เล่ม 1 ตอนที่ 177 เข้าสู่พายุหมุน

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพายุหมุนด้านหลังสัตว์อสูรเหนือเทพแล้วจึงรีบโยนตัวเจ้าคำรามน้อยเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณ

พายุหมุนนั้นทำให้เธอรู้สึกถึงความอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากถูกดูดเข้าไปข้างใน ร่างกายต้องแหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจถูกพายุหมุนฉีกกระชากจนไม่เหลือซากก็เป็นได้

นอกจากนี้เธอยังพบว่าสัตว์อสูรเหนือเทพนี้มิได้กระหายเลือดเหมือนสัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไป ถึงแม้ว่าพายุหมุนกลางอากาศจะทำให้การเคลื่อนอากาศยากลำบากอยู่บ้าง แต่ก็ถูกระดับความสูงจำกัดเอาไว้ ผู้คนและสัตว์อสูรบนพื้นล้วนมิได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

“ดูท่าทางคงได้แต่วิ่งหนีเสียแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปทางพวกเว่ยจือฉีแวบหนึ่ง ซึ่งพวกเขาก็เข้าใจความหมายของเธอได้อย่างรวดเร็ว

ภายในเทือกเขาสั่วเฟยย่าแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยสัตว์อสูรวิเศษ ย่อมต้องฟังเขาอย่างแน่นอน จากนั้นเธอจึงเหินไปยังทิศทางตรงกันข้าม

“คิดหนีหรือ” สัตว์อสูรเหนือเทพคาดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะหนีไปทั้งอย่างนี้ แต่เขาก็มิได้เป็นกังวล หลังจากที่ถ่ายทอดคำสั่งให้กับสัตว์อสูรวิเศษบนพื้นดินแล้วจึงลุกขึ้นตามไป

เปรียบเทียบกับการสังหารเธอแล้ว เขาอยากทำให้รู้อย่างกระจ่างชัดมากกว่าว่าเปลวเพลิงที่ทำให้ตนพรั่นพรึงบนร่างเธอนั้นคือเปลวเพลิงอะไร

พวกเว่ยจือฉีทั้งสี่คนเห็นพวกเขาจากไปหมดแล้วจึงตามไปด้วยเช่นกัน

“ท่านน้าเล็ก ข้าก็จะไปดูด้วย” ไป๋อวิ๋นฉีตะโกนไปทางซุนลี่ลี่ ก่อนจะเหินไปกับพวกเว่ยจือฉีด้วยเช่นกัน

“เฮ้… เจ้า…” ซุนลี่ลี่ยังมิทันเอ่ยวาจา ไป๋อวิ๋นฉีก็บินไปจนไกลพร้อมกับพวกเขาเสียแล้ว

เมื่อนึกถึงว่าด้านล่างของกำแพงยังมีสัตว์อสูรวิเศษอยู่มากมายถึงเพียงนี้ พวกเขาก็มิอาจจากไปได้ ได้แต่มองดูพวกเขาหายลับตาไปเท่านั้น

“เด็กพวกนี้ช่างรวดเร็วยิ่งนัก!”

ปรมาจารย์วิญญาณที่ค้นพบว่าความเร็วที่พวกเขาหายลับตาไปนั้นรวดเร็วเหนือคนธรรมดาทั่วไป จึงเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ

“พวกเจ้าดูสิ สัตว์อสูรวิเศษกำลังล่าถอยน่ะ!”

หลังเสียงร้องอย่างสุดเสียง ปรมาจารย์วิญญาณบนกำแพงก็ไม่สนใจพวกซือหม่าโยวเย่ว์อีกต่อไป ทุกคนล้วนหันไปมองสัตว์อสูรวิเศษ

“จริงด้วย สัตว์อสูรวิเศษที่ตีนเขาถอยไปกันหมดแล้ว!”

“สัตว์อสูรวิเศษพวกนี้กลับไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ”

“ความเคลื่อนไหวใหญ่โตถึงเพียงนี้สิ้นสุดลงเช่นนี้น่ะหรือ”

ปรมาจารย์วิญญาณจำนวนไม่น้อยเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วก็ตะลึงลานกันอยู่บ้าง ทุกคนล้วนคิดว่าจะต้องเกิดการต่อสู้ขึ้นอย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันขยับมือ มันกลับสิ้นสุดลงเสียแล้ว

ก็เหมือนกับได้ยินคนตีฆ้องร้องป่าวว่ามีเรื่องน่าสนุกให้ชม แต่ปรากฏว่าพอไปแล้วกลับได้ยินเพียงแค่มีคนหนึ่งคนร้องเพลงเพลงเดียว หลังจากนั้นก็จบงาน

ซุนลี่ลี่และวังเหล่ยเห็นสัตว์อสูรวิเศษร่นถอยไปแล้วก็ลอบถอนหายใจยาว ถ้าหากลงมือต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ คราวนี้คงรักษาเมืองไตรวารีเอาไว้มิได้เสียแล้ว

ตอนที่สัตว์อสูรวิเศษมานั้นกินเวลาไปวันสองวัน แต่ตอนจากไปนั้นใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็ร่นถอยไปกันหมดแล้ว ความเร็วนี้ทำให้คนบนกำแพงเมืองตกใจไม่น้อย

วังเหล่ยเห็นว่าสัตว์อสูรวิเศษกลุ่มสุดท้ายกลับไปยังเทือกเขาสั่วเฟยย่ากันหมดแล้ว จึงประสานมือคารวะปรมาจารย์วิญญาณบนกำแพงเมืองพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณทุกท่านมากที่มาช่วยเหลือในคราวนี้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่มีการต่อสู้ แต่พวกท่านจะได้รับสิ่งตอบแทนตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ทั้งหมด”

เมื่อได้ยินวังเหล่ยพูดเช่นนี้ ทุกคนก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา เดิมทียังคิดว่าพอไม่มีการต่อสู้แล้วก็จะไม่ได้รับสิ่งตอบแทนเสียอีก

“พวกเจ้ารักษาประตูเมืองกันเอาไว้ให้ดี ให้แน่ใจก่อนว่าการปฏิวัติสัตว์อสูรสิ้นสุดลงแล้วหรือยัง นอกจากนี้ให้ปิดผนึกประตูเมืองเอาไว้สามวัน งดให้คนเข้าออกเป็นการชั่วคราว” วังเหล่ยออกคำสั่งกับทหารรักษาเมือง หลังจากนั้นจึงพูดกับเหล่าปรมาจารย์วิญญาณว่า “พวกเราลงไปกันเถิด”

“เชิญท่านเจ้าเมือง…”

“เหล่าสัตว์อสูรเพิ่งจะร่นถอยไป ขอเชิญทุกท่านอยู่ที่เมืองไตรวารีเป็นการชั่วคราวก่อนสักระยะหนึ่ง…”

“ไม่มีปัญหา”

“เช่นนั้นก็ขอบคุณทุกท่านมาก”

สัตว์อสูรวิเศษล่าถอยไปแล้ว หลังจากที่เมืองไตรวารีตื่นตระหนกอยู่สามสี่วันแล้วก็กลับสู่ความสงบสุขดังเช่นที่เคยเป็นมา นอกจากเรื่องที่ไม่สามารถออกจากเมืองไปยังเทือกเขาสั่วเฟยย่าได้แล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนเหมือนดังเช่นยามปกติ

ส่วนทางด้านซือหม่าโยวเย่ว์ เธอบินออกไปจากเมืองไตรวารี มุ่งไปข้างหน้าด้วยสัญชาตญาณ สัตว์อสูรเหนือเทพตามเธอมาด้านหลังอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

ส่วนด้านหลังเป็นพวกเว่ยจือฉีทั้งห้าคนที่ตามมาอย่างสุดกำลัง

“โยวเย่ว์ช่างรวดเร็วยิ่งนัก นี่ก็ไม่เห็นเงาเสียแล้ว” ไป๋อวิ๋นฉีนั่งอยู่บนหลังนกแร้งเทวะตนหนึ่ง เขาเห็นระยะห่างระหว่างพวกเขากับซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ออกจากเมืองไตรวารีไปไม่นาน เว่ยจือฉีก็เรียกนกแร้งเทวะตนหนึ่งออกมา ให้ทุกคนนั่งบนหลังนกแร้งเทวะติดตามพวกซือหม่าโยวเย่ว์ไป

“จือฉี คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีปักษาเทวะอย่างนกแร้งเทวะพรรค์นี้อยู่ด้วย” ไป๋อวิ๋นฉีชื่นชมแล้วขึ้นไปนั่งด้วยกันกับทุกคน

เมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์หายไป พวกเว่ยจือฉีก้มิได้ตื่นตระหนก ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ของสัตว์อสูรเหนือเทพจะใกล้เคียงกันกับปรมาจารย์วิญญาณระดับเทพ แต่ด้วยไพ่ลับของเธอ จะซ่อนตัวเข้าไปในเจดีย์วิญญาณในสถานที่ที่ไม่มีคนเห็นก็ย่อมได้

ซือหม่าโยวเย่ว์บินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าบินมาเนิ่นนานเท่าใด พายุหมุนด้านหลังก็ยังคงอยู่ตลอด สัตว์อสูรเหนือเทพนั่งอยู่ที่ด้านบนของพายุหมุน ปล่อยให้มันพาตัวเขาไล่ติดตามไปอย่างช้าๆ

บางทีการติดตามเหยื่อไปอย่างช้าๆ ก็สนุกกว่าการฆ่าในทันทีมากมายนัก!

“บ้าจริง ยังตามมาอีกอยู่ได้!” ซือหม่าโยวเย่ว์หันหน้าไปมองพายุหมุน หัวใจขมวดแน่น เมื่อเห็นว่าบริเวณโดยรอบร้างไร้ผู้คน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วพลังวิญญาณของตนก็ต้องหมดไปอยู่ดี

เธอหยุดลงแล้วหันไปดูสัตว์อสูรเหนือเทพค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ สองมือร่ายมนตร์อย่างรวดเร็ว ดาบเปลวอัคคีเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ

“พอกันที ข้าไม่หนีแล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์กุมดาบเปลวอัคคีเอาไว้แล้วผสานเปลวเพลิงของเพลิงชาดเข้าไปในนั้น หลังจากนั้นจึงยกดาบขึ้นฟาดฟันไปทางสัตว์อสูรเหนือเทพ

สัตว์อสูรเหนือเทพย่อมต้องสัมผัสถึงอุณหภูมิของเพลิงชาดได้อยู่แล้ว เขาดีดตัวขึ้นไปด้านบน พายุหมุนก็ลอยเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ ส่วนตัวเขายังคงอยู่ที่เดิม

“ควับ…”

ดาบเปลวอัคคีฟาดฟันพายุหมุนจนขาด แต่พายุหมุนนั้นก็ผสานตัวเข้าด้วยกันในทันที เธอหยิบดาบขึ้นมาต้านรับ แต่กลับถูกกลืนเข้าไปทั้งคนทั้งดาบ

เมื่อเข้าไปภายในพายุหมุน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกว่าทั้งร่างถูกฉีกทึ้งอย่างรุนแรง รยางค์ทั้งสี่คล้ายกับถูกกระชากออก

มิอาจหายใจได้ เจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย ทำให้เธอรู้สึกว่าใกล้ชิดกับความตายมากถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก

เธออยากเข้าไปในเจดีย์วิญญาณ แต่ทันใดนั้นก็พบว่าเจดีย์วิญญาณไร้ซึ่งการตอบรับ คล้ายกับว่าประตูทางเข้าถูกอุดเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

“บ้าเอ๊ย!”

เธอก่นด่าอยู่ในใจ เธอพยายามรวบรวมปราณวิญญาณออกมาห่อหุ้มร่างของตนเองเอาไว้ เพื่อต้านทานแรงฉีกทึ้งมหาศาลนี้

สัตว์อสูรเหนือเทพคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะต้านรับอยู่ในพายุหมุนได้เป็นเวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ นิ้วมือขวาทั้งห้านิ้วขยุ้มเข้าหากัน พายุหมุนก็ค่อยๆ หดตัวเข้าสู่ศูนย์กลางตามการเคลื่อนไหวของเขา

“โยวเย่ว์!”

ตอนที่พวกเว่ยจือฉีมาถึงก็เห็นเหตุการณ์เช่นนี้เสียแล้ว แต่ละคนพากันเหินขึ้นจากหลังนกแร้งเทวะแล้วโจมตีเข้าใส่สัตว์อสูรเหนือเทพ

สัตว์อสูรเหนือเทพโบกมือ ลมพายุหอบหนึ่งก็พัดพาทั้งห้าคนลอยกระเด็นลงสู่พื้นที่ว่างเบื้องล่าง

“อุตส่าห์ปล่อยพวกเจ้าไปแล้ว ยังจะมารนหาที่ตายกันอีก รอให้ข้าจัดการกับนางก่อนแล้วค่อยมาจัดการพวกเจ้าทีหลัง!” สัตว์อสูรเหนือเทพเหลือบตามองพวกเขาปราดหนึ่ง แรงกดดันตรึงพวกเขาเอาไว้บนพื้น มิอาจขยับเขยื้อนได้

พายุหมุนหดตัวเล็กลงเรื่อยๆ ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าถูกกดดันเอาไว้ตลอดร่าง

บรรพวิญญาณกับสัตว์อสูรเหนือเทพนั้นมีความแตกต่างของพลังยุทธ์เพียงน้อยนิด ถึงแม้ว่าเธอจะมีพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ก็ยากที่จะก้าวข้ามความแตกต่างอันมหาศาลนี้

“ถ้ายังบีบต่อไปอีกท้องก็คงระเบิด พอถึงตอนนั้นลำไส้ก็คงไหลออกมา โธ่เอ๊ย ข้าไม่อยากมาตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้หรอกนะ!”

ในขณะที่เธอกำลังร้องคร่ำครวญในใจอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างออกไปจากสมองของตน จากนั้นร่างกายก็เบาหวิว พายุหมุนที่ห่อหุ้มร่างตนอยู่ก็แหลกสลายไปในทันใด เธอตกกระแทกลงบนพื้นอย่างรุนแรง

“นี่มันอะไรกัน”

ทุกคนเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากภายในพายุหมุนแล้วก็ถอนหายใจ พวกเขาเห็นเงาร่างคนรางๆ สายหนึ่งอยู่ตรงหน้าเธอ แต่ละคนจึงพากันประหลาดใจไม่น้อย

“อาจารย์เฟิง?”