ตอนที่ 232 ครวญครางทั้งที่ไม่ป่วย

แม่สาวเข็มเงิน

ช่างชือจื่อนอนอยู่บนเตียง แต่ความคิดของนางกลับล่องลอยไปไกล เมื่อนึกถึงตอนที่พี่ชายกงได้ยินว่านางป่วย นางก็คิดว่าไม่แน่เขาอาจมาเยี่ยมนางด้วยก็ได้

นางนอนอยู่บนเตียงพลางคิดกับตัวเองอย่างดีใจและนอนรอให้กงจี้มาเยี่ยมไข้นาง แต่นางกลับเห็นหลิงเฟิ่งกลับมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล

เห็นท่าทางของหลิงเฟิ่งแล้ว ลางสังหรณ์ไม่ดีพลันเกิดขึ้นในใจของช่างชือจื่อ นางเอียงศีรษะมองไปทางด้านหลังหลิงเฟิ่งและพบว่าด้านหลังนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครมาเลยสักคน

ช่างชือจื่อเลิกผ้าห่มออกเพื่อลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ไปนิดหน่อยแล้ว “พี่ชายกงล่ะ ? แล้วหมอหญิงคนนั้นล่ะ ?!” นางถามอย่างเร่งเร้า

หลิงเฟิ่งรีบกดร่างช่างชือจื่อลงไปในผ้าห่มทันที ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา “คุณหนูเจ้าคะ อีกประเดี๋ยวหมอจะมาที่นี่ หากว่าคุณหนูทำแบบนี้ ความลับของเราอาจเปิดเผยได้นะเจ้าคะ”

ช่างชือจื่อรู้สึกสับสนเล็กน้อย นางพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “หมออย่างนั้นรึ ? หมออะไร ไม่ใช่ว่าข้าบอกไปแล้วหรือว่าไม่สะดวกให้หมอชายมาตรวจ แต่ให้หมอหญิงคนนั้นมาตรวจข้าแทน ?”

หลิงเฟิ่งกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งอย่างยากลำบาก สุดท้ายนางพูดอธิบายอย่างรวดเร็ว “คุณหนู เมื่อสักครู่ข้าน้อยไปที่ห้องคุณชาย แต่พอข้าน้อยบอกคุณชายว่าคุณหนูน่าจะเป็นไข้หวัดระหว่างทางที่มาที่นี่ คุณชายก็สั่งให้หมอคนหนึ่งมาตรวจอาการให้คุณหนูเลยเจ้าค่ะ แต่ข้าน้อยบอกแล้วว่าคุณหนูไม่สะดวกให้หมอชายมาตรวจ จึงอยากเชิญหมอหญิงคนนั้นให้ช่วยมาดูอาการให้คุณหนูหน่อย แต่… แต่ว่าคุณชายกลับจ้องข้าน้อยอย่างเย็นชา ข้าน้อยเห็นคุณชายมีท่าทีแบบนั้นก็ตกใจตัวสั่นและไม่กล้าพูดอะไรอีกเจ้าค่ะ”

“เจ้ามันไม่ได้เรื่อง!” ช่างชือจื่อถลึงตาใส่หลิงเฟิ่ง แต่นางเองก็รู้ว่าหลังจากที่นิสัยของพี่ชายกงเปลี่ยนไป ท่าทางเย็นชาแบบนั้นนางเคยเห็น อย่าว่าแต่หลิงเฟิ่งเลย นางเห็นก็เป็นต้องใจสั่นทุกทีไปเพราะน่ากลัวจริง ๆ

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ในเมื่อพี่ชายกงส่งหมอคนอื่นมาตรวจอาการนาง ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าในใจของพี่ชายกงยังเป็นห่วงนางอยู่

ช่างชือจื่อปลอบตัวเองเช่นนี้ แต่ในใจของนางกลับยังคงหดหู่อยู่เล็กน้อย

……

หมอชีเก็บมือที่ใช้วัดชีพจรกลับมา เขาขมวดคิ้วมองหญิงสาวที่นอนอยู่ในผ้าห่มผ้าไหมด้วยแววตาฉงน

เดี๋ยวนี้หญิงสาวพวกนี้มักจะชอบเล่นอะไรแปลก ๆ เขาตรวจอาการดูแล้วสภาพชีพจรก็แข็งแรงดี ไม่เห็นจะมีอาการบ่งชี้ว่าเป็นไข้หวัดตรงไหนเลย

นางอาจเหนื่อยจากการนั่งรถ สภาพชีพจรจึงขึ้น ๆ ลง ๆ เท่านั้นเอง

อาการแค่นี้ นายท่านของเขาถึงกับใช้ให้เขามาที่นี่ จะลมแรงหรือฝนตกก็ไม่เป็นไรหรอก แต่หลัก ๆ คือเสียเวลาเขาในการศึกษาเกี่ยวกับการรักษาโรคนี่สิ จริง ๆ เลย…!

หมอชีถอนหายใจ ถึงอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวของนายท่าน เขาพูดอะไรมากไม่ได้

แต่ที่น่าแปลกคือสาวใช้ข้างกายของหญิงสาวกลับแสดงท่าทีเป็นห่วงอย่างมาก “หมอ ร่างกายของคุณหนูข้าเป็นยังไงบ้างรึ ? คุณหนูของข้านางอ่อนแอตั้งแต่เด็ก วิ่งเต้นมาที่นี่จึงทำให้เป็นไข้หวัด หมอดูสิว่าต้องเขียนใบสั่งยาและให้ยาเพื่อรักษาหรือเปล่า ?”

หมอชีไม่ใช่หมอประเภทที่คุ้นเคยกับวิธีการของผู้หญิงและจ่ายยาให้ผู้ป่วยสุ่มสี่สุ่มห้า “สาวน้อย เกรงว่าเจ้าคงไม่รู้ว่ายาก็มีข้อเสียเช่นกันนะ ร่างกายคุณหนูของเจ้าแข็งแรงมาก ทำไมต้องทำร้ายร่างกายตัวเองแบบนี้ด้วย ?”

เมื่อหมอชีพูดมาแบบนี้ สีหน้าของช่างชือจื่อกับหลิงเฟิ่งก็ดำคร่ำครึไปครึ่งหนึ่งแล้ว

นี่มันต่างอะไรกับการตบหน้านางแล้วบอกว่านางแกล้งป่วย ?!

หลิงเฟิ่งพูดด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ “หมอจ๊ะ หมอช่วยวัดชีพจรอีกสักครั้งสิ ตอนนี้คุณหนูของข้ารู้สึกเวียนศีรษะและไร้เรี่ยวแรง นี่ไม่ใช่อาการของโรคไข้หวัดหรอกหรือ ?”

หมอชีเป็นหมอภายใต้ขอบเขตคำว่าลูกน้องของกงจี้ที่คอยตรวจโรคให้กับพวกองครักษ์ร่างกายแข็งแรงบึกบึน เขาคิดว่าร่างกายของคุณหนูคนนี้ดีกว่าคนธรรมดามาก ซึ่งเขาไม่เข้าใจการพูดเป็นนัยของสาวใช้เลย แค่รู้สึกว่าสาวใช้คนนี้นี่แหละที่น่าจะป่วยจริง ๆ เพราะเอาแต่หวังให้คุณหนูของนางป่วยเพื่อจะได้กินยาอะไรทำนองนั้น

“อย่าก่อเรื่องเลย” หมอชีพูดอย่างนุ่มนวล “คนเราไม่ควรกินยาสุ่มสี่สุ่มห้า คุณหนูเจ้าอาการปกติดี ป่วยเท่านั้นถึงค่อยกินยา ถ้ากินยาทั้งที่ไม่ป่วย เกรงว่าจะป่วยเข้าให้จริง ๆ”

ถึงแม้ถ้อยคำนี้จะไม่ได้รุนแรงอะไรมากนัก แต่ก็รุนแรงพอสำหรับคุณหนูที่ไม่ค่อยได้ยินคำพูดที่รุนแรง ช่างชือจื่อหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสาย “หมอคงคิดว่าข้าไม่ได้ป่วยจึงไม่เป็นอะไร แค่อดทนก็ได้แล้วอย่างนั้นสินะ หลิงเฟิ่ง เจ้าจ่ายค่ารักษาให้หมอแล้วส่งหมอด้วย”

หมอชีเห็นน้องสาวของนายท่านพูดมาเช่นนี้ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยจึงพูดขึ้นอย่างเสียมิได้ “เอาล่ะ ก็ได้ ๆ ข้าเห็นสีหน้าของคุณหนูไม่ค่อยดี คิดว่าน่าจะเหนื่อยจากการนั่งรถซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมดาแต่ไม่จำเป็นต้องกินยาอะไร เพียงแค่พักผ่อนให้มาก ๆ ก็หายแล้ว ไม่ต้องให้ค่ารักษาข้าหรอก คุณหนูเป็นน้องสาวของนายท่าน หมออย่างข้าไม่ถือว่าเป็นคนนอก” เขาปฏิเสธเงินค่ารักษาที่หลิงเฟิ่งยื่นให้ด้วยคำขอบคุณก่อนจะลุกขึ้น

หลิงเฟิ่งเห็นหมอชีถือกล่องยาออกไป นางก็โมโหจนถึงกับกระทืบเท้าอยู่กับที่ และอดไม่ได้ที่จะพูดกับช่างชือจื่อว่า “หมอคนนี้ช่าง… ช่างไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ!”

ใบหน้าที่น่ารักของช่างชือจื่อเต็มไปด้วยความอึมครึมเสียแล้ว นางไม่ได้พูดอะไรสักพัก ได้แต่เงียบอยู่อย่างนั้น

……

วันต่อมา ช่างชือจื่อก็ป่วยจริง ๆ และยังป่วยหนักอีกต่างหาก

หลิงเฟิ่งยืนอยู่หน้าเตียงของช่างชือจื่ออย่างกระวนกระวายใจ นางกลัวจนใกล้จะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ “คุณหนูเจ้าขา ถ้าหากว่าคุณผู้หญิงรู้ว่าข้าน้อยดูแลคุณหนูไม่ดีจนทำให้คุณหนูป่วย…”

ช่างชือจื่อมองหลิงเฟิ่งอย่างอ่อนแอก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “เจ้าโง่หรือไง ? ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่พูด ท่านแม่จะรู้ได้ยังไงล่ะ ?”

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หลิงเฟิ่งยังคงไม่สบายใจ

ช่างชือจื่อนอนอยู่บนเตียง ถึงแม้ว่าสีหน้าของนางจะเผือดซีดเพราะพิษไข้ แต่ตอนนี้นางกลับยิ้มออกมาได้ “ในเมื่อตอนนี้ข้าป่วยจริงแล้ว เจ้ารีบไปบอกพี่ชายกงว่าข้าป่วยหนักเร็วเข้าสิ เมื่อวานหมอคนนั้นบอกว่าข้าไม่ได้ป่วย เมื่อคืนข้าจึงตั้งใจเปิดหน้าต่างนอนเป็นพิเศษให้ลมหนาวโกรกหน้า วันนี้ข้าเลยป่วยจริง ๆ หึ ๆ ข้าจะรอดูเลยว่าเขาจะตบหน้าตัวเองยังไง ?! หมอคนนั้นน่ะ”

หลิงเฟิ่งไม่กล้าขัดคำสั่งช่างชือจื่อ นางแบกความรู้สึกไม่สบายใจไปหากงจี้ทั้งอย่างนั้น แต่บังเอิญว่ากงจี้ออกไปทำธุระของเขาแล้ว หลิงเฟิ่งรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นว่ากงจี้จะกลับมาสักที นางจึงกลับไปหาช่างชือจื่อด้วยความแค้นใจ

……

ในเวลาเดียวกัน กงจี้อยู่ในบ้านของเจียงป่าวชิง

วันนี้ฝนยังตกอยู่ มันเบากว่าเมื่อวานมากแต่เม็ดฝนกลับละเอียดเหมือนขนวัวอย่างไรอย่างนั้น กงจี้นั่งอยู่ในห้องของเจียงหยุนชาน เขากำลังรู้สึกร้อนใจมากจริง ๆ

เจียงป่าวชิงนอนหลับตลอดเวลา มันดูไม่ดีเอาเสียเลยถ้าหากว่าพวกผู้ชายสองคนบุกเข้าไปในห้องของหญิงสาวที่นอนอยู่เพียงลำพัง พวกเขาจึงต้องนั่งรออยู่นอกห้องอย่างอดทน

“ตั้งแต่กลับมาเมื่อวาน นางก็นอนจนถึงตอนนี้เลยรึ ?” กงจี้สุดจะข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองและถามเจียงหยุนชานไปจนได้

เจียงหยุนชานครุ่นคิดสักครู่ก็ส่ายหน้าไปมา “เมื่อคืนข้าเอาข้าวมาส่งให้ป่าวชิง ป่าวชิงยังเปิดประตูรับข้าวอยู่เลย”

ได้ฟังที่เจียงหยุนชานพูด กงจี้ถึงจะโล่งใจขึ้นมาบ้าง แต่เขายังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี

ทั้งสองคนนั่งเหี่ยวแห้งกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายกงจี้ก็ลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม เขาจะไปหาแม่บ้านที่ทำความสะอาดเพื่อให้นางเข้าไปดูที่ห้องของเจียงป่าวชิงสักหน่อย แต่สองวันนี้ฝนตก ภายในบ้านไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดอะไร แม่บ้านที่ทำความสะอาดคนนั้นคงจะกลับไปพักผ่อนแล้ว

เพียงแต่เขาเพิ่งให้คนไปส่งต่อข้อความ ก็เห็นองครักษ์คนหนึ่งพาหลิงเฟิ่งที่น้ำตานองหน้าเดินมาทางนี้เสียก่อน

กงจี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขายังไม่ทันได้ถามว่ามีอะไร ก็เห็นหลิงเฟิ่งร้องไห้หนักจนถึงกับคุกเข่าลงตรงหน้าเขา “คุณชายเจ้าขา ได้โปรดช่วยคุณหนูของข้าน้อยด้วยเถอะนะเจ้าคะ นางป่วยหนักมากเลยเจ้าค่ะ”

กงจี้ขมวดคิ้ว เขานึกถึงที่หมอชีมาให้คำตอบเมื่อวาน บอกว่าคุณหนูช่างคงจะเหนื่อยจากการนั่งรถ แค่พักผ่อนก็เพียงพอแล้ว แต่ทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นป่วยหนักได้ล่ะ ?

“เจ้าพูดมาดี ๆ” กงจี้พูดอย่างเย็นชา

เขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ หลิงเฟิ่งจะมาร้องไห้ทำไมตรงนี้ คนที่ไม่รู้อะไรอาจคิดว่าคนที่พักอยู่ที่นี่เป็นอะไรไปก็ได้