ส่วนที่ 12 ฝืนชะตาคนไร้ค่า ตอนที่ 6 ฝืนชะตาคนไร้ค่า (6)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

ในฐานะที่เป็นพยัคฆ์ขาวพระจันทร์เงินตัวหนึ่ง เสี่ยวไป๋มักคิดเสมอว่าตนเองสูงส่งยิ่งนัก…ตนถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อหมื่นปีก่อน พอเกิดก็เป็นอสูรเทพระดับสิบ คุณรู้ไหมว่าระดับสิบหมายความว่าอย่างไร 

 

 

ราชันสัตว์มารที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาลั่วรื่อนั้นก็เป็นเพียงสัตว์มารระดับเก้าที่เพิ่งจะสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ตัวหนึ่งเท่านั้น! ดังนั้น คุณรู้ความเก่งกาจของอสูรเทพระดับสิบแล้วใช่ไหม แม้เสี่ยวไป๋จะยังไม่สามารถใช้การอะไรได้ ในตอนนี้ทำได้เพียงเป็นสัตว์อสูรที่คอยเฝ้าบ้านตระกูลซูเท่านั้น อะไรที่เรียกว่าเกิดผิดเวลาน่ะเหรอ อันที่จริงเมื่อหมื่นปีก่อนตอนที่มันถือกำเนิด บังเอิญเป็นยุคสมัยสงครามเทพมารเข้าพอดี ในเวลานั้นแม้เผ่าเทพจะผนึกเผ่ามารไว้ในห้วงลึกอเวจีได้สำเร็จ แต่ว่า เผ่าเทพก็ได้รับการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง อสูรเทพในเวลานั้นล้วนโดนราชันมารปิดผนึกเอาไว้ เทพเจ้ามากกว่าครึ่งต่างดับสูญ สิ่งที่ตามมาหลังจากเผ่าเทพถดถอยลงก็คือ เผ่าอื่นๆ บนแผ่นดินใหญ่กลับเจริญมากขึ้น กระทั่งถึงปัจจุบัน ครึ่งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่คือใต้หล้าของเผ่ามนุษย์ 

 

 

ตอนนี้เป็นยุคบุกเบิกศักราชใหม่ของเผ่ามนุษย์ แผ่นดินใหญ่ที่ซึ่งนักอัญเชิญเป็นผู้ครอบครอง 

 

 

นักอัญเชิญ? 

 

 

ไม่ใช่แค่คนที่ใช้พลังวิญญาณของตนเองมาปลุกศาสตราวิเศษและสัตว์มารซึ่งหลับใหลอยู่ให้ตื่นขึ้นมาเท่านั้นหรอกหรือ เช่นนี้แล้ว เสี่ยวไป๋จึงไม่พอใจยิ่งนัก ต้องรู้ว่าวิชาบรรพกาลที่อสูรเทพตนนี้รู้มานั้นมากมายนัก หึหึหึ เดี๋ยวจะแสดงมันออกมาให้พวกเจ้าตกใจตายเสียเลย~ 

 

 

ไม่ผิด ต่อให้ตกต่ำลงมาอยู่ในจุดนี้ เสี่ยวไป๋ก็ยังคงเชื่อมั่นว่าตนช่างสูงส่ง จึงไม่ได้นอบน้อมให้แก่ใครนัก 

 

 

“เสี่ยวไป๋ กินข้าวได้แล้ว!” 

 

 

ในเวลานี้ ซูเพ่ยเพิ่งถือกล่องอาหารออกจากห้องครัวเดินเข้ามาในเรือน มองเห็นเสี่ยวไป๋ที่อยู่ประตูเรือนเดินมาด้วยลักษณะแมวเดิน นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วนั่งยองมองๆ ดู “เสี่ยวไป๋ มานี่มา วันนี้ข้าจะให้น่องขาหมูที่เจ้าชอบมากที่สุด อร่อยมากเลยนะ!”  

 

 

เสี่ยวไป๋นึกในใจ บอกไปแล้วว่าไม่นอบน้อมต่อใครอย่างไรเล่า! แต่หากเป็นเนื้อละก็ ขอคิดดูก่อนนะ! เป็นอสูรเทพทั้งทีก็ต้องยืดหยุ่นกันได้บ้าง~ (คำนี้ทำไมมันดูคุ้นหูนักนะ) 

 

 

เมื่อตอนซูหว่านและซูรุ่ยกลับมาจากข้างนอกก็เห็นซูเพ่ยกำลังอุ้มเสี่ยวไป๋ให้กินข้าวอยู่ตรงนั้น 

 

 

เห็นมันกินอย่างตะกละตะกลาม ซูหว่านก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เฮ้อ สมกับที่เป็นอสูรเทพผู้โดนปิดผนึกมาหมื่นปีแล้ว! ดูท่าทางนั่นสิ เห็นแล้วก็รู้เลยว่าไม่เคยได้กินข้าวมาหลายวันแล้วสินะ~ 

 

 

“นายน้อยใหญ่ คุณหนูสาม พวกท่านกลับมากันแล้ว!” 

 

 

เนื่องจากซูหว่านและซูรุ่ยต่างเข้าและออกไปพร้อมกัน กินและนอนพร้อมกัน ในช่วงหลายวันนี้คนในบ้านตระกูลซูต่างคุ้นชินกันหมดแล้ว 

 

 

และซูหยาเองก็ปล่อยไปเลยตามเลยอยู่ก่อนแล้ว และผลักภาระเรื่องถอนหมั้นไปให้เซียวเหยี่ยน ด้วยเหตุนี้ ใต้เท้าพระเอกก็ได้แต่รับเรื่องอย่างเงียบๆ แล้ว ทำให้ความสัมพันธ์ของบ้านตระกูลซูและบ้านตระกูลเซียวในช่วงนี้จึงเป็นดั่งน้ำกับไฟมากยิ่งขึ้น 

 

 

เนื่องจากความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของซูหว่านและซูจั้น สาวน้อยและหนุ่มน้อยในบ้านตระกูลซูต่างก็อกหักกันถ้วนหน้า~ 

 

 

เสี่ยวไป๋มองเห็นเงาร่างของซูหว่านและซูรุ่ย พลันรีบหลบไปอยู่ด้านหลังของซูเพ่ย สองคนนี้ทำให้มันสัมผัสได้ถึงความอันตราย 

 

 

ซูหว่านเพียงตาวาบประกายเมื่อแอบเห็นท่าทางของเสี่ยวไป๋ แล้วก็หันกาย ดึงชุดคลุมของซูรุ่ยซึ่งยืนอยู่ข้างกายพลางยิ้มให้ “อาจั้น วันนี้ท่านจะสอนคาถาใหม่ที่ท่านเพิ่งได้เรียนมาให้ข้ามิใช่หรือ เร็วสิ ข้ารอไม่ไหวแล้ว” 

 

 

“อืม ได้สิ” 

 

 

ซูรุ่ยแทบไม่เคยเห็นภรรยาของตนมีท่าออดอ้อนเช่นนี้ จึงรีบลากซูหว่านเข้าห้องไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม 

 

 

ซูเลี่ยงที่อยู่ด้านหลังทำได้เพียงหยุดอยู่ครึ่งทางและหันสบกับดวงตาเล็กๆ ของซูเพ่ยอย่างไม่ค่อยจะพึงพอใจนัก… 

 

 

มารดาเถิด เริ่มเปิดใช้งานรูปแบบหมาป่าเดียวดายแสนบ้าคลั่งกันอีกแล้วหรือ 

 

 

ขอร้องพวกท่านทั้งสองช่วยเก็บหน้าสักนิดได้ไหม นี่ ฟ้ายังไม่มืดเลยนะ! 

 

 

เด็กน้อยไม่เหมาะจะทำสงครามกันทุกคืนนะ หรือว่าจะทำไปทำมาจนทะลวงระดับกันได้เลยหรือ 

 

 

ซูเลี่ยงก็ได้แต่บ่นไปอย่างนั้นเอง แต่ผลลัพธ์คือหลังจากครึ่งชั่วยามให้หลัง เมฆวิญญาณกลับเคลื่อนที่มารวมตัวกันอีกครั้งเหนือเรือนของซูจั้น พลังวิญญาณนั้นหมุนวนไม่หยุดจนส่องสว่างท้องฟ้ายามราตรี ขโมยแสงของดวงจันทร์จากไป 

 

 

ทั้งบ้านตระกูลซูพลันวุ่นวายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

เกินไป เกินไปแล้ว! นายน้อยใหญ่จะเลื่อนระดับอีกแล้ว! 

 

 

ซูเลี่ยง “…” 

 

 

ในเวลานี้ไม่ได้มีแค่ซูเลี่ยงที่ตกใจ อสูรเทพบรรพกาลตนหนึ่งก็ตกใจจนนิ่งอึ้งเช่นกัน… 

 

 

ซูจั้นบรรลุระดับขั้นอีกแล้วหรือ นี่เป็นวิทยาศาสตร์เลยนะ! 

 

 

ไม่ ลักษณะของเมฆวิญญาณนี้ไม่เหมือนระดับสามเลื่อนมาระดับสอง น่าจะเป็นซูหว่านที่เลื่อนจากระดับหกไประดับห้ากระมัง 

 

 

อืม นี่สิถึงจะถูก ตัวของซูหว่านเองก็อยู่ยอดสุดของระดับหกแล้ว ในเวลานี้การเลื่อนมาอยู่ในระดับห้าก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามหลักเหตุและผล 

 

 

ในเวลานี้ ซูหยานำกลุ่มคนมาอยู่ข้างนอกเรือนของซูจั้นอีกครั้ง พวกเขารู้ก่อนแล้วว่าการบรรลุระดับขั้นครั้งนี้ไม่ใช่ซูจั้นแต่เป็นซูหว่าน 

 

 

อืม สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องเป็นคนในตระกูลซู เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดี 

 

 

เมฆวิญญาณที่อยู่บนท้องฟ้าเมื่อรวมตัวกันได้ระดับหนึ่งจากนั้นก็ค่อยๆ หายไป และก็เป็นในเวลานี้เอง สายลมพลันพัดมาจากทั่วทุกสารทิศ พลังวิญญาณอันไม่มีที่สิ้นสุดพลันพากันหลั่งไหลเข้ามาอยู่เหนือท้องฟ้าของบ้านตระกูลซูแล้วกลายเป็นพายุเมฆวิญญาณขนาดใหญ่อีกครั้งหนึ่ง นี่คือ… 

 

 

“สวรรค์!” 

 

 

ครั้งนี้ทั้งบ้านตระกูลซูต่างก็ฮือฮากันอีกครา พายุเมฆวิญญาณที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ คล้ายกับจะปกคลุมไปทั้งเมืองเหม่ยเท่อ นี่คือ…ลางบอกเหตุถึงการบรรลุระดับสามไปเป็นระดับสอง! 

 

 

ซูจั้นอยู่ในระดับสามมานานแค่ไหนกัน สิบวันหรือว่าแปดวัน 

 

 

การบรรลุระดับขั้นที่รวดเร็วเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะบรรลุระดับสองแล้ว เช่นนี้ยังอยากให้คนมีชีวิตกันอยู่หรือไม่ 

 

 

ในเวลานี้ ไม่เพียงแค่บ้านตระกูลซูเท่านั้น ทั้งเมืองเหม่ยเท่อต่างไม่หลับกันทั้งคืนเนื่องด้วยสาเหตุนี้ 

 

 

“อนาคต เป็นโลกของวัยหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าแล้ว” 

 

 

เวลานี้ในจวนเจ้าเมือง หลงเชียนจั้นยืนอยู่ภายในลานบ้านกำลังจ้องมองไปยังบ้านตระกูลซู ถอนหายใจออกมาอย่างเล็กน้อยพร้อมเอ่ยประโยคหนึ่ง 

 

 

บ้านตระกูลซูมีซูจั้นหนึ่งคน ช่างโชคดีทะลุฟ้าอะไรเช่นนี้ ตำแหน่งตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองเหม่ยเท่อแห่งนี้เกรงว่าก็คงจะต้องเปลี่ยนเสียแล้ว… 

 

 

ซูจั้น… 

 

 

บ้านตระกูลเซียวซึ่งอยู่ห่างจากบ้านตระกูลซูไม่ไกลมากนัก เซียวเหยี่ยนยืนอย่างสงบบนหลังคาบ้าน มองดูเมฆวิญญาณที่รวมตัวกันอย่างไม่หยุดย่อนเหนือท้องฟ้ายามค่ำคืน สายตาของเขาค่อยแปรเปลี่ยนเป็นสุขุมเยือกเย็นมากขึ้น 

 

 

ซูจั้น เจ้าเป็นคู่แข่งคนสำคัญคนหนึ่งที่ข้าอยากลงมืออย่างสุดกำลัง 

 

 

เซียวเหยี่ยนหลับตาแล้วมองดูแผ่นป้ายประกาศิตในมือของตนเอง แผ่นป้ายประกาศิตแผ่นนี้คือสิ่งที่พี่สาวของเขา เซียวหย่า ให้คนนำมาส่งมอบให้เขาจากเมืองหลวง นี่คือป้ายประกาศิตให้เข้าศึกษาที่ราชวิทยาลัยนักอัญเชิญ 

 

 

เดิมทีเซียวเหยี่ยนไม่ได้เตรียมตัวที่จะเข้าศึกษาเพราะเส้นสายของพี่สาว แต่ตอนนี้หากต้องการจะก้าวหน้าเหนือซูจั้นให้เร็วที่สุด เขาจำเป็นต้องออกจากเมืองเหม่ยเท่อเสีย 

 

 

ซูจั้น เจ้ากับข้าจะต้องดวลกันสักตั้ง 

 

 

ทั้งที่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อเป็นการให้เกียรติกันและกันระหว่างตระกูล… 

 

 

โชคชะตา ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ โดยไม่มีผู้ใดพบเห็น ทุกคนต่างก็ไม่มีข้อยกเว้น 

 

 

บ้านตระกูลซู 

 

 

การบรรลุระดับขั้นของซูหว่านและซูรุ่ยครั้งนี้นับว่าทำให้บ้านตระกูลซูเชิดหน้าชูตาอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้ทั้งสองคนไม่ได้โชคดีอัญเชิญกระบี่วิเศษสะท้านโลกาอย่างจื่อหมิงออกมา  

 

 

แน่นอน เป็นคนน่ะ ไม่สามารถโลภมากเกินไป 

 

 

เมื่อการบรรลุระดับขั้นจบลง ทั้งสองคนต่างไม่แสดงสีหน้าใดๆ ยังคงอยู่ในห้องม้วนตัวอยู่บนเตียงนอน ผู้คนในบ้านตระกูลซูทำได้เพียงต่างคนต่างกลับบ้านอาบน้ำแล้วนอน 

 

 

จนวันที่สอง ภายในเมืองเหม่ยเท่อก็มีข่าวใหม่เกิดขึ้นอีกครั้ง…. 

 

 

รู้เรื่องซูจั้นไหม 

 

 

รู้เรื่องระดับของซูจั้นไหม 

 

 

เจ้ารู้ไหมว่าทำไมซูจั้นถึงบรรลุระดับขั้นได้เร็วขนาดนั้น 

 

 

เรื่องราวจากคนวงในเล่ากันว่า เขาน่ะได้รับการสืบทอดจากนักอัญเชิญอาวุโสท่านหนึ่งตอนอยู่ที่เทือกเขาลั่วรื่อ การสืบทอดนี้เป็นของดีด้วยนะ ว่ากันว่าเพียงป้าบป้าบป้าบกับสตรีก็บรรลุระดับขั้นได้แล้ว 

 

 

อะไร เจ้าไม่เชื่อหรือ 

 

 

ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ญาติผู้น้องของลูกพี่ลูกน้องของท่านป้ารองของบุตรชายของท่านอาหญิงของภรรยาของท่านอาข้าเป็นคนรับใช้อยู่ในบ้านซู เล่ากันว่าซูจั้นทั้งวันไม่ทำอะไร เอาแต่ป้าบป้าบป้าบกับสตรีของตน~~ 

 

 

ต้องพูดว่าไม่มีเรื่องที่น่าประหลาดใจนักในโลกใบนี้ และเรื่องซุบซิบนินทาที่เกินจริงเช่นนี้ก็ยังคงมีคนที่เชื่อ และเมื่อมีคนเชื่อมากขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา! 

 

 

เสี่ยวไป๋นึกในใจ นี่กำลังดูถูกระดับสติปัญญาของข้าอยู่ใช่ไหม! แต่ว่าทั้งสองคนนี้น่าสงสัยจริงๆ ข้าจำเป็นต้องสังเกตให้ดีๆ เสียแล้ว หาความลับของทั้งสองให้เจอ 

 

 

ตามข่าวสารในเมืองเหม่ยเท่อที่นับวันเรื่องยิ่งเกินจริงขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันคนที่มาเยี่ยมเยียนตระกูลซูและมากราบขอเป็นศิษย์ของซูรุ่ยก็ยาวเหยียดจนเกือบจะวนรอบเมืองได้ถึงสามสิบรอบแล้ว เมื่อได้เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นเหล่านั้น อีกทั้งยังมีกลุ่มสาวน้อยที่เต็มไปด้วยใจฝักใฝ่เหล่านั้น ซูหว่านก็เสียนหัวเช่นกัน ยังดีที่เมื่อเห็นซูรุ่ยผู้มีใบหน้านิ่งขรึมเย็นชาตลอดเวลาเข้า คนธรรมดาล้วนไม่อาจต้านความเย็นเยือกที่เขาแผ่ออกมาได้ ทุกคนต่างออกจากบ้านตระกูลซูไปอย่างเงียบๆ 

 

 

วันนี้เอง ก็ต้องขับไล่คนกลุ่มใหญ่ที่มาขอกราบไหว้เป็นศิษย์ออกไปอีกครั้ง 

 

 

เมื่อซูรุ่ยกลับเข้ามาในห้อง ทั้งร่างก็แผ่กลิ่นอายเคร่งเครียดออกมา 

 

 

“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่มีวิธีแล้วนะ” 

 

 

ซูรุ่ยนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง 

 

 

“ถ้างั้นทำยังไงดีล่ะ” 

 

 

ซูหว่านที่อยู่ข้างกันก็มีสีหน้ากังวลใจมองดูเขา “ตอนนี้วิธีการฝึกตนของคุณมันอหังการเกินไป การเลื่อนระดับรวดเร็วเกินไปจะทำให้ราชวงศ์เอ้าหลินรวมถึงแคว้นอื่นๆ ที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่จับจ้องอย่างละโมบในไม่ช้า เวลานั้นอาจจะทำให้บ้านตระกูลซูพินาศได้ น่าเสียดายที่บนโลกใบนี้มีเพียงวิธีทำให้คนมีพลังวิญญาณเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีวิธีทำให้คนมีพลังวิญญาณลดลง” 

 

 

“วิญญาณลดลง?” 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ดวงตาของซูรุ่ยก็วาบประกาย “ถ้าผมทำสัญญากับสัตว์มารระดับสูงตัวหนึ่งได้ก็ดีน่ะสิ ว่ากันสัตว์มารระดับสูงสามารถแบ่งปันพลังวิญญาณร่วมกับเจ้านายได้ แบบนี้ผมก็มอบพลังวิญญาณที่มีมากมายในร่างให้มันได้ น่าเสียดาย…ในเมืองเหม่ยเท่อทั้งเมือง หาสัตว์มารชั้นสูงที่สามารถแบกรับพลังวิญญาณในร่างผมไม่ได้เลยสักตัวนี่สิ” 

 

 

“ใครบอกว่าภายในเมืองเหม่ยเท่อไม่มีสัตว์มารระดับสูงล่ะ” 

 

 

เวลานี้นอกห้องก็มีเสียงกระหยิ่มยิ้มย่องเสียงหนึ่งดังขึ้นในทันที เสี่ยวไป๋เดินท่าแมวเข้ามาอย่างสง่างาม “ตัวข้าเป็นสัตว์มาร ไม่ใช่สิ ตัวข้านี้เป็นถึงอสูรเทพระดับสิบ! ระดับสิบแล้วเจ้ารู้หรือไม่” 

 

 

ว่ากันว่านักกินนั้นล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดเรียบง่าย ดังนั้นอสูรเทพบางตัวกระโดดเข้ามาอย่างร้อนอกร้อนใจเช่นนี้ ท่านแม่เจ้ารู้ไหมเนี่ย