ตอนที่ 3 ภรรยา!

มุมถนนในเวลาเที่ยงคืน

ไฟถนนเหลืองอร่าม

ผู้คนยังรู้สึกหวาดผวา

อากาศหนาวและลมแรงราวกับมีดที่กรีดลงบนตัวคน

โจวเจ๋อก็รู้สึกถึงความหนาวเย็นเช่นกัน

เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน

แต่รู้อยู่เรื่องหนึ่ง ที่นี่คือ…โลกมนุษย์

เขาตายไปแล้ว แต่ก็ได้กลับมาอีก

เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรดี

ทำได้เพียงเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเฉื่อยชาเหมือนเครื่องจักร

ตอนนี้เขาไม่มีเวลาใคร่ครวญเรื่องราวอื่นๆ มากนัก

อย่างเช่น สถานที่ที่ตัวเองเพิ่งลงไป

อย่างเช่น ช่วยชีวิตชายชราผู้นั้นก่อนที่ตัวเองจะประสบอุบัติเหตุ

อย่างเช่น หญิงไร้หน้าที่สวมชุดกระโปรงแดงในสระน้ำ

และอย่างเช่น…เล็บของตัวเอง

เขากลับมาแล้ว เดิมทีมันควรเป็นเรื่องที่น่ายินดีเรื่องหนึ่ง แต่แม้ว่าจะมีคนเดินผ่านรอบตัวบ้างบางคราว และต่อให้เขาจะพยายามทักทาย ก็ไม่มีใครมองเห็นหรือได้ยินเขาเหมือนเคย

เขาโดนกีดกันและถูกตัดขาดจากโลกใบนี้ไปแล้ว

คนที่ไม่เคยลองถูก ‘กักขัง’ จะไม่มีทางเข้าใจความทรมานของการถูกตัดขาดกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง และสำหรับโจวเจ๋อแล้ว ในตอนนี้โลกทั้งใบคือกรงขังสำหรับเขา และเหนือกรงขังก็ยังถูกคลุมด้วยผ้าสีดำอีกชั้นหนึ่งด้วย

ไม่มีใครสามารถมองเห็นเขา

ไม่มีใครที่จะสามารถสื่อสารกับเขาได้เลย

เขาไม่สามารถจับต้องวัตถุใดๆ ได้แม้แต่ชิ้นเดียว

กระทั่งแม้แต่สายลมก็ยังพัดผ่านร่างของเขาไปได้อย่างง่ายดาย

เขาอ่อนแอมากขนาดนั้น

ผอมกะหร่อง คำนี้สำหรับตัวเขาแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลย

อีกทั้ง สิ่งที่ทำให้เขาทั้งตกใจและตกตะลึงก็คือ

เขามองเห็นจุดแสงจางๆ ลอยกระจายออกจากร่างตัวเองอย่างต่อเนื่อง

หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า

ร่างของเขากำลังจางหายไปทีละน้อย

อาจจะอีกแค่สิบห้านาที ตัวเองจะหายไปจนหมดสิ้นก็เป็นไปได้ ถูกกำจัดจนท้ายที่สุดไม่หลงเหลือร่องรอยแม้แต่น้อย

เขาไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกันแน่ แต่ที่เขารู้คือเวลาของตัวเองเหลือไม่มากแล้วจริงๆ

ในเหล่าแปดเซียน เถี่ยไกว่หลี่ได้ใช้รูปแบบวิญญาณเข้าร่างคนที่หิวจนล้มตายคนหนึ่ง กลายเป็นภาพลักษณ์ที่สืบทอดต่อๆ มา

โจวเจ๋อเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ‘ยืมซากศพคืนชีพ’ มาเช่นกัน เขาก็อยากจะยืมซากศพคืนชีพเหมือนกัน เขาหนาวและตื่นตระหนกมาก เขาต้องการเนื้อกายให้ตัวเองได้อาศัยอยู่

หรือแม้กระทั่ง ไม่ถือสาว่าคนๆ นั้นจะเป็นใครก็ตาม

ในเวลาแบบนี้ ใครต่างก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น รวมถึงโจวเจ๋อก็ไม่มีข้อยกเว้น และเขาแทบจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

ทว่าทุกๆ ครั้งที่เขากำลังจะเข้าใกล้ใครสักคนหนึ่ง ตำแหน่งเหนือศีรษะและช่วงไหล่ทั้งสองข้างของคนๆ นั้นจะมีไฟสว่างปรากฏให้เห็น ทำให้เขาไม่อาจเข้าใกล้ได้ตรงๆ ยิ่งไปกว่านั้นตัวเองก็ยังได้รับบาดเจ็บอีก ด้วยเหตุนี้ยิ่งเพิ่มความเร็วในการ ‘สูญสลาย’ รุนแรงขึ้นอีกด้วย

เขารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย และรู้สึกเฉื่อยชาแล้วเช่นกัน

เขากำลังรอจุดจบของตัวเอง

รอจุดจบของตัวเอง

ในฐานะคนที่เคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ให้เขาเผชิญหน้ากับความตายอีกครั้ง กลับทำให้จิตใจเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งขึ้นมาบ้าง

อีกทั้งสถานการณ์ของโจวเจ๋อในตอนนี้ หากยังอยู่ที่นี่ต่อไป ยิ่งอยู่นานเท่าไรนั้นหมายถึงเวลาที่เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานนานขึ้นเท่านั้น

“แอ๊ดด…”

ด้านหน้ามีหน้าร้านที่ไฟยังสว่างอยู่แห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นร้านหนังสือ เพราะกระจกประตูร้านที่กั้นอยู่สามารถมองทะลุเห็นชั้นหนังสือเรียงเป็นแถวที่อยู่ภายในได้

มีคนผลักประตูเดินออกมาจากด้านใน เป็นผู้ชายสวมใส่เสื้อสเวตเตอร์และสวมหมวกไว้ ทำให้มองเห็นหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก มองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเร่งรีบจากไป

แน่นอนว่าชายผู้นั้นมองไม่เห็นโจวเจ๋อที่ยืนอยู่ในระยะห่างจากเขาไม่ถึงห้าสิบเมตร

เดิมที โจวเจ๋อไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ แต่หลังจากที่ชายผู้นั้นออกไปได้ไม่นาน ทันใดนั้นโจวเจ๋อก็รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ สายหนึ่งออกมาจากร้านหนังสือ

ใช่แล้ว

ลมหายใจอุ่นๆ

ความอบอุ่นเช่นนี้ ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก แต่ตอนนี้เขาเหมือนคนที่กำลังจะแข็งตาย จู่ๆ ก็ได้รับกล่องไม้ขีดไฟเสียอย่างนั้น แม้จะรู้ว่าไม้ขีดไฟไม่อาจช่วยชีวิตตัวเองได้ แต่ก็ยังจะเปิดมันออกเพื่อสัมผัสความอบอุ่นครั้งสุดท้ายก่อนตาย

โจวเจ๋อเดินไปทางด้านนั้น ร่างของเขาทะลุผ่านกระจกประตูหน้าร้านหนังสือและเดินเข้าไปด้านในเรื่อยๆ จนมาถึงหลังชั้นหนังสือที่ร้านหนังสือ

ด้านหลังชั้นวางหนังสือมีคนนอนอยู่

เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง น่าจะอายุประมาณยี่สิบสามหรือยี่สิบสี่เห็นจะได้ เนื่องจากในร้านเปิดเครื่องปรับอากาศอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สวมเสื้อผ้ามากนัก มีเพียงเสื้อแขนยาวและเสื้อคลุมบางๆ เท่านั้น

เขานอนอยู่บนพื้น แต่โจวเจ๋อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นชนิดหนึ่งบนตัวของเขา เหมือนเป็นผียาจกที่เก็บถุงเหรียญทองคำได้ตามท้องถนนในยามราตรี

แรงดึงดูดเช่นนี้ ไม่อาจปฏิเสธได้ อีกทั้งโจวเจ๋อในตอนนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธด้วย!

โจวเจ๋อก้าวเข้าไปนั่งยอง ๆ อยู่ด้านหน้าชายหนุ่มผู้นี้

เขาไม่รู้ว่าควรจะสิงร่างของอีกฝ่ายอย่างไร แต่เขารู้วิธีสัมผัสกับความรู้สึกอบอุ่นที่ตัวเองต้องการได้อย่างไร

เมื่อยื่นมือข้างหนึ่งออกไปวางแนบบนหน้าอกของอีกฝ่าย

โจวเจ๋อมองเห็นเล็บของตัวเองค่อยๆ ฝังเข้าไปในร่างของอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง

นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก แตกต่างจาก ‘สายลมอ่อนๆ’ ที่พัดผ่านร่างกายของตัวเองบนถนนก่อนหน้านี้ นี่เป็นการหลอมรวม หลอมรวมโดยใช้เล็บของตัวเองเป็นสื่อกลาง

ทั้งร่างของโจวเจ๋อก็ค่อยๆ เข้าสู่ในร่างกายของอีกฝ่าย และทั้งสองก็เริ่มซ้อนทับเข้าด้วยกัน

“สวีเล่อ! นายตื่นได้แล้ว ตื่นๆ!”

โจวเจ๋อถูกผลักเบาๆ ปลุกให้ตื่น ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือถูกทำให้ ‘ตกใจ’ เขาลืมตาขึ้นแล้วพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ร้านหนังสือที่ก่อนหน้านี้ตัวเองนอนหนุนแขนทั้งสองข้างอยู่ด้านบนนี้

“นี่ นายตื่นได้แล้ว!”

เสียงของหญิงสาวทั้งแหลมและสูงมาก น้ำเสียงเจือไปด้วยคำสั่ง

โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ไม่สิ พูดให้ถูกก็น่าจะเป็นเด็กสาว น่าจะเป็นวัยนักเรียนมัธยมปลาย ถึงแม้จะโตเป็นสาวแล้ว แต่ก็ยังให้ความรู้สึกที่เป็นเด็กน้อยอยู่เลย

“นี่ สวีเล่อ สรุปว่ามันหมายความว่ายังไงกันแน่ นายกล้ามากใช่ไหม ไม่อยากไว้หน้าพ่อ แม่และพี่สาวของฉันแล้วใช่ไหม เมื่อวานกล้าดียังไงถึงไม่กลับบ้านทั้งคืน ใครให้ความกล้าแบบนี้กับนายกัน!”

สวีเล่อเหรอ

ใครกัน

โจวเจ๋อกางมือออกด้วยความงุนงง และพบว่ามือทั้งสองข้างของตัวเองเรียบเนียนมาก อาจเป็นเพราะผ่านการฝึกฝนเครื่องมือผ่าตัดมาเป็นเวลานาน ทำให้มือของตัวเองในสมัยก่อนสากหนาเล็กน้อย แต่ว่ามือคู่นี้กลับไม่มี

“นี่ ฉันกำลังคุยกับนายอยู่นะ!”

เด็กสาวตบฝ่ามือลงบนเคาน์เตอร์ด้วยท่าทีก้าวร้าว

โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ลุกขึ้นยืน เดินไปด้านหน้ากระจกเงาข้างประตูร้าน เขาเห็นเงาสะท้อนของตัวเอง มันเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย ไม่สิ เขาเคยเห็นใบหน้านี้ มันเป็นใบหน้านั้นที่เขาเห็นเมื่อคืนนี้

ร่างกายนี้เป็นของฉันแล้วเหรอ

“นี่ นายหมายความว่ายังไง พ่อแม่ฉันโมโหแล้วนะ แม่ฉันยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ที่บ้านอยู่เลย ฉันจะบอกอะไรนายให้นะ ตอนนี้นายทั้งกินทั้งใช้ของในบ้านของฉันทั้งนั้น ในฐานะลูกเขยจำเป็น นายมีสิทธิ์อะไรมาวางท่าใหญ่โตในบ้านของฉัน นายอยากจะทำอย่างนี้ให้ใครดูกัน! ถ้าคืนนี้ยังกล้าไม่กลับบ้านอีกละก็ เชื่อไหมว่าฉันจะมาจัดการนายเอง!”

เด็กสาวเงื้อฝ่ามือตัวเองขึ้น แต่จู่ๆ เธอก็พบว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเธอและก็เป็น ‘พี่เขย’ ของเธอเอง ไม่หลบเลี่ยงและไม่ร้องขอความเมตตาเช่นเคย กลับกันสิ่งที่แฝงอยู่ในแววตาคู่นั้นทำให้เธอรู้สึกกลัวเล็กน้อย

ในเวลานี้เอง เธอดูเวลาและพบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว

“หึ ฉันจะไปเรียนก่อน เย็นนี้ค่อยคิดบัญชีกับนาย!”

เด็กสาวเดินฮึดฮัดออกไปด้วยความโมโห

โจวเจ๋อกลับไปนั่งบนเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์ของตัวเองอย่างเชื่องช้าๆ ที่นี่มีคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าอยู่หนึ่งเครื่องและข้างๆ คอมพิวเตอร์ยังมีโทรศัพท์มือถืออีกหนึ่งเครื่อง

แม้แต่ในตอนนี้ เขายังปรับตัวเข้ากับกระบวนการเปลี่ยนตัวตนของตัวเองไม่ได้

เขาคือโจวเจ๋อ เป็นศัลยแพทย์หนุ่มที่มีชื่อเสียงในทงเฉิง และเขายังเป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่งอีกด้วย

แต่ปรากฏว่า

ในตอนนี้ตัวเองกลายเป็นตัวตนของร่างนี้ไปแล้ว

เมื่อสักครู่นี้เด็กสาวพูดว่าอะไรแล้วนะ

ฉันเป็น…ลูกเขยจำเป็นใช่ไหม

มีภรรยาหนึ่งคนแล้ว?

ยังมีพ่อตาและแม่ยายอีกด้วยใช่ไหม

อีกทั้งเห็นน้องสาวภรรยาของตัวเองใช้น้ำเสียงและท่าทางในการพูดคุยกับตัวเองที่เป็น ‘พี่เขย’ ตรงหน้าเมื่อครู่นี้แล้ว ตัวเองที่เป็น ‘ลูกเขยจำเป็น’ คนนี้ช่างสอดคล้องกับประเพณีอันดีงามของสมัยโบราณจริงๆ

ลูกเขยจำเป็น เป็นที่เรียกกันโดยทั่วไปหลังแต่งงานแล้วผู้ชายไปอยู่บ้านภรรยา ไม่เพียงแต่จะถูกครอบครัวฝ่ายภรรยาดูถูกแล้ว ในสมัยโบราณก็ถูกผู้คนรอบตัวดูถูกเหยียดหยามไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นฐานะพอๆ กับอาชญากรเลยทีเดียว ในสมัยราชวงศ์ฮั่นและราชวงศ์ถัง ผู้ที่ถูกบังคับให้รักษาชายแดนเหล่านั้นมักจะมีบุตรเขยที่แต่งเข้าบ้านไปด้วย

เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรศัพท์ไม่ได้ตั้งรหัสผ่านไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะขี้เกียจหรือไม่กล้าตั้งรหัสผ่านกันแน่ อย่างน้อยๆ ในเวลานี้ก็ทำให้โจวเจ๋อเปิดวีแชทและ QQ ของเขาได้อย่างง่ายดาย

รายชื่อผู้ติดต่อใน QQ มีน้อยมาก มีเพียงเพื่อนร่วมชั้นมัธยมต้น มัธยมปลาย และมหาวิทยาลัยอยู่นิดหน่อย และยังมีรายชื่อสมาชิกในครอบครัว ซึ่งในนั้นมีเพียงคนเดียวที่ระบุหมายเหตุไว้คือ ‘ภรรยา’

เมื่อเปิดดูประวัติการสนทนาใน QQ กับเธอนั้น มีแต่ความว่างเปล่า

เอาเถอะ

โจวเจ๋อเปิดวีแชท ลองค้นหาดูแล้วก็พบผู้หญิงที่ระบุหมายเหตุว่า ‘ภรรยา’ ในนี้มีการสนทนาโต้ตอบ โดยรวมแล้วเป็นสวีเล่อที่ถามเรื่องบางอย่าง อย่างเช่น เย็นนี้กินอะไร เย็นนี้จะทำอะไร มีของเข้าต้องจ่ายเงินเท่าไร ช่วงนี้ร้านหนังสือขายได้เงินเท่าไร สุขภาพคุณเป็นอย่างไรบ้าง บลา ๆ ๆ

และการตอบกลับของอีกฝ่ายก็มักจะเย็นชาและเป็นแบบขอไปที

อย่างเช่น

“อ๋อ”

“อืม”

“โอเค”

เข้ามาแทน

โจวเจ๋อโยนโทรศัพท์ไปอีกทางหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเช่นนี้ซับซ้อนอยู่เล็กน้อย ทันใดนั้นเขามองฝ่ามือของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เล็บของตัวเองไม่ได้ต่างอะไรกับคนทั่วไป

แต่เรื่องเหล่านี้ ทั้งชายชราคนนั้นที่เขาได้ช่วยชีวิตก่อนตัวเองเกิดอุบัติเหตุ อีกทั้งตัวเองสลัดพ้นจากเงื้อมมือหญิงไร้หน้าและรวมไปถึงตัวเองที่เข้าไปในร่างของชายคนนี้เป็นต้น เล็บของเขาล้วนแล้วแต่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง

เป็นไปตามจังหวะการเคลื่อนไหวของหัวใจ

และในเวลานั้นเอง

โจวเจ๋อพบว่าเล็บของตัวเองเริ่มยาวขึ้นอย่างช้าๆ ในขณะเดียวกันก็เปลี่ยนเป็นสีดำใสขึ้นมา แม้แต่บนเล็บก็มีหมอกสีดำจางๆ ที่ลอยวนอยู่

“ฟู่ว…”

ถอนหายใจยาวๆ ก่อนหลับตาลง

ในตอนที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

เล็บก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว

ตั้งแต่เช้าจรดเที่ยง โจวเจ๋อยังคงนั่งอยู่ที่นั่นและพยายามปรับตัวให้เข้ากับตัวตนใหม่นี้และยังพยายามปรับความรู้สึกไม่คุ้นเคยจากการเปลี่ยนแปลงตัวตนของเขาให้เป็นปกติ ข้าวเที่ยงก็ไม่ได้กิน เป็นเพราะว่าลืมหรือเดิมทีตัวเองไม่รู้สึกหิวก็ไม่รู้

ที่นี่ยังคงเป็นทงเฉิง บ้านหลังเดิมของโจวเจ๋อก่อนหน้านั้นอยู่เขตฉงชวน ตอนนี้อยู่ที่เขตกั่งจ๋า ระยะทางไม่ไกลกันมาก

เมื่อถึงช่วงบ่าย โจวเจ๋อถอนหายใจและยืนขึ้นอย่างเงียบๆ ไหน ๆ ก็มาแล้วก็ขอให้ปลอดภัยก็แล้วกัน

เขาเริ่มลองทำความสะอาดชั้นหนังสือดู ถึงอย่างไรแล้วก็หาอะไรให้ตัวเองทำก่อน

ชายชราที่เคยหยิกตัวเองไว้ก่อนตายคนนั้นเคยพูดไว้ ‘เขาถูกหาเจอแล้ว’ รวมไปถึงหญิงไร้หน้าในนรกก็เคยพูดว่า ‘ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องถูกจับได้’ มันทำให้โจวเจ๋อรู้สึกถึงอันตรายผุดขึ้นในใจเล็กน้อย

สภาพเขาในตอนนี้ เรียกได้ว่า ‘เอาตัวรอดไปวันๆ’ ตายแล้วฟื้นคืนชีพ เป็นความเมตตาที่สวรรค์มอบให้ ดังนั้นเขาจึงหวงแหนมันมาก อย่างน้อยๆ ในขณะที่สถานการณ์ทั้งหมดนี้ยังแบ่งแยกไม่แน่ชัดและก่อนที่จะมีความกระจ่างในเงื่อนงำ ตัวเองต้องอยู่แทนที่ตัวตนนี้ ทางที่ดีอย่าทำให้เกิดความผิดปกติมากเกินไป อย่าทำให้เป็นจุดสนใจของ ‘ผู้ที่ต้องการจับเขา’

ธุรกิจของร้านนี้แย่เอามากๆ ความตกต่ำของตลาดหนังสือแบบดั้งเดิม มันไม่ใช่เรื่องของวันสองวันนี้ แต่มันตั้งนานมาแล้ว แถมยังไม่ได้ตั้งอยู่บนถนนทำเลทองหน้าประตูโรงเรียนอีกต่างหาก

พูดได้อย่างเดียวว่า ‘สวีเล่อ’ ผู้นั้นเลือกที่จะเปิดร้านหนังสือที่นี่ จะสามารถรักษาต้นทุนได้หรือไม่นั่นก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา

เมื่อเวลาเดินมาถึงช่วงบ่ายสามโมงตรง วันนี้เพิ่งจะมีลูกค้าคนแรกที่เดินเข้ามา

ลูกค้าเดินเตร่อยู่โซนหนังสือของนักเรียนชั้นประถม และวนอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน

โจวเจ๋อรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปถาม “เลือกหัวข้ออะไรครับ”

แม้ว่าโจวเจ๋อจะไม่เข้าใจก็ตาม

“ดูๆ ก่อน” อีกฝ่ายตอบ

“อืม” โจวเจ๋อก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป ตอนนี้เขายังเข้าไม่ถึงในบทบาท ‘เถ้าแก่ร้านหนังสือ’ นี่เลย

แต่ในตอนนี้เอง

จู่ๆ อีกฝ่ายกลับเดินเข้ามาอยู่ด้านหลังตัวเอง เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา

“นายจำฉันไม่ได้จริงๆ เหรอ”

“อะไร” โจวเจ๋อถาม

“เมื่อวานฉันใช้ไม้เบสบอลตีหัวนาย แล้วขโมยเงินของนายด้วย

แถมฉันลองเช็คดูแล้ว

เห็นๆ อยู่ว่าตอนนั้นนายหมดลมหายใจไปแล้ว”

…………………………………………