ภาคที่ 2 บทที่ 204 รั้งเอาไว้

มู่หนานจือ

นี่เฉาเซวียนยังไม่แต่งงานกับไป๋ซู่ หลี่เชียนก็คิดว่าทั้งสองคนทะเลาะกันแล้วจะหลบอย่างไรแล้ว!

เจียงเซี่ยนนึกถึงสาส์นที่หลี่เชียนแนะนำให้ไป๋ซู่หย่ากับจิ้นอันโหวในชาติก่อน…แล้วนางก็ไม่พูดอะไรอยู่นานมาก

หลี่เชียนชินกับการที่ตนเองพูดสิบคำเจียงเซี่ยนตอบหนึ่งคำนานแล้ว จึงยิ้มและเอ่ยเองว่า “ข้าคิดว่าความคิดนี้ไม่เลว พอเรื่องแต่งงานของข้ากับเจ้าเผยแพร่ออกไป ก็ต้องได้ทุกสิ่งตามที่พูดอย่างแน่นอน เช่นนี้ก็มอบที่ดินแปลงหนึ่งให้เฉาเซวียนได้พอดี ทำให้คนอื่นได้รู้ว่าตระกูลหลี่ให้ความสำคัญกับตระกูลเฉา และยังได้บอกคนอื่นว่าข้าขอบคุณเฉาเซวียน เป็นเรื่องดีที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว…”

เขายิ่งพูดก็ยิ่งคิดว่าดี จึงให้คนไปเชิญอวิ๋นหลินมา ให้อวิ๋นหลินบอกหวังไหวอิ๋น และเอ่ยว่า “หลายวันนี้เขาว่างมาก และพูดจู้จี้ต่อหน้าพวกเราทั้งวันว่าต้อง ‘ใช้ความรู้สึกโน้มน้าวใจคน ใช้เหตุผลทำให้คนเข้าใจ’ กับตระกูลซุนไม่ใช่หรือ? เรื่องนี้ก็ให้เขาไปจัดการแล้วกัน?”

อวิ๋นหลินยิ้มพลางขานรับ และถอยออกไป

หลี่เชียนก็ไม่หลบเจียงเซี่ยนเช่นกัน และเล่าความสัมพันธ์ในนี้ให้นางฟัง “ท่านฝูอวี้เป็นกุนซือของท่านพ่อ คนที่ชื่อหวังไหวอิ๋นนี้เป็นลูกศิษย์ของท่านฝูอวี้ ท่านพ่อให้เขาติดตามข้า เดิมทีอยากให้เขาช่วยเหลือข้า แต่คนๆ นี้พูดมากเกินไป ข้ามีเรื่องอะไรเขาก็บอกท่านฝูอวี้ ท่านฝูอวี้นั่นก็ไม่รู้เป็นอย่างไรเช่นกัน เหมือนเกลียดข้าตลอด นี่ก็จะยุ่งนั่นก็จะยุ่ง ข้ารำคาญเขานิดหน่อย เลยไม่ค่อยชอบให้หวังไหวอิ๋นติดตามอยู่ข้างกายข้า”

“ประจวบเหมาะกับข้าบังเอิญเจอซิ่วไฉที่ชื่อเซี่ยหยวนซีตอนที่อยู่ฝูเจี้ยน เขาค่อนข้างมีความสามารถในการปกครอง แล้วก็ทำงานไว้ใจได้มาก ตอนนี้ข้ามีเรื่องอะไรจึงแอบมอบหมายให้เซี่ยหยวนซีไปจัดการ”

“กับคนนอกบอกแค่ว่าเป็นผู้ช่วยของข้า ช่วยข้าเขียนและดูแลงานต่างๆ”

“หลายวันก่อนข้ากลับซานซีไปรวบรวมพวกลูกน้องเก่าที่ท่านพ่อทิ้งเอาไว้ มีคนหนึ่งชื่อซุนซื่อติ่ง เดิมทีเป็นโจรท้องถิ่นที่ยึดครองยอดเขาและเรียกตนเองว่าอ๋อง ตอนหลังสวามิภักดิ์ต่อท่านพ่อ และสาบานเป็นพี่น้องกับท่านพ่อ ตอนที่ท่านพ่อไปฝูเจี้ยนไม่เพียงแต่มอบกำลังคนส่วนหนึ่งให้เขา ยังทิ้งเงินทุนสำหรับเลี้ยงดูคนแก่ไว้ให้เขาช่วยเก็บรักษาจำนวนหนึ่งด้วย แต่เขากลับติดต่อกับติงหลิวอดีตผู้ว่าราชการมณฑลซานซี และมอบตำแหน่งรองผู้บังคับกองพันที่สำนักข้าหลวงยุติธรรมมณฑลให้ซุนจี้เหยียนลูกชายของเขา แล้วก็คิดว่าตนเองเป็นตระกูลขุนนางและคหบดี ชะล้างวงศ์ตระกูลแล้ว ก็ผลักภาระเรื่องที่ท่านพ่อขอเงินและขอคนจากเขาให้คนอื่นอย่างขอไปที ทำเป็นฟังไม่รู้เรื่อง แถมยังเตือนท่านพ่อว่าต้องเห็นคุณค่าของความสุขตรงหน้า ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบ ตอบแทนบุญคุณที่ราชสำนักให้ความสำคัญกับความสามารถและใช้งานในตำแหน่งสำคัญ…ข้าคิดว่าเขาได้ใจจนลืมตัวไปหน่อย แต่หวังไหวอิ๋นกลับคิดว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่เก่งที่สุดในบรรดาลูกน้องเก่าของท่านพ่อ อย่างไรตระกูลของพวกเราก็กำลังอยู่ในช่วงเวลาแต่งตั้งและใช้งานผู้มีความสามารถ จึงไม่เหมาะที่จะล่วงเกินเขา”

“ข้าไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีของหวังไหวอิ๋น แต่เขากลับโน้มน้าวท่านพ่อได้แล้ว ข้าจึงตัดสินใจฉวยโอกาสนี้ส่งเขาไปเตรียมของขวัญให้เฉาเซวียนที่เมืองหลวง เขาจะได้ไม่ส่งเสียงรบกวนข้างหูข้าทุกวัน”

หลี่เชียนไม่ใช่คนที่ถูกรังแกแล้วจะฝืนอดทน ทว่าหวังไหวอิ๋นกลับทำให้เขายอมถอย ทั้งสองคนต้องเข้ากันไม่ได้อย่างแน่นอน

ส่วนติงหลิวนั้น เจียงเซี่ยนยังจำได้

เขาเป็นลูกศิษย์ของสยงจวิ้นหรงอาจารย์ของจ้าวอี้ และเป็นคนบ้านเดียวกับฝู่เฉิงพ่อตาในอนาคตของเจียงลวี่

ก่อนนางตาย ติงหลิวดำรงตำแหน่งรองเสนาดีกรมโยธา

เป็นหนึ่งในขุนนางที่จะเลือกให้เป็นราชเลขาธิการแห่งสำนักราชเลขาธิการ

เป็นคนที่จัดการความสัมพันธ์ทางสังคมได้ดีมาก และความสัมพันธ์กับคนอื่นในราชสำนักก็ดีมาก หลังจากจ้าวอี้ตาย เขาก็ปิดประตูอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน สยงจวิ้นหรงที่ไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายงานของราชสำนักเคยพาติงหลิวมาเยี่ยมเยียนเจียงลวี่ด้วยตนเองอย่างมีมารยาทและยิ่งใหญ่ เพื่อให้เขาได้เข้าสำนักราชเลขาธิการและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัครมหาเสนาบดี

“เขาเข้าทางติงหลิวนะ!” เจียงเซี่ยนเตือนและแนะนำหลี่เชียนว่า “โชคชะตาในการเป็นขุนนางของติงหลิวไม่เลวทีเดียว อย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังต้องอยู่ซานซีไปอีกสามปี หากเจ้าอยากจัดการตระกูลซุน ก็ทำความรู้จักเขาไว้หน่อยจะดีที่สุด”

นางไม่เป็นฮองเฮาแล้ว จ้าวอี้ก็จะไม่ตายก่อนวัยอันควร เรื่องราวมากมายจึงเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน แม้สยงจวิ้นหรงที่เป็นอาจารย์ของฮ่องเต้จะไม่เข้าสำนักราชเลขาธิการก็ได้รับการดูแลจากสำนักฮั่นหลิน และกลายเป็นคนในแวดวงปัญญาชนที่ไม่ได้เป็นขุนนางแต่มีชื่อเสียงและบารมี ชาติก่อนนางไม่ค่อยสนิทสนมกับสยงจวิ้นหรง ทว่าดูจากวิธีลงมือของสยงจวิ้นหรงแล้ว เขาไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจงานต่างๆ คนแบบนี้ หลี่เชียนในช่วงปัจจุบันล่วงเกินน้อยลงคนหนึ่งคือคนหนึ่ง

วงการขุนนางก็คือเวทีแห่งศักดิ์ศรี

พวกนางคิดแบบนี้ ติงหลิวกับสยงจวิ้นหรงก็อาจจะคิดแบบนี้เช่นกัน

พอเรื่องแต่งงานของนางกับหลี่เชียนเผยแพร่ออกไป ติงหลิวก็จะยิ่งไม่ล่วงเกินหลี่เชียนเพื่อตระกูลซุนเพียงตระกูลเดียวแล้ว

นี่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในข้อดีหลังจากหลี่เชียนแต่งงานกับนางกระมัง!

เจียงเซี่ยนกำลังครุ่นคิดอยู่ หลี่เชียนก็เข้าใจในสิ่งที่นางจะเอ่ยต่อแล้ว จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าลงมือเจ้ายังไม่วางใจหรือ? หากตระกูลซุนรนหาที่ตายแบบนี้อีก ถึงเวลานี้ข้าจะไปเยี่ยมเยียนใต้เท้าติง เจ้าบอกว่าอย่างน้อยที่สุดใต้เท้าติงก็ยังต้องอยู่ซานซีไปอีกสามปีไม่ใช่หรือ? ไม่แน่ข้าอาจจะฉวยโอกาสนี้กลายเป็นเพื่อนสนิทกับใต้เท้าติงก็ได้ จะได้มอบตำแหน่งรองผู้บังคับกองพันแห่งสำนักข้าหลวงยุติธรรมมณฑลให้พี่เขยของข้าทำด้วย?”

“พี่เขย?” เจียงเซี่ยนตกตะลึง

หลี่เชียนรีบยิ้มและเอ่ยว่า “เป็นลูกพี่ลูกน้อง ลูกพี่ลูกน้อง…ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของข้าไม่มีลูก ตอนหลังจึงรับเลี้ยงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เพราะเกิดหิมะตกเล็กน้อย จึงตั้งชื่อให้ว่าเสี่ยวเสว่ ต่อมาท่านป้าสะใภ้ใหญ่เสียชีวิต ท่านลุงแต่งงานใหม่ แล้วก็มีหลี่หลินพี่ชายใหญ่ของข้า พี่สาวข้านิสัยไม่เลว ถึงเวลานั้นจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จัก พวกเจ้าจะต้องเล่นด้วยกันได้อย่างแน่นอน”

เจียงเซี่ยนไม่มีอะไรจะพูด

นางไม่อยากเล่นกับใครทั้งนั้น แล้วก็ไม่อยากไปมาหาสู่กับใครเช่นกัน

“พี่หญิงใหญ่ของเจ้าแต่งงานแล้วไม่ใช่หรือ?” นางเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “เกรงว่าพวกเราจะเล่นด้วยกันไม่ได้กระมัง?”

หลี่เชียนหัวเราะ และเอ่ยว่า “นางนิสัยคล้ายกับคุณหนูไป๋ซู่ พวกเจ้าน่าจะเข้ากันได้ดี”

เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องพวกนี้ แต่หลี่เชียนก็หวังดีเช่นกัน หากนางปฏิเสธอย่างเด็ดขาด จะต้องทำให้หลี่เชียนไม่พอใจอย่างแน่นอน

เวลานี้ใช้ชีวิตก็ลำบากพอแล้ว ทำไมจะต้องทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่พอใจกันเพราะเรื่องเล็กน้อยพวกนี้อีก?

หลี่เชียนเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “เป่าหนิง เจ้ากลับไท่หยวนกับข้าเถอะ! ข้ากลัวว่าหากฝ่าบาทขังเจ้าไว้ในวังแล้ว ข้าจะทำอย่างไรล่ะ? อย่างไรท่านลุงก็ไม่อาจทรยศฝ่าบาทเพราะเรื่องนี้ได้กระมัง? เจ้าอยู่เมืองหลวง อันตรายเกินไปแล้ว”

เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม และเอ่ยว่า “เจ้ากลัวว่าข้าไปแล้วจะไม่กลับมา และตระกูลเจียงไม่ยอมรับเรื่องแต่งงานนี้ใช่หรือไม่?”

หลี่เชียนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ไม่ใช่ ข้ารู้ว่าคนพูดจาหนักแน่น ในเมื่อรับปากข้าแล้ว ก็จะยอมรับและทำตาม แต่ข้าคิดว่ามันไม่ค่อยเหมาะที่เจ้าจะกลับเมืองหลวงจริงๆ ราชโองการฉบับนั้นไทฮองไทเฮาเป็นคนให้เฉาเซวียนส่งมา หากเจ้าคิดว่าข้าขอมากเกินไป ก็ส่งนกพิราบสื่อสารไปหาเจิ้นกั๋วกงหรือฮูหยินฝางดีกว่า ขอให้พวกเขาเข้าวังไปถามความคิดเห็นของไทฮองไทเฮา หากไทฮองไทเฮาคิดว่าไม่เป็นไร ข้าจะส่งเจ้าเข้าเมืองหลวงด้วยตนเองอย่างแน่นอน” เขาเอ่ยจบก็จะสาบาน

“พอแล้ว พอแล้ว!” เจียงเซี่ยนยิ้มและเอ่ยแทรกหลี่เชียนว่า “หากเจ้าเชื่อจริง ทำไมยังต้องสาบานอีก?”

“นี่ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะไม่เชื่อไม่ใช่หรือ?” หลี่เชียนพึมพำ หูแดงไปหมดแล้ว

เจียงเซี่ยนอึ้งไปเล็กน้อย

นางจำได้ว่าสองสามครั้งแรกสุดที่หลี่เชียนเข้าวังมาคารวะนาง เขาพูดไปพูดไป หูของเขาก็แดง นางยังคิดว่าเพราะเตาไฟใต้ตำหนักร้อนเกินไป จึงให้นางในม้วนม่านประตูขึ้นครึ่งหนึ่ง…

ตอนหลังความสัมพันธ์ของพวกนางตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ขี้เกียจที่จะสนใจเรื่องพวกนี้เช่นกัน

เวลานี้นางเห็นเขาหูแดงอีกครั้ง ก็อดที่จะคิดอะไรหลายอย่างไม่ได้ จนกระทั่งหลี่เชียนให้นางมอบของยืนยันให้เขา นางถึงได้สติกลับมา

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่น่ะ?” หลี่เชียนถามนางอย่างอยากรู้

“ไม่ได้คิดอะไร” เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าเรื่องนี้ก็ยังบอกไม่ได้แน่ชัดไปชั่วขณะเช่นกัน และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอยากได้ของยืนยันจากข้าไปทำไม? ข้ามาอย่างเร่งรีบ ไม่ได้เอาอะไรมาทั้งนั้น เจ้าคิดว่าใช้อะไรเป็นของยืนยันดี?”