บทที่ 198 ตัดสินใจ (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 198 ตัดสินใจ (4)

จ้าวเจียวเจียวพันผ้าพันแผลที่ชุบยามาแล้วรอบตัว ขาข้างหนึ่งดามไม้พาดอยู่เหนือเตียง

พอเห็นลู่เซิ่งมาเอง จ้าวเจียวเจียวพลันกะพริบตาปริบๆ นางลุกไม่ขึ้น แม้แต่เส้นเสียงก็เสียหาย ส่งเสียงไม่ออก ได้แต่กะพริบตาตอบ

“อวัยวะภายในยังดี เอ็นกระดูกบนร่างเสียหายสาหัสขนาดนี้เชียวหรือ” ลู่เซิ่งเข้าไปตรวจสอบเล็กน้อย อาการบาดเจ็บนี้ทำให้เขาตกใจอยู่บ้าง

เส้นเอ็นอย่างน้อยมีมากกว่าครึ่งถูกทึ้งขาด กระดูกถูกทุบแหลก กล้ามเนื้อฉีก ที่น่าประหลาดก็คือเส้นเลือดและอวัยวะภายในยังปลอดภัยไร้ร่องรอย

ลู่เซิ่งมองจ้าวเจียวเจียวบนเตียง

ฟุ่บ!

ทันใดนั้นเขายื่นมือไปทาบบนหน้าผากจ้าวเจียวเจียวดุจสายฟ้าแลบ

ปราณหยินหยางขวดสมบัติจำนวนมากไหลเข้าไปในร่างนางอย่างรวดเร็ว

จ้าวเจียวเจียวหลับตา ร่างเริ่มสั่นกระตุกอย่างแรง ดูดซับปราณภายในธาตุหยินที่ลู่เซิ่งถ่ายทอดให้อย่างละโมบ ปราณภายในทั้งหมดถูกใช้เพื่อฟื้นฟูร่างกาย

ลู่เซิ่งถ่ายปราณหยินหยางขวดสมบัติครึ่งหนึ่งให้อย่างรวดเดียว อาการบาดเจ็บทั่วร่างของจ้าวเจียวเจียวมีสัญญานฟื้นฟูสมานตัว ปราณภายในส่วนใหญ่ไหลเชี่ยว กระตุ้นพลังชีวิตในร่างนาง

ความบริสุทธิ์ของคุณสมบัติ และความแข็งแกร่งของประสิทธิภาพในปราณขวดสมบัติ แทบไม่มีสิ่งใดสู้ได้ วิชากำลังภายในนี้หลอมรวมอยู่นาน กลายเป็นวิชาชั่วร้ายที่เหนือจินตนาการของคนทั่วไปโดยสิ้นเชิง

ผ่านไปชั่วหนึ่งถ้วยชา ลู่เซิ่งชักมือกลับช้าๆ

“เล่ามาว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดเจ้าบาดเจ็บขนาดนี้”

อาการกระตุกบนร่างจ้าวเจียวเจียวหยุดลงช้าๆ นางมองลู่เซิ่งด้วยความเหน็ดเหนื่อยและซาบซึ้ง เริ่มเล่า

“วันนั้นข้าน้อยเดินทางไป…เดินทางไปตรวจสอบ” นางไอหลายครั้ง คล้ายคอหายดีแล้ว จึงยังไม่ชินนัก “เจอสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งเข้า หลังเข่นฆ่ากัน ค่อยหนีรอดออกมาได้อย่างยากลำบาก ดีที่สัตว์ประหลาดตัวนั้นได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นครั้งนี้คงไม่อาจพบประมุขพรรคได้ตลอดกาล”

“สัตว์ประหลาดหรือ”

“ใช่” จ้าวเจียวเจียวทบทวน “สัตว์ประหลาดตัวนั้นสูงใหญ่เท่ามนุษย์ มีปีกสองข้าง เหมือนกับกระทิงสีดำ เลือดของมันเหมือนน้ำแข็ง เย็นยิ่ง!”

ลู่เซิ่งนิ่วหน้า ไม่เคยได้ยินถึงสัตว์ประหลาดแบบนี้มาก่อน ต่อให้เป็นตำนานเทพนิยายก็ไม่เคยอ่านเจอ

“ข้าน้อยต่อสู้กับมัน สุดท้ายกัดใส่ตัวมันอย่างแรง ดื่มเลือดมันไปไม่น้อย ภายหลังอาการบาดเจ็บหนักเกินไป ถูกแช่แข็งจนสลบไสล รอฟื้นขึ้นมาก็ได้รับความช่วยเหลือแล้ว” จ้าวเจียวเจียวบอกเล่าอย่างรวบรัด ลู่เซิ่งไม่เห็นร่องรอยโกหกในดวงตานาง

“เจ้าจำสถานที่ ที่เจ้าเจอสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้หรือไม่” เขาพลันถาม

จ้าวเจียวเจียวงุนงง จากนั้นลืมตาโต นึกไม่ออกเลยว่าตนเจอสัตว์ประหลาดตัวนั้นที่ไหน

“ร่างกายเจ้า…” ลู่เซิ่งวางมือบนศีรษะจ้าวเจียวเจียวอย่างแผ่วเบา “เย็นมาก ไม่ใช่อุณหภูมิร่างทั่วไป แต่ต่ำกว่าคนธรรมดามากๆ”

“จริงหรือ” จ้าวเจียวเจียวสับสน ไม่รู้สึกโดยสิ้นเชิง

“พักผ่อนไปก่อนเถอะ” ลู่เซิ่งไม่พูดอะไรอีก

“ทราบแล้ว ขอบคุณประมุขพรรคลงมือช่วยเหลือ” จ้าวเจียวเจียวมองตามพวกลู่เซิ่งจนจากไป แล้วนอนพักผ่อนบนเตียงผู้ป่วยต่อ

พอออกจากห้อง ลู่เซิ่งก็นำพวกอวี้เหลียนจื่อออกจากท้องเรือ

“ตรวจสอบจ้าวเจียวเจียวอย่างละเอียด ถ้านางมีความผิดปกติไม่เหมือนคนธรรมดา ให้แจ้งข้าทันที”

“ขอรับ!” อวี้เหลียนจื่อรีบตอบรับอย่างนอบน้อม

“นอกจากนี้ให้จัดคนไปค้นหายาล้ำค่า เรื่องนี้จะหยุดไม่ได้ อีกสองสามวันให้สะสางสถานการณ์ในปัจจุบันของพันธมิตรบู๊ แล้วส่งให้ข้า” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ

“เรื่องยาล้ำค่ามีผู้อาวุโสระดับเอกะฟ้าซึ่งเพิ่งเข้าร่วมหลายคนลงมือแล้ว ส่วนพันธมิตรบู๊…” อวี้เหลียนจื่อไม่เข้าใจว่าลู่เซิ่งคิดทำอะไร

“ตอนนี้ระดับเอกะฟ้าที่ยังรั้งอยู่ในพันธมิตรบู๊มีเท่าไหร่” ลู่เซิ่งถามลอยๆ

“เอ่อ…เหลือไม่ถึงครึ่ง บางคนก็ออกไปแล้ว…จนถึงตอนนี้มีระดับเอกะฟ้าห้าคนเข้าร่วมพรรคเรา” อวี้เหลียนจื่อรีบตอบ

แต่ลู่เซิ่งทราบว่าไม่ได้มีแค่นี้

ระดับเอกะฟ้าที่ออกจากพันธมิตรบู๊ส่วนใหญ่ทยอยเข้าสำนักอาทิตย์ชาดสิบห้าคน ที่เหลืออยู่ในพันธมิตรบู๊มีไม่กี่คนจริงๆ

“ที่เหลือไม่เข้าร่วมก็ไม่เป็นไร เจ้าจัดการเรื่องความปลอดภัยในงานแต่งงานให้ข้า อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดในแต่ละเมือง คนต่างถิ่นที่สะดุดตาซึ่งเข้ามาในแดนเหนือทุกคน จงหาประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ทันที” ลู่เซิ่งกำชับ

“ขอรับ ท่านวางใจ!” อวี้เหลียนจื่อพยักหน้า

“ข้าจะปิดด่านก่อน จัดการข้อมูลเรียบร้อยแล้วให้วางไว้ในลิ้นชักของห้องหนังสือ ข้าจะอ่านเอง” ลู่เซิ่งสั่ง

“ข้าน้อยทราบแล้ว!” อวี้เหลียนจื่อกล่าวอย่างเคารพ

ลู่เซิ่งค่อยพยักหน้าอย่างพอใจ เขาปิดด่านไม่ใช่เพราะต้องการเรียนรู้ขอบเขตใหม่ แต่เพื่อหลอมรวมวรยุทธ์ของพวกระดับเอกะฟ้าที่เพิ่งได้มา

ระดับเอกะฟ้าที่เพิ่งเข้าสำนักอาทิตย์ชาด ตามกฎสำนักที่ลู่เซิ่งบัญญัติ ต้องแลกเปลี่ยนวรยุทธ์ระดับสุดยอดที่ตนถนัดที่สุดหนึ่งชนิด เพื่อแลกเปลี่ยนกับวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่ลู่เซิ่งปรับปรุง

วรยุทธ์เหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นระดับผนึกจิตทั้งหมด เป็นหนึ่งในความสามารถก้นกุฎิของระดับเอกะฟ้าเหล่านี้ เติมเต็มคลังยุทธ์ของสำนักอาทิตย์ชาดอย่างมาก

ลู่เซิ่งคิดจะเลือกสิ่งที่ตนเองใช้ได้ส่วนหนึ่งจากในวรยุทธ์ระดับผนึกจิตสิบกว่าชนิด จึงเตรียมปิดด่านเรียนรู้อีกครั้ง

ปัจจุบันปราณหยินของเขาไม่มากพอจะยกระดับวิถีหยางโชติช่วงกับปราณภายในแล้ว ถือโอกาสใช้เรียนรู้การหลอมรวมวรยุทธ์ใหม่ๆ บรรลุเป้าหมายเพิ่มพลังได้เหมือนกัน

อีกมุมหนึ่ง นอกจากวิชาแดงฉานระดับผนึกจิตประจำสำนักของสำนักอาทิตย์ชาดแล้ว เขาก็ไม่เคยฝึกฝนวรยุทธ์ระดับผนึกจิตชนิดอื่นมาก่อน ต่อให้เป็นฝ่ามือหทัยพันพฤกษาเผาไหม้ที่แลกเปลี่ยนกับพันธมิตรบู๊ ก็เป็นแค่ระดับสำนึกปลอดโปร่ง

ตอนนั้นหลังจากได้ฝ่ามือหทัยพันพฤกษาเผาไหม้ ลู่เซิ่งก็พบว่าไม่ได้ทำให้ระบบวรยุทธ์ของตนก้าวหน้ามากนัก และรู้ว่ามรรคายุทธ์ธรรมดาไม่อาจหลอมรวมเรียนรู้นระดับของตนในปัจจุบันได้อีกแล้ว

‘หลังแต่งงาน ค่อยพาครอบครัวไปพร้อมกัน ขอแค่เรามีพลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มีชีวิตรอดต่อไป อย่างนั้นต่อให้ตระกูลลู่อยู่ในแดนเหนือก็ไม่มีทางเกิดเรื่องใหญ่ ไม่มีคนรับไฟโทสะของเรากับซั่งหยางจิ่วหลี่ได้’ ลู่เซิ่งรู้แก่ใจดี

หลังอวี้เหลียนจื่อบอกลา ลู่เซิ่งก็ให้โอวหยางชีรายงานความก้าวหน้าของการประลองใหญ่ แล้วประกาศปิดด่านอีกครั้ง

เขาจำเป็นต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนออกจากแดนเหนือ

การใช้ปราณหยินหยาดสุดท้ายเรียนรู้หลอมรวมวรยุทธ์ใหม่ และพยายามยกระดับของตัวเองอย่างเต็มที่ เป็นเป้าหมายสุดท้ายของเขา

ในป่ากว้างขวางที่มืดครึ้มลึกล้ำ

ควันสีขาวหลายสายลอยกระเพื่อมอยู่กลางป่า

บรู๋ว

เสียงหมาป่าที่ดุร้ายพลันดังทอดยาว หมาป่าสีขาวฝูงใหญ่พุ่งกระโจนในป่ามืดครึ้ม

หมาป่าเหล่านี้ใหญ่กว่าหมาป่าทั่วไปเท่าหนึ่ง สองตาเปล่งประกายสีแดงอ่อนๆ ในความมืด

พวกมันวิ่งไปพลางเห่าหอนไปพลาง เสียงสูงต่ำสลับกันขณะเคลื่อนที่ในควันขาว

ตึง

คล้ายกับมีเสาหนักอึ้งหล่นลงมาอย่างหนักหนวง และคล้ายกับเสียงเท้ายักษ์เหยียบใส่อะไรสักอย่าง

ตึง

ตึง!

ตึง!

เสียงเหยียบย่ำหนักอึ้งดังติดต่อกัน แทรกในเสียงหมาป่าหอนบาดหู บรรยากาศอึดอัด

พึ่บ

ดวงตาขนาดมหึมาสีแดงฉาน สูงหลายหมี่คู่หนึ่งค่อยๆ เปิดออกกลางป่า

ดวงตาเรียวยาวและเย็นยะเยือก สาดแสงสีแดงอ่อนๆ ถึงขั้นขับไล่ความมืดรอบๆ ออกไปส่วนหนึ่ง

“เฉาหลงตายไปแล้ว…แดนเหนือ…มีขุมกำลังอะไรอยู่กันแน่…” ดวงตาสีแดงส่งเสียงดังจนหูแทบดับ

“ทางเชื่อมของสำนักไตรอริยะ…ไม่ได้นำกลับมา…” เสียงอันอึกก้องไม่มีความรู้สึกอะไรนัก คล้ายกับเสียดายกับการที่ไม่ได้นำทางเชื่อมกลับมา มากกว่าความตายของรองประมุขสมาคมสองคน

“ถึงรองประมุขสมาคมสองคนจะตายไป แต่ว่าสำหรับท่านที่แข็งแกร่ง สมาคมหทัยร่อนเร่ยังคงกล้าแข็ง ไม่มีผลกระทบใดไม่ใช่หรือ” อยู่ๆ เสียงบุรุษอันสงบนิ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางฝูงหมาป่า

ฟู่ว…

ลมอันแปลกประหลาดพัดควันขาวกระจายออกไป แสงจันทร์สาดส่องผ่านป่าไม้ ส่องวัตถุขนาดใหญ่โตด้านหลังดวงตามหึมาสองดวงนั้น

นั่นเป็นหมาป่าขาวขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง

ตัวของมันสูงเท่าหอหลายชั้น ร่างกายมหึมาเหมือนกับตึกสีขาว ตระหง่านง้ำกลางป่าผืนใหญ่

บนขนสีขาวโพลนของหมาป่ายักษ์ไม่ได้เปล่งปลั่งนัก ดวงตาเรียวยาวสีแดงสองข้างจดจ้องคนตรงหน้าด้วยความเย็นชาและโหดเหี้ยม

คนที่กล่าววาจาเมื่อครู่ก็คือเขา

“อ้อ?” หมาป่ายักษ์ก้มหน้าน้อยๆ ฟันเหมือนกับเลื่อยเข้าใกล้คนผู้นั้น คล้ายกับพร้อมเขมือบอีกฝ่ายตลอดเวลา

หมอกขาวหลายสายแผ่พุ่งไปรอบๆ นั่นความจริงไม่ใช่หมอกขาว แต่เป็นไอน้ำที่มันพ่นออกมา

“เจ้าเอาความกล้ามาจากไหน ถึงยืนต่อหน้าราชันเช่นข้าอย่างไร้ความเกรงกลัว…” หมาป่าเอ่ยเสียงทุ้มต่ำอย่างเชื่องช้า

“สมาคมหทัยร่อนเร่สืบทอดมาหลายปี ทำตามข้อตกลงเก่าแก่ ข้าน้อยเชื่อว่าใต้เท้าราชันหมาป่าขาวจะไม่วู่วามขนาดนี้” คนผู้นั้นกล่าวอย่างแช่มช้าเช่นกัน

ถึงแม้ร่างของเขาจะสูงแค่ฟันแหลมซี่หนึ่งของราชันหมาป่าขาว แต่คนผู้นี้ไม่กลัวเกรงแม้แต่น้อย เพียงจดจ้องราชันหมาป่ายักษ์อย่างสงบนิ่ง

“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าน้อยตั้งใจเดินทางมาเพื่อบอกกับท่านว่าทางเชื่อมถูกใครชิงไปกันแน่” คนผู้นี้เงยหน้าขึ้น ใบหน้านั้นเป็นบุรุษที่มุ่งหน้าไปยังพรรคชาเพื่อตรวจสอบเรื่องคันฉ่องไตรอริยะในตอนนั้น

ควันสีแดงเล็กละเอียดลอยเอื่อยในห้องลับ หลายๆ สายกลายเป็นตาข่ายยักษ์ปากหนึ่งปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดของห้องลับเอาไว้ด้านใน

ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง คัมภีร์ลับวรยุทธ์สิบกว่าเล่มวางอยู่บนพื้นด้านหน้า

พวกมันเป็นคัมภีร์ลับที่ผู้อาวุโสระดับเอกะฟ้าเหล่านั้นเขียนเอง แตกต่างจากจอมยุทธ์ทั่วไป เมื่อมรรคายุทธิ์ไปถึงขอบเขตเอกะฟ้า พวกเขาก็เขียนคัมภีร์ลับวรยุทธ์ที่ไม่ด้อยกว่าคัมภีร์โบราณดั้งเดิมได้แล้ว

โดยเฉพาะภาพตรึกตรองแก่นแท้ของมรรคายุทธ์ในนี้ ยอดฝีมือระดับเอกะฟ้าคืนสภาพเนื้อหาดั้งเดิมของคัมภีร์ลับวรยุทธ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หรือแม้แต่ปรับปรุงให้ดีขึ้น

ถึงอย่างไรคัมภีร์ลับก็แค่ระดับผนึกจิต แต่พวกเขาเลื่อนถึงระดับเอกะฟ้ามานานแล้ว

‘น่าเสียดาย…การเขียนคัมภีร์ลับวรยุทธ์เป็นภาระหนักหนาเกินไปสำหรับระดับเอกะฟ้า ไม่งั้นคงผลิตชุดใหญ่ออกมาขายได้…” ลู่เซิ่งกวาดมองกองคัมภีร์ลับด้านหน้า

‘ฝ่ามือประกายลี้ลับสยบจิต’ ‘เคล็ดกระบี่อาทิตย์ทรายไหล’ ‘วิชาคืนอริยะ’ ‘เคล็ดหยกวายุทอง’ ‘ตะขอพายุสีฟ้า’ ‘หมัดจักพรรรดิแปดวิถี’ ‘ฝ่ามือเมฆสังหาร’…

วรยุทธ์ระดับผนึกจิตตั้งชื่อได้อย่างน่าเกรงขาม แสดงให้เห็นว่าต่างรองรับความหวังของผู้บัญญัติ หวังว่าจะน่าเกรงขามกร้าวแกร่งได้เหมือนชื่อ

‘น่าเสียดาย…แม้แต่ระดับเอกะฟ้าก็แค่มดตัวใหญ่ในโลกคนธรรมดาเท่านั้น’ ลู่เซิ่งถอนใจ

……………………………………….