเปิดเผยมากเช่นกัน
ในบรรดาคนเหล่านี้ดูเหมือนเล่อจื่อซิ่งแฝดสาวผู้น้อยจะโดดเด่นที่สุด สาวน้อยนางนี้ปราดเปรื่องอย่างยิ่ง เมื่อก่อนเป็นรองเพียงอวิ๋นชิงหลัวเท่านั้น
สายตานางยกสูงเหนือศีรษะ[1] มีเด็กหนุ่มเลอเลิศเป็นสหายร่วมชั้นสหายร่วมสำนักอยู่มากมายก่ายกองนางล้วนไม่เหลือบแลทั้งสิ้น ชมชอบเพียงตี้ฝูอีเท่านั้น แต่เมื่อก่อนถูกกั้นขวางไว้ด้วยความรักหวานซึ้งของกู้ซีจิ่วและตี้ฝูอีรวมถึงเห็นแก่หน้าอวิ๋นชิงหลัวด้วย นางจึงเก็บรู้สึกนี้ไว้ในใจ ไม่แสดงออกมา
ต่อมาเมื่อทราบว่าตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วแค่ร่วมกันเล่นละครฉากหนึ่งเท่านั้น หัวใจนางก็หวั่นไหวขึ้นมา วันต่อมาหลังจากละครปิดฉากลงนางก็มาหากู้ซีจิ่ว ถามอย่างตรงไปตรงมา “ก่อนหน้านี้เจ้ากับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแค่เล่นละครกันจริงๆ หรือ?”
กู้ซีจิ่วยังไม่ทันอ้าปากตอบ หลานไว่หูที่อยู่ข้างๆ ก็ตอบแทนเธอแล้ว “ใช่แล้ว ซีจิ่วชมชอบเจ้าสำนักหลงด้วยใจจริง กับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแค่เล่นละครเท่านั้น วันนั้นก็พูดชัดแล้วนี่”
เล่อจื่อซิ่งโล่งใจ เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซีจิ่ว ข้าต้องการไล่ตามท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”
หลานไว่หูตาโต “เจ้าจะไล่ตามท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหรือ? ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเกี้ยวยากเป็นที่สุด ยังไม่เคยมีใครเกี้ยวเขาได้เลย…”
เล่อจื่อซิ่งเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ว่าจะไล่ตามได้หรือไม่ข้าก็จะลองดู ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร?”
ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่นั้นมาเล่อจื่อซิ่งก็เริ่มดำเนินการไล่ตามทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
ไม่เคยขาดเรียนคาบของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ตอบคำถามอย่างกระตือรือร้น และยามที่ตอบคำถามทุกครั้งก็สามารถอนุมานต่อยอดได้อีกด้วย
เป็นเช่นนี้อยู่สักพัก ตี้ฝูอีก็เรียกให้นางตอบบ่อยๆ นางกลายสตรีที่ถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถามมากที่สุดในชั้นเรียน
นางสร้างเหตุบังเอิญพบสารพัด ยกตัวอย่างเช่นเดินผ่านหน้าประตูเรือนตี้ฝูอี ตี้ฝูอีชอบเดินหมากอยู่ในป่าเฟิงแห่งหนึ่ง ฝีมือเดินหมากของนางก็ยอดเยี่ยมมาก จึงขอไปเสนอตัวประลองหมากกับตี้ฝูอี
ตี้ฝูอีคงจะเดินหมากคนเดียวจนเบื่อแล้วเช่นกัน ดังนั้นพอนางขอประลองหมากกับเขาเขาจึงไม่ปฏิเสธ
เล่อจื่อซิ่งคงจะเคยศึกษาพิธีชงชามา ทักษะการชงชายอดเยี่ยม ยามที่ประลองหมากนางก็ได้มอบชาถ้อยหนึ่งที่ตนชงแก่เขา ถึงแม้ตี้ฝูอีผู้นี้จะรักสะอาด ไม่เคยดื่มกินสิ่งของจากผู้อื่นเลย แต่นางก็ยังกระทำอย่างไม่รู้จักหน่าย
ฝีมือเดินหมากของตี้ฝูอีล้ำเลิศนัก อยู่ข้างนอกยามที่เล่อจื่อซิ่งเดินหมากกับผู้อื่นก็นับว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาถูกสังหารล้างกระดานเป็นประจำ ก็มีสีหน้าหดหู่อับอาย
แต่จิตใจของนางนั้นยิ่งแพ้ยิ่งกล้าหาญมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้พ่ายแพ้ก็ต้องการประลองหมากกับเขาต่อไป
บางครั้งกู้ซีจิ่วกับหลานไว่หูก็เดินผ่านที่นั่นบ้างเป็นครั้งคราว เห็นตี้ฝูอีกำลังประลองหมากกับเล่อจื่อซิ่ง เล่อจื่อซิ่งเพิ่งจะแพ้ไปตาหนึ่ง ดวงหน้าน้อยๆ แดงก่ำด้วยความร้อนใจ เหงื่อไหลลงมา หยาดเหงื่อหยดลงบนกระดานหมาก ตี้ฝูอีโยนผ้าเช็ดหน้าไหมสีขาวผืนหนึ่งให้นาง วาจาที่เอ่ยสั้นห้วนยิ่ง “เช็ดซะ!”
ดังนั้นเล่อจื่อซิ่งจึงรับผ้าเช็ดหน้าไหมสีขาวผืนนั้นมาซับเหงื่อด้วยดวงตาเปล่งประกาย…
น่าจะเป็นเพราะยามที่เดินผ่านหลานไว่หูลงเท้าหนักไปหน่อย สองคนนั้นจึงหันมามองพวกเธอที่อยู่ด้านนี้แวบหนึ่ง ตี้ฝูอีสีหน้าไร้อารมณ์ เล่อจื่อซิ่งก็แค่พยักหน้าให้พวกเธอเท่านั้น
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ฐานะสูงส่ง ดังนั้นต่อให้เดินผ่าน ในเมื่อพบหน้าเขาแล้วก็ควรจะทำความเคารพหรือเอ่ยทักทาย
หลานไว่หูจึงวิ่งเข้าไปคารวะ ส่วนกู้ซีจิ่วก็ประสานมือทำความเคารพตี้ฝูอี
ตี้ฝูอีเพียงพยักหน้าอย่างเฉยชา ไม่ได้มองกู้ซีจิ่วเป็นพิเศษ เอ่ยเพียงว่า “ไปเถิด”
ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วกับหลานไว่หูเลยจากไป
ด้านหลังมีเสียงสนทนาของตี้ฝูอีกับเล่อจื่อซิ่งแว่วมาเบาๆ สองคนนั้นก็ไม่ได้สนทนาอื่นใด เล่อจื่อซิ่งขอคำชี้แนะเกี่ยวกับปัญหาในหลักสูตรจากเขา ตี้ฝูอีก็ตอบอย่างฉาดฉาน
————————————————————————————-
[1] สายตายกสูงเหนือศีรษะ อุปมาถึง ใฝ่สูงหรือเย่อหยิ่งจองหอง