บทที่ 198 เดินหนึ่งก้าว ทุกสรรพสิ่งหวนคืนสู่ใบไม้ผลิ
เรือเหาะเทพสวรรค์เข้ามาในรอบนอกสนามรบบรรพกาล ดึงดูดให้ทุกคนเข้ามามุงดู
ใต้เงามืดที่เรือเหาะแล่นผ่าน ในสายตาของศิษย์แดนเทวาและแดนผาสุกมากมายมีความอิจฉา
ช่วยไม่ได้ ทรัพยากรด้านยุทธศาสตร์ค่อนข้างล้ำค่า มีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เอาสิ่งนี้ออกมาเป็นหน้าเป็นตาได้สบายๆ
ส่วนศิษย์แดนเทวาและแดนผาสุกพวกนั้น ส่วนใหญ่เข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายไปเมืองที่ใกล้ที่สุด จากนั้นขี่กระบี่บินมา กระจัดกระจายกันตลอดทาง บางครั้งก็เจอพายุคลั่งห่าฝน เจ็บแสบเกินบรรยายเหลือเกิน
ตอนนี้สายตาที่พวกเขามองศิษย์เทพสวรรค์เหมือนคนธรรมดาภพก่อนมองลูกคุณหนูขับรถสปอร์ต
ในความเหยียดหยามยังแฝงไว้ด้วยความเฝ้าใฝ่หาลับๆ
“ในที่สุดแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็มาสักที มาแบบเหยียบย่ำกันเลยจริงๆ”
“ศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์เจ๋งนักรึ ถึงให้พวกเราหลายสำนักต้องรอพวกเขาฝ่ายเดียว”
“เบาเสียงกันหน่อย แอบคุยกันน่ะได้ แต่ถ้าได้ยินน่ะไม่ดีแน่”
“วางใจเถอะ เราคุยกันทางจิต ไม่ได้ยินหรอก!”
“จะว่าไป ไม่รู้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คนนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากที่ใด ได้ยินว่าเหนือธรรมดายิ่ง!”
“เหอะๆ แค่ระดับสร้างฐาน เหนือธรรมดากว่านี้จะได้สักเท่าไร ก็แค่สร้างกระแสเท่านั้นล่ะ!”
……
เรือเหาะเทพสวรรค์ลดระดับลงช้าๆ คนที่อยู่ไม่ไกลเฮโลกันเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งองค์หญิงน้อยหลี่เหลียนเอ๋อร์แห่งแดนเทวาดาวประกายพรึกยังพาคนเร่งรีบเข้ามา
ข้างหลังนางยังมีเสี่ยวหลิงเซียนที่ลอยล่องดั่งเซียนแต่ใบหน้ากลับโมโหมากตามมาติดๆ ไม่ยอมลดละ
“หลี่เหลียนเอ๋อร์ รีบส่งศิษย์พี่เสิ่นเอ้ามานะ!”
หลี่เหลียนเอ๋อร์ทำเป็นหูทวนลมกับคำถามของเสี่ยวหลิงเซียนข้างหลัง
นางยิ้มแป้น ผมชี้เส้นเดียวบนศีรษะยังตั้งขึ้นจนเกิดเสียงดัง
แม้แต่หน่ออ่อนน้ำเต้าในกระถางดอกไม้เหนือศีรษะยังแกว่งเบาๆ เหมือนโดนผมชี้ดันเอียง ดูตื่นเต้นมาก
นอกจากนี้ บุคคลสำคัญของแดนเทวาแดนผาสุกอื่นๆ ก็ค่อยๆ มารวมกันที่นี่ เพราะทุกคนรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ยอดฝีมือของสองแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่มารวมกัน
ช่วงที่สงครามบรรพกาลกำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการนั้น!
บึ้ม!
เรือเหาะเทพสวรรค์ลงพื้นอย่างแรง เกิดฝุ่นควันตลบอบอวล
เด็กหนุ่ม ชายหนุ่ม วัยกลางคน และวัยชราในชุดศิษย์ฝ่ายในและศิษย์สายตรงในแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็เริ่มเดินลงมาช้าๆ
อะแห่มๆ ที่บอกว่าวัยกลางคน วัยชรา หลักๆ คือพวกเถ้าแก่ซ่งกับกุ้ยกงกง
พวกเขาสวมเครื่องแบบศิษย์เทพสวรรค์อยู่รวมกับกลุ่มเด็กหนุ่ม ดูคาดไม่ถึงนิดๆ
“หืม เหตุใดในศิษย์ระดับสร้างฐานของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ครั้งนี้ถึงมีคนอายุมากเช่นนี้ล่ะ”
“ไม่รู้ว่าหัวหอมแก่พวกนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ดึงมาจากที่ใด ตอนนี้พวกเขาขาดคนเช่นนี้เลยหรือ”
“ได้ยินว่าศิษย์แก่พวกนี้เป็นคนสนิทของบุตรศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ตอนอยู่อาณาจักรต้าเหยียน จึงพามาเป็นศิษย์ฝ่ายในของแดนศักดิ์สิทธิ์”
“ซี้ด หนึ่งคนบรรลุมรรค ไก่กับสุนัขก็ได้ขึ้นฟ้าด้วยรึ”
“เหอะๆ เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น ตอนนี้แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ยังเหิมเกริมใช้เส้นสายอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เลยรึ”
“เหนือธรรมดาอะไร ก็แค่เลี้ยงคนสนิทไว้แสวงหาผลประโยชน์ของตัวเองไม่ใช่รึ ตอนนี้ดูแล้วบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าก็แค่คนธรรมดาเท่านั้นเอง!”
…..
ศิษย์แดนเทวาแดนผาสุกมากมายต่างพูดคุยซุบซิบกันลับๆ
ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะระดับสร้างฐานที่มีพรสวรรค์ที่สุดในขุมอำนาจเซียนใหญ่ๆ ใครบ้างไม่มีความโอหัง
เมื่อคนโอหังพบกับคนที่ฐานะสูงกว่าตนก็จะแอบน้อยใจเงียบๆ เป็นเรื่องปกติมากจริงๆ
โดยเฉพาะ ‘เห็นๆ อยู่ว่าข้าเป็นอัจฉริยะเช่นนี้ ตอนแรกอยากเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แต่ไม่สำเร็จ แต่ตอนนี้แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กลับไม่สนใจธรรมเนียมรับหัวหอมแก่พวกนี้เป็นศิษย์ฝ่ายใน!’
ดังนั้น อัจฉริยะพวกนั้นสบายใจสิแปลก!
‘บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์’ ที่ว่านั่นยังไม่ออกโรง ตอนนี้ภาพจำในใจทุกคนแย่ไปไม่น้อยแล้ว
แน่นอน ศิษย์พวกนี้เพียงแค่ซุบซิบกันลับๆ
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสหรือบุตรศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จริงๆ พวกเขาประพฤติตัวดีกว่าใคร มีมารยาทกว่าใคร
ศิษย์ระดับสร้างฐานร้อยแปดคนค่อยๆ เดินลงจากเรือเหาะช้าๆ ภายใต้การนำของฉินอวิ๋นตี๋
ทว่า เสิ่นเทียนบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่ทุกคนรอคอยกลับยังไม่ออกมา
หลิวไท่อี่กับเถ้าแก่ซ่งมองตากัน เหมือนมีความคิดบางอย่าง ‘หรือว่าศิษย์พี่จะไม่ชอบที่ยังไม่หรูหรายิ่งใหญ่พอ’
เมื่อคิดได้ดังนั้นสองคนจึงพยักหน้าและหยิบธงออกมาคนละผืน โบกธงตรงหน้าศิษย์ทุกคน
ทันใดนั้น กระบี่ยาวข้างหลังศิษย์ร้อยกว่าคนออกจากฝักพร้อมกัน ทะลวงผ่านกลางอากาศไปไม่หยุด ขยับประกายกระบี่หนาวเหน็บ
กระบี่ล้ำค่าร้อยกว่าเล่มรวมกันกลางอากาศเป็นคำว่า ‘สวรรค์’ ไอกระบี่นับพันนับหมื่นตกลงมา ดูยิ่งใหญ่มาก
“จุดสูงสุดแห่งเซียน ทระนงในใต้หล้า หมั่นบำเพ็ญทุกวัน ติดตามศิษย์พี่จักต้องเป็นเซียน! กลุ่มศิษย์สวรรค์พิทักษ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ขอเชิญศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์!”
บึ้ม!
ยันต์ระเบิดอัสนีหยินหยางเก้าแผ่นระเบิดกลางฟ้าดิน ยิงพลุสีสันหลากสีออกมา ทั้งยิ่งใหญ่และสวยงาม
นั่นคือ ‘ยันต์ระเบิดอัสนีพิธีการ’ ที่ฉินอวิ๋นตี๋ตั้งใจสร้างขึ้นโดยเฉพาะจากคำแนะนำของหลิวไท่อี่และซ่งฟู้กุ้ย ใช้เสริมอำนาจเวลาศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ออกโรง
ดังคำกว่าวว่าพลุพิธีการดังหนึ่งครั้ง บุตรศักดิ์สิทธิ์ออกโรง สร้างอานุภาพขู่ขวัญก่อน ตะโกนโห่ร้องต้อนรับ!
ก็เพื่อความหรูหรา!
เดิมทีการทำเช่นนี้ไม่เป็นที่ยินดีในใจศิษย์เทพสวรรค์ส่วนใหญ่ ถึงอย่างไรจะตะโกนในสำนักตัวเองก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทำเช่นนี้ต่อหน้าขุมอำนาจเซียนอื่นๆ…
มันน่าอับอายมาก!
ทว่าตอนนี้ศิษย์เทพสวรรค์ทุกคนต่างปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่ลังเลเลย
เหตุผลง่ายมาก เพราะศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้ของพวกเขาเยอะมาก!
ช่วงที่เรือเหาะจะถึงสนามรบบรรพกาล ศิษย์พี่ฉินอวิ๋นตี๋รับคำสั่งศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้นำของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานขวดเล็กมาแจกจ่ายให้ศิษย์น้องทุกคน
ควรรู้ไว้ว่านั่นคือของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานในตำนาน เป็นสมบัติสุดยอดที่รักษาบาดแผลแห่งมหามรรคได้ แม้จะแค่หนึ่งเอ็มแอลก็ล้ำค่ามาก และที่สำคัญที่สุดคือเจ้ามีเงินก็ยังหาซื้อได้ยากมาก
ก่อนที่จะเข้าสนามรบบรรพกาล ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้ของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานขวดหนึ่งกับทุกคน ช่างมีคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้าจริงๆ
ศิษย์น้องทุกคนต่างดีกับศิษย์พี่ผู้นำเช่นนี้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จะให้เลียอย่างไรก็ได้!
…….
สุดท้าย ตอนนี้ก็เกิดภาพที่ทำให้แดนเทวาแดนผาสุกตาค้าง อัจฉริยะในสำนักต่างๆ ที่ในปากยังเปรี้ยวไม่ไหวอยู่ ตอนนี้…เปรี้ยวยิ่งกว่าเดิม
โดยเฉพาะโอรสสวรรค์อันดับหนึ่งในรายนามระดับสร้างฐานในสำนักพวกนั้น ตอนนี้มองพวกศิษย์น้องด้วยความคับแค้นใจ
ดูสำนึกพวกศิษย์น้องแดนศักดิ์สิทธิ์เขาสิ ถึงกับเสียสละตัวเองเพื่อช่วยศิษย์พี่เสแสร้งเองเลย แล้วมาดูพวกเจ้าแต่ละคน ไม่รู้จักให้ความร่วมมือกับศิษย์พี่
อิจฉามาก ริษยามาก เปรี้ยวมาก!
ภายในใจขมขื่นอย่างยิ่ง ในปากยังมีรสเปรี้ยวจัด
ศิษย์ที่ซุบซิบนินทามีมากขึ้น
“เหอะๆ กับอีแค่ศิษย์ระดับสร้างฐานคนเดียว ถึงกับจัดฉากโอ้อวดกว่าผู้สูงศักดิ์ดวงจิตดรุณอีก”
“หลายพันปีมานี้แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ตกต่ำลงเรื่อยๆ เพราะมีเหตุผลจริงๆ ศิษย์พวกนี้คิดอะไรกันอยู่!”
“แม้แต่บุตรศักดิ์สิทธิ์ยังชอบให้ประจบโอ้อวดเช่นนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ช่างน่าผิดหวังจริงๆ”
“บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์นี่ดูแล้วก็คงได้แค่นี้แหละ!”
…….
เวลานี้ คำว่าร้ายบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ลอยเต็มฟ้าไปหมด
จนกระทั่งประตูใหญ่ห้องข้างในของเรือเหาะเทพสวรรค์เปิดออกช้าๆ บุรุษชุดคลุมขาวเดินออกมาเนิบนาบ ทันใดนั้นเสียงพูดคุยกันลับๆ ก็เงียบลง
นี่มันบุรุษมหัศจรรย์แบบใดกัน
เขามีคิ้วกระบี่ดวงตาดารา แววตาหยั่งลึกเหมือนมีดาราลอยอยู่ เส้นผมยาวพาดบ่าปลิวไสวตามสายลม ประหนึ่งเซียนลงมาเยือนจากบนฟ้า สง่างามอย่างหาที่เปรียบมิได้
เขาสวมชุดคลุมมังกรขาวเมฆดำง่ายๆ รูปร่างเหยียดตรงดั่งทวน เอกลักษณ์อยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ
ไม่มีใครสงสัยใบหน้าของเขา ไม่มีใครปฏิเสธความหล่อเหลาของเขา!
แม้แต่โอรสสวรรค์ที่หนังหน้าหนาที่สุดยังอ้าปากพูดต่อหน้าเขาไม่ได้ว่า ‘ข้าหล่อกว่าเขา’
ต่อให้เป็นธิดาสวรรค์ที่สำรวมและโอหังสูงส่งที่สุด ตอนนี้ยังมองบุรุษชุดคลุมขาวคนนี้อย่างเคลิบเคลิ้ม เหม่อลอยอยู่นาน
บุรุษคนนี้เดินมาทางทุกคนทีละก้าว
มีกลิ่นหอมแปลกๆ ลอยมาจากตัวเขา ทำให้คนอดเกิดความรู้สึกเฝ้าใฝ่หามิได้
ไม่รู้ว่าเมื่อไรมีผีเสื้อสีสันบินมาจากบนฟ้าทีละตัว วนเวียนกระพือปีกรอบตัวบุรุษชุดขาวอยู่นานก็ยังไม่ยอมไป
ตอนที่เขาเดินลงจากเรือเหาะ หนึ่งก้าวก็เหยียบบนแผ่นดิน
ทันใดนั้นเอง พื้นดินที่เดิมทีมีเพียงหญ้าแห้ง ทุกสรรพสิ่งก็หวนคืนสู่ใบไม้ผลิ
หญ้าแห้งเหี่ยวกลับมามีสีเขียวชอุ่มอีกครั้งด้วยความเร็วระดับสายตามองทัน กระทั่งยังมีดอกไม้บานทีละดอก
เขาเดินไปพลาง ดอกไม้บานไปพลาง ผีเสื้อตามติดราวกับเซียนมาเหยียบธุลีดิน มอบชีวิตให้ทุกสรรพสิ่ง!
พริบตานั้นศิษย์ทั้งหมดรอบนอกสนามรบบรรพกาลต่างนิ่งอึ้งไป
บุรุษรูปงามคนนี้เป็นใครกันแน่
……
สุดท้ายก็เป็นพืชต้นหนึ่งที่โต้ตอบได้เร็วก่อนใครที่สุด
นั่นคือน้ำเต้าเซียนเจ็ดสมบัติ เดิมทีมันอยู่บนศีรษะของหลี่เหลียนเอ๋อร์อย่างสงบนิ่ง แต่เมื่อพบเสิ่นเทียน ทั้งส่วนรากของมันก็กระเพื่อมขึ้น
ตัวมันค่อยๆ โค้งงอก่อนจะตึงเปรี๊ยะ เหมือนนักกีฬากระโดดไกล พากระถางดอกไม้กระโดดไปหาเสิ่นเทียน
ทำเสิ่นเทียนตกใจจนแทบจะใช้กุมอัสนีระเบิดน้ำเต้าปีศาจนี่
เมื่อเห็นหน่ออ่อนน้ำเต้าแกว่งไกวอย่างมีความสุขในอ้อมกอดของเสิ่นเทียนแล้ว หลี่เหลียนเอ๋อร์ก็ยิ้มอ่อนโยนมาก
ใช่ ผีเท่านั้นที่รู้ว่าสาวโลลิผมชี้คนหนึ่งจะยิ้มอ่อนโยนเช่นนี้ได้อย่างไร
ถึงอย่างไรสีหน้าที่นางมองน้ำเต้าเซียนเจ็ดสมบัติตอนนี้ก็ดูปลื้มใจมาก
สมกับเป็นผลึกความรักของเหลียนเอ๋อร์กับพี่เสิ่นเทียน ใกล้ชิดกับพี่เสิ่นเทียนจริงๆ
ตอนแรกนางยังกังวลว่าน้ำเต้าเซียนเจ็ดสมบัติอยู่กับนางมาตั้งแต่เมล็ด แทบจะไม่เคยพบเสิ่นเทียนเลย แล้วจะไม่ต้อนรับเสิ่นเทียน
แต่ไม่นึกเลยว่าเจอกันครั้งนี้ มันจะชอบเสิ่นเทียนขนาดนี้ ถึงกับกระโดดเข้าไปในอ้อมกอดเสิ่นเทียน
หลี่เหลียนเอ๋อร์ปลื้มใจมาก นางวิ่งไปหาเสิ่นเทียนพลางตะโกนด้วยความดีใจ “พี่เสิ่น ในที่สุดพี่ก็มา เหลียนเอ๋อร์คิดถึงท่านมากเลย!”
และคำพูดของนางก็ทำให้กลุ่มคนที่เดิมทีเงียบกริบเริ่มส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง
“เสิ่นเทียนรึ หรือว่าเขาคือบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คนใหม่ ซี้ด เหนือธรรมเกินไปแล้ว!”
“หน้าตาเช่นนี้ เอกลักษณ์เช่นนี้ นี่ใช่สิ่งที่โลกมนุษย์ควรจะมีได้จริงๆ หรือ คงไม่ใช่เซียนบนฟ้ากลับชาติมาเกิดหรอกนะ”
“มีกลิ่นหอมประหลาดแห่งชีวิตไร้ที่สิ้นสุดวนเวียนทั้งตัว ล่อให้ผีเสื้อวิญญาณตามติด หนึ่งก้าวแผ่นดินหวนคืนสู่ใบไม้ผลิ ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!”
“ตอนแรกข้าก็ยังคิดว่าศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะประจบสอพลอเกินไป ตอนนี้มาดูแล้ว เป็นข้าที่เป็นกบในกะลา!”
“ศิษย์เทพสวรรค์เลื่อมใสบุตรศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เพราะมีเหตุผลจริงๆ ฟางฉางกับจางอวิ๋นถิงแพ้อย่างสมควรแล้ว!”
“พอเจอเสิ่นเทียนแล้ว บุรุษคนอื่นในโลกถอดสีเลย ภายภาคหน้าข้าจะไม่ตบแต่งกับใครนอกจากบุตรศักดิ์สิทธิ์เสิ่นเทียน”
“ยอมเป็นอนุให้เสิ่นเทียน ไม่ยอมเป็นภรรยาคนอื่น ถ้าอาจารย์บังคับข้า ข้าจะตัดเส้นเลือดลมตัวเองเดี๋ยวนี้!”
“เฮ้อ ข้าหวังเฉวียนกุ้ยคิดว่าตัวเองมีใบหน้าเป็นอันดับหนึ่งในดินแดนบูรพาแล้ว แต่วันนี้ได้พบบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ถึงได้รู้ว่าเหนือคนยังมีคนเหนือฟ้ายังมีฟ้า จากนี้ไปข้าหวังเฉวียนกุ้ยละอายใจในตนเอง ขอยอมเป็นบุรุษรูปงามอันดับสองของดินแดนบูรพา!”
“ข้าที่สาม!”
“ข้าที่สี่!”
“ข้าที่หนึ่งหมื่นแปดสิบหก!”
“บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คนใหม่ สมคำร่ำลือ รักเลยๆ!”
……
เวลานี้สถานการณ์ว่าร้ายแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทุกคนมองเสิ่นเทียน แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ
ทว่าตัวเสิ่นเทียนเองกลับกอดน้ำเต้าเซียนเจ็ดสมบัติไว้ด้วยใบหน้างุนงง
จะว่าไป ข้าแค่อาบของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานเท่านั้น เหตุใดถึงมีกลิ่นหอมของเหลวศักดิ์สิทธิ์ทั้งตัวล่ะ
ผีเสื้อวิญญาณพวกนี้วนเวียนรอบตัวข้าไม่เท่าไร แต่พวกเจ้าเป็นบ้าอะไรกัน คิดจะแทงข้ารึ
เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะใช้อัสนีเทพกำเนิดฟ้าทำให้เข็มน้อยๆ ของพวกเจ้าพิการกันให้หมด
แล้วก็พืชดอกไม้ใต้เท้าข้านี่มันอะไรกัน
ข้าไม่ได้ตั้งใจเหยียบดอกไม้สักหน่อย
ปัญหาคือข้าเหยียบไปที่ใด พืชโตที่นั่น และยังเป็นสีเขียวมันขลับ
หรือว่าข้าหน้าตาดีเลยมาพร้อมกับฟังก์ชันเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือ
คงไม่ใช่ว่าข้ายังดูดซับพลังของของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานไม่หมด ตอนนี้เลยไหลซึมออกมาเองหรอกนะ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและยังอดรู้สึกปวดไปทั้งใจมิได้
ทว่าสีหน้าปวดใจของเขาในสายตาคนอื่นกลับอ่านเป็นความหมายอื่น
บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ขมวดคิ้ว เหตุใดเขาถึงขมวดคิ้วกัน
ได้ยินมาว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มีความสามารถส่องความลับสวรรค์ เห็นอนาคตได้มุมหนึ่ง
หรือว่าเขาจะเห็นว่าการฝึกฝนครั้งนี้มีศิษย์น้องหลายคนเจออันตราย ตอนนี้เลยกำลังโศกเศร้าหรือ
ซี้ด สมกับเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ไม่ใช่แค่หน้าตาหล่อเหลา แต่ยังมีจิตใจดีเช่นนี้ รักเลยๆ!
ตอนนี้ทุกคนต่างเป็นผู้คลั่งไคล้หน้าตากันหมด!
……….
“พี่เสิ่นเทียน เหลียนเอ๋อร์ดูแลหูเอ๋อร์อย่างดีเลยนะ!”
หลี่เหลียนเอ๋อร์แสยะปากยิ้ม “ท่านดูสิ ตอนนี้หูเอ๋อร์งอกเถาเล็กๆ ออกมาแล้ว!”
เสิ่นเทียนพยักหน้าเล็กน้อย สารภาพตามตรง เขารู้สึกดีกับสาวโลลิผมชี้หลี่เหลียนเอ๋อร์มาก ขอแค่บิดานางไม่อยู่ก็พอ
“โตขึ้นมากจริงๆ สีเขียวมันน่ารักมาก”
เสิ่นเทียนลูบใบเล็กบนเถาน้ำเต้า พลันเหมือนนึกอะไรได้
เขาหยิบขวดเล็กสีแดงออกมาจากแหวนเวหา ปิดจุกขวดออกแล้วเทของเหลวสีขาวออกมาหยดหนึ่ง
เมื่อปรากฏของเหลวสีขาว เถาน้ำเต้าก็บิดตัวชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
เห็นได้ชัดว่ามันอยากได้มาก!
เสิ่นเทียนหลุดหัวเราะ ไม่นึกเลยว่าคนที่ได้ลองของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานที่ตนอาบเป็นคนแรกจะเป็นปีศาจน้อยนี่
เขาทาของเหลวสีขาวหยดนี้บนเถาน้ำเต้า
ไม่นาน เถาน้ำเต้าก็ดูดซับของเหลวสีขาวหยดนี้ไป แสงสีเขียวเข้มกว่าเดิมไม่น้อย
“น่าสนใจ!”
เสิ่นเทียนยิ้มพลางวางกระถางดอกไม้บนศีรษะหลี่เหลียนเอ๋อร์อีกครั้ง ใช้ผมชี้ทำให้มันนิ่งไว้
จากนั้นก็นำของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานฉบับเจือจางราวสิบเอ็มแอลออกมาจากขวดสีแดงอีก ก่อนเทบนหน่ออ่อนน้ำเต้า หน่ออ่อนน้ำเต้านั้นดูดซับของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานไปทั้งหมดอย่างรวดเร็ว แสงสีเขียวแกร่งขึ้นด้วยความเร็วระดับสายตามองทัน
ส่วนความเร็วในการบิดเถาน้ำเต้าก็มากขึ้นในความเร็วระดับสายตา เร็วขึ้นเรื่อยๆ!
มันตวัดกาย เขย่าปลายเถาเล็กๆ ดูตื่นเต้นและอัดแน่นไปด้วยพลัง
ราวกับโดนอะไรบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้
ปัง~!
จนท้ายที่สุด มันถึงขนาดใช้เถาดึงรากตัวเองขึ้นมาจากดิน บิดกายไปมา เสิ่นเทียนเห็นยังอึ้ง
น้ำเต้าน้อยนี่โดนเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานมากไปเลยเมาอาละวาดหรือ
ทำไมกัน หรือคิดจะเต้นระบำทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้นมา?
………………….