บทที่ 193 เจ้าขาว จับหมอนี่แก้ผ้าแล้วโยนออกไปซะ

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

เจ้ามู่เฉิงในผ้าคลุมบ่าขนาดใหญ่กำลังก้าวเดินไปบนพื้นหินของนครหลวง เขาเชิดหน้าสูง มุมปากยิ้มละไม

หลังออกจากนครหลวงไปหลายเดือน เขาก็รู้สึกเหมือนตนเองได้รำลึกความหลังเมื่อกลับมาเยือนสถานที่แห่งนี้ นั่นเพราะเจ้ามู่เฉิงอาศัยอยู่ในนครหลวงมานาน จนเขาแทบจะเชื่อไปแล้วว่าตนเองเป็นคนที่นี่โดยกำเนิด

ท้องถนนยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหมือนเช่นเคย แต่การรักษาความปลอดภัยกลับเข้มงวดขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก มีทหารในชุดเกราะเต็มยศเดินสำรวจตรวจตราทุกซอกทุกมุมเลยทีเดียว

บนถนนหนทางของนครหลวงมีผู้คนแต่งตัวประหลาดพร้อมด้วยพลังปราณแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น เจ้ามู่เฉิงรู้ว่าคนเหล่านี้มาเพื่อชิงต้นตื่นรู้ทางห้าสาย ทันทีที่ข่าวแพร่กระจายออกไป บรรดาคนที่แห่กันมายังนครหลวงไม่ได้มีเพียงขั้นนักพรตยุทธการเท่านั้น แต่ยังมีขั้นราชันยุทธการและขั้นจักรพรรดิยุทธการที่ต่างคนต่างควบคุมสติตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ แล้วต้องรีบพุ่งมาที่นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วทันทีที่ข่าวถึงหูอีกด้วย

เจ้ามู่เฉิงคิดอยู่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือยิ่งคนเยอะเท่าไรยิ่งดี ยิ่งมากคน นครหลวงก็จะยิ่งโกลาหลมากขึ้นเท่านั้น มิเช่นนั้นจะฉวยโอกาสช่วงชิงสิ่งที่ตนเองอยากได้จากความวุ่นวายได้อย่างเล่า

ทันใดนั้นเจ้ามู่เฉิงก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ สายตาจ้องไปยังเงาสามเงาซึ่งอยู่ไกลออกไป

เหล่าคนที่อยู่ใกล้เงาทั้งสามต่างมีสีหน้าตกใจและสนใจใคร่รู้เป็นอย่างมาก

“มนุษย์อสรพิษเช่นนั้นรึ…” เจ้ามู่เฉิงพึมพำ หน้าตาดูสนอกสนใจไม่น้อย มนุษย์อสรพิษนั้นมีถิ่นที่อยู่อยู่ในหนองน้ำปราณมายา การเดินทางจากหนองน้ำปราณมายามายังนครหลวงนับว่าไกลโข เหตุใดมนุษย์อสรพิษจึงมาแกว่งเท้าหาเสี้ยนถึงที่นี่กัน หรือว่าพวกนี้ก็มาตามต้นตื่นรู้ทางห้าสายเช่นกัน

มนุษย์อสรพิษสองในสามตนอยู่ในสภาพร่อแร่ พลังที่ปล่อยออกมาจากร่างดูอ่อนแรงเต็มที ทั่วทั้งร่างเกรอะกรังไปด้วยเลือด เกล็ดที่ช่วงล่างของร่างกายเปิดเปิงอยู่หลายจุด เป็นภาพที่ไม่ค่อยน่ามองเอาเสียเลย

มนุษย์อสรพิษหญิงนางหนึ่งพยุงร่างของทั้งสองเอาไว้ ใบหน้าของนางดูตื่นตกใจขณะยืนอย่างไร้ทางสู้อยู่กลางถนน

น่าสนใจดี… เจ้ามู่เฉิงยกมุมปากขึ้นยิ้ม จากนั้นก็เดินอาดๆ เข้าไปหามนุษย์อสรพิษทั้งสามตน

  …

เสียงประกาศกร้าวแสนป่าเถื่อนอวดดีและยังบ้าใบ้ไม่รู้ความเป็นที่สุดดังสะท้อนไปทั่วตรอกเล็ก ลอยมาเข้าหูปู้ฟาง ทุกคนในร้านดูงุนงงเป็นอันมาก

ใช้มือเดียวทำลายร้านนี้ให้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเช่นนั้นรึ… ไอ้หมอนี่เป็นใครกัน เหตุใดจึงมาทำตัวมีอำนาจบาตรใหญ่ไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นนี้

หลัวซานเหนียนจึ๊ปากด้วยความงุนงง นางเคยเห็นความน่ากลัวของร้านปู้ฟางมาแล้วด้วยตาตนเอง คนที่มายืนพูดบ้าพูดบอเหมือนตัวเองเก่งกล้ามากที่หน้าร้านนี้ เอาเข้าจริงแล้วหมอนั่นจะแน่สักแค่ไหนกันเชียว

ปู้ฟางได้ยินคำประกาศกร้าวนั้น แต่ก็ทำเพียงชะงักไปเล็กน้อยเท่านั้น เขาหยิบทาร์ตไข่ของเจวี้ยนเอ๋อร์ขึ้นมาเตรียมชิมต่อ

ด้านบนของทาร์ตไข่ดูเข้มข้นหอมมัน กลิ่นหวานลอยมาเตะจมูกชวนให้น้ำลายไหล รูปลักษณ์ที่ฟูฟ่องทำให้มันดูน่ารักเป็นอันมาก ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าตาแล้ว ทาร์ตไข่นี้จัดว่าถึงมาตรฐานที่ปู้ฟางตั้งไว้อย่างแน่นอน

“เถ้าแก่ปู้… มีคนมาก่อเรื่องที่ร้านนะ จะไม่ทำอะไรหน่อยหรือ” หลัวซานเหนียนมองปู้ฟางที่ตั้งท่าจะชิมทาร์ตไข่ต่อ แล้วก็อดไม่ได้จนต้องพูดออกมา

แม้นางจะคิดว่ากลุ่มคนข้างนอกนั้นพูดเรื่องไร้สาระดูโง่เง่าสมองน้อย แต่การที่ปู้ฟางทำเมินพวกเขาเช่นนี้ก็ดูหยาบคายไปหน่อยเช่นกัน…

เสียงฝีเท้าดังขึ้น จากนั้นเงาหลายเงาก็มาปิดทางเข้าร้านเอาไว้มิด

คนเหล่านั้นสวมชุดเครื่องแบบเหมือนกัน พลังปราณที่ปล่อยออกมาจากร่างก็ทรงพลังเป็นอันมาก ผู้นำของกลุ่มเป็นชายที่ถือมีดขนาดใหญ่ ใบหน้าเกรี้ยวกราดน่ายำเกรง

“เหวยๆ ไอ้ร้านรูหนูนี่… ใครเป็นเจ้าของกัน แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้!” ชายหน้าตาโหดเหี้ยมผู้นั้นตะโกนด้วยน้ำเสียงดุร้าย

แต่… ภายในร้านยังคงเงียบสงบเหมือนเดิม ไม่มีใครสนใจชายกักขฬะผู้นี้แม้แต่น้อย

ชายผู้นั้นรู้สึกราวกับถูกนกบินมาตีปีกใส่หน้าแล้วชิ่งหนีไป ช่างเป็นสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนอะไรเช่นนี้

ชายผู้นำกลุ่มขมวดคิ้วทันที ฟาดมีดขนาดใหญ่ลงกับพื้นจนเกิดประกายไฟเมื่อเหล็ดครูดไปบนพื้น

“ไอ้เวรเอ๊ย! หูหนวกหรืออย่างไร ข้าคือผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดแห่งสิบสามกองโจรเมืองโม่จั่ว หากยังพอมีสมองเหลืออยู่บ้างก็รีบไสหัวออกมาจากรูเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะทำลายร้านเวรนี่ให้เหลือแต่ซาก” ผู้นำกองโจรประกาศกร้าว

ลมอ่อนพัดผ่านไป บรรยากาศยังคงเงียบกริบไร้ซึ่งเสียงตอบรับ

อ้อ เว้นไว้ก็แต่สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนอยู่หน้าร้านซึ่งขยับตัวเล็กน้อย มันเลียอุ้งมือแล้วเหลือบตามองชายกักขฬะผู้นั้น จากนั้นก็กลับไปนอนท่าเดิม

“สามหาว! กล้าดีอย่างไรมาหักหน้าข้าผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดคนนี้!” ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดทำตาเขียว จากนั้นก็ยกมีดขึ้นแล้วเดินดุ่มๆ เข้าร้านมา

บรรดาคนที่คอยเลียแข้งเลียขาเขาอยู่ด้านหลังก็เดินตามเข้ามาด้วยท่าทางจองหองไม่ต่างกัน หากเดินตามผู้นำกองโจรลำดับเจ็ด นอกจากสุนัขไม่กัดแล้ว ยังจะมีชีวิตที่ดีในภายภาคหน้าอีกด้วย นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดสำหรับคนเหล่านี้

ปู้ฟางกัดทาร์ตไข่เข้าไปหนึ่งคำ รสสัมผัสนุ่มลิ้นกระโจนเข้าใส่ต่อมรับรสของเขาทันที กลิ่นหอมหวานของนมและไข่ระเบิดอยู่ในปาก ยิ่งเคี้ยวกลิ่นและรสชาติยิ่งเข้มข้นหอมหวานอร่อยล้ำ

“เจ้าของร้านหายหัวไปไหน ไอ้เวรนี่! กล้าดีอย่างไรมาเมินข้า!”

ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดถลึงตาแทบถลน เขาก้าวเข้ามาในร้านพร้อมตะโกนประกาศศึกพลางหายใจหนักหน่วง

ทุกคนในร้านหันไปมองชายผู้นั้นด้วยความตกใจพร้อมกะพริบตาปริบ บรรยากาศกระอักกระอ่วนเหลือเชื่อ

ปู้ฟางกัดทาร์ตไข่เข้าไปอีกคำพลางพยักหน้า ต้องยอมรับจริงๆ ว่าครั้งนี้ทาร์ตไข่ฝีมือเจวี้ยนเอ๋อร์ยอดเยี่ยมตามความคาดหวังที่เขาตั้งไว้ นางใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ในการศึกษาและทดลองทำทาร์ตไข่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจวี้ยนเอ๋อร์นั้นรักการทำทาร์ตไข่ด้วยใจจริง

หลังจากสูดหายใจเข้าเล็กน้อย ชายหนุ่มก็หันไปมองเจวี้ยนเอ๋อร์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “รสชาติใช้ได้ แม้จะยังมีข้อผิดพลาดอยู่มาก แต่ก็ตรงตามมาตรฐานที่ข้าตั้งไว้ เดี๋ยวข้าจะสอนเจ้าทำทาร์ตไข่ตั้งแต่ต้นจนจบ”

“เฮ้ย… ไอ้หน้าอ่อนที่พูดมากน้ำลายท่วมอยู่ตรงนั้นน่ะ! ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าข้ายืนอยู่นี่” ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดโบกมีดในมือไปมาจนเกิดเสียงลมหวีดหวิวตามแรงตัดอากาศ จากนั้นก็ชี้ปลายมีดมาที่ปู้ฟาง

ผู้นำสิบสามกองโจรจากเมืองโม่จั่วแต่ละคนนั้นมีพลังปราณที่แข็งแกร่ง โดยขั้นปราณสูงสุดอยู่ที่ระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ ในมณฑลโม่ พวกเขาล้วนมีชื่อเสียงเลื่องลือด้านความโหดร้ายทารุณในการปกครองอาณาเขต ครั้งนี้พี่น้องร่วมสาบานสามคนจากกลุ่มสิบสามกองโจร มุ่งหน้ามาที่นครหลวงเพื่อชิงต้นตื่นรู้ทางห้าสายโดยเฉพาะ

หากพวกเขาปล้นเอาต้นตื่นรู้ทางห้าสายกลับไปได้ กลุ่มสิบสามกองโจรก็จะเข้าใกล้การเป็นผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการขึ้นไปอีกขั้นใหญ่ๆ เลยทีเดียว หากทำสำเร็จจนมีขั้นนักพรตยุทธการถึงสิบสามคน พวกเขาก็จะเรืองอำนาจถึงขีดสุดในมณฑลโม่ และอาจทำลายได้แม้กระทั่งจักรวรรดิวายุแผ่วเลยทีเดียว

ปู้ฟางวางทาร์ตไข่ลงแล้วหันหน้าไปมองผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดที่กำลังกวัดแกว่งมีดในมือ

“หากจะสั่งอาหารก็ดูรายการข้างหลังเอาก็แล้วกัน” ปู้ฟางพูดหน้าตาย

ใบหน้าของผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดแข็งทื่อเมื่อได้ยิน จากนั้นก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เขามองปู้ฟางด้วยสายตาเหมือนกำลังมองคนโง่บ้าใบ้ไม่รู้ภาษา

“ไอ้เด็กเวรตะไลนี่กลัวจนเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ข้าดูเหมือนคนที่จะมาเป็นลูกค้าหรือ ฮ่าๆ! ข้ามาชิงต้นตื่นรู้ทางห้าสายหรอกโว้ย! อย่ามาทำเป็นสมองหมาปัญญาควายใส่ข้า ไอ้หน้าจืด” ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดคำราม ใบหน้าท่วมด้วยความอาฆาตมาดร้ายเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

เจวี้ยนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลังปู้ฟางตกใจกับความกักขฬะชั้นต่ำของอีกฝ่ายมาก จนใบหน้าถอดสีขาวซีดเป็นกระดาษ

หลัวซานเหนียนเบ้ปากแล้วหันไปปลอบใจเจวี้ยนเอ๋อร์ พร้อมสบถใส่ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดเงียบๆ “เจ้าสิสมองหมาปัญญาควาย…”

ปู้ฟางดูงงจนไม่รู้จะงงอย่างไรแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่เขาเห็นคนกล้ามายืนปากดีต่อหน้า แถมยังบังคับขู่เข็ญให้เขาส่งต้นตื่นรู้ทางห้าสายให้อีก… ดูเหมือนว่าพายุร้ายที่ตั้งเค้ามาเป็นเดือนจะเริ่มเดือดพล่านขึ้นแล้วจริงๆ

ทว่า… ปู้ฟางเหลือบสายตาไปมองผู้นำกองโจรลำดับเจ็ด แล้วประเมินได้ว่าหมอนี่มีปราณแค่ระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการเท่านั้น ไหนมีคนบอกว่าจะมีฝูงผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการมารุมทึ้งร้านของเขาอย่างไรเล่า

“หากไม่ได้จะมาสั่งอาหารก็ไสหัวออกไปเสีย”

ชายหนุ่มรู้สึกป่วยการที่จะใส่ใจ เขาหันหลังกลับแล้วเตรียมเดินกลับเข้าครัว ขณะโยนคำประกาศสุดท้ายใส่หน้าผู้นำกองโจรลำดับเจ็ด

หากไม่ได้จะมาสั่งอาหารก็ไสหัวออกไปเช่นนั้นรึ พับผ่าสิ ใครมันจะไปคิดว่าไอ้หน้าอ่อนนี่จะหยิ่งยโสโอหังถึงเพียงนี้ นานหลายปีดีดักแล้วที่ไม่มีใครกล้าพูดจาเช่นนี้กับผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ หลายวันก่อนตาแก่หลิวเผลอปากเสียหลู่เกียรติของสิบสามกองโจร เลยโดนพวกเขาซ้อมเสียจนแทบไปเฝ้ายมบาล ไอ้หนุ่มหน้าหล่อนี่… มันอยากตายเช่นนั้นรึ

ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดโกรธจนหน้าสั่น เขาเดินดุ่มๆ เข้ามาพร้อมยื่นมือหนาจะคว้าตัวปู้ฟางเอาไว้

หากไม่ได้อัดคนที่บังอาจมาทำตัวยโสขัดหูขัดตาเขาให้คางเหลืองเสียหน่อย ความแค้นคงแน่นอกผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดจนนอนไม่หลับเป็นแน่

“กล้าดีอย่างไรมาพูดจาสามหาวต่อหน้าผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดคนนี้ เตรียมตัวตายได้เลยไอ้หน้าอ่อน!”

หลัวซานเหนียนเห็นว่าผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดกำลังจะลงมือ นางจ้องไปที่เหตุการณ์ตรงหน้าเขม็ง เตรียมพร้อมที่จะโจมตีในทุกขณะจิต แต่ก่อนที่จะทันได้เรียกพลังปราณเที่ยงแท้ออกมาต่อกร ลมแรงก็พัดวูบผ่านหน้านางไป

ปัง!

หมัดของผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดถูกหุ่นยนต์เหล็กร่างยักษ์กันเอาไว้ได้

ปู้ฟางหยุดอยู่กับที่ จากนั้นก็ออกปากสั่งเจ้าขาวเสียงเรียบโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง “เจ้าขาว จับไอ้นี่แก้ผ้าแล้วโยนออกไปเสีย”

เจ้าขาวยื่นพุงโย้ออกมาข้างหน้า ดวงตาจักรกลของมันกะพริบแสงสีแดงวาบแล้วเอ่ยด้วยเสียงเครื่องจักร “ผู้ก่อความไม่สงบจะต้องถูกจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าประชาชี”

มุมปากของผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดกระตุก นี่มันบ้าอะไรกัน ไอ้ก้อนเหล็กนี่ตัวอะไร

“แก้ผ้าบ้านโคตรบิดาเจ้าสิ! ไสหัวมานี่เดี๋ยวนี้”

ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดคำราม ใบหน้าดูป่าเถื่อนสุดขีด เขากวัดแกว่งมีดในมือ เล็งไปที่ศีรษะเหล็กของเจ้าขาวอย่างไร้ความปรานี

แกร๊ง! เสียงเหล็กปะทะเหล็กสะท้อนก้องไปทั่วร้าน…

ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดตัวสั่นตามแรงกระแทก ใบหน้าของเขาซีดเผือด กะพริบตาปริบๆ ความป่าเถื่อนเหมือนมนุษย์หินหายวับไปกับตาทันที

มีดเล่มใหญ่ที่ฟันใส่ศีรษะของหุ่นยนต์เข้าอย่างจังกลายเป็นบิดเบี้ยวผิดรูปไปเสียได้ แถมเหล็กชิ้นใหญ่ยังหลุดกระจุยออกมาอีกด้วย…

ศีรษะกลมเกลี้ยงของเจ้าขาวยังดูน่ารักเสมอต้นเสมอปลายเหมือนเดิม ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนด้วยซ้ำไป

“ผู้ก่อความไม่สงบจะต้องถูกจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าประชาชี” เจ้าขาวพูดด้วยเสียงจักรกลพร้อมกะพริบตาสีแดงวาบ แสงนั้นเจิดจ้าเสียจนทำเอาผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดตาแทบบอด