ตอนที่ 200 ‘ความจริง’

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

ทั่วป๋าฉินซินใช้สองมือกอดเข่านั่งอยู่บนเตียง ซุกศีรษะไว้ที่ระหว่างขาทั้งสองขา คล้ายกลับปีศาจตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บแต่กลับหาแม่ไม่เจอ จึงทำได้เพียงเลียแผลตัวเองไปเท่านั้น หากใครสามารถมองทะลุผ่านเห็นใบหน้าของนาง ก็จะพบ ว่านอกจากความสับสน ผิดหวัง และความเจ็บปวดแล้วก็ไม่มีท่าทีอื่นๆ ปรากฏอีกเลย นางพยายามขดตัว พยายามทำให้ตัวเองเลือนหายไปเช่นนี้

ทั่วป๋าเชียนเย่าไม่รู้ว่าออกไปนานเท่าใดแล้ว แต่คำพูดของเขาคล้ายกลับยังดังก้องอยู่ข้างหู ทุกถ้อยคำล้วนแต่เย็นชา ทั้งยังทิ่มแทงใจ ทำให้นางได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวเป็นอย่างมาก…

‘พักผ่อนให้ดีๆ เสีย พรุ่งนี้ตอนกลางวันออกจากตระกูลซั่งกวน กลับไปยังเรือนพนาวายุ แม้ว่าจะทำเรื่องขายหน้าก็ไม่ควรขายหน้าในบ้านของคนอื่น’

‘ข้าจะปรึกษาหารือเรื่องกำหนดงานแต่งของเจ้าและซั่งกวนอวี่ไข่ รอหลังจากงานแต่งของหลิงหลง เจ้าก็กลับไปกับข้า เตรียมตัวแต่งงานเสีย!’

‘ไม่แต่ง? เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ? อย่าได้มาคิดฆ่าตัวตายที่นี่ แม้ว่าอยากจะตาย เจ้าก็ต้องแต่งงานให้ข้าก่อนจึงจะตายได้!’

‘เจ้าเป็นลูกสาวของข้า ใช่ ดังนั้นล้วนเป็นความผิดของข้าที่ตามใจเจ้าจนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ พะเน้าพะนอจนเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งเหนือผู้ใด ตามใจจนเกินไป จึงได้เป็นเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าได้นำอะไรมาให้ตระกูลทั่วป๋า? ความอัปยศอดสู! รอยด่างพร้อยที่ไม่อาจจะล้างสะอาดได้! ชื่อเสียงของตระกูลทั่วป๋า ชื่อเสียงทั้งหมดของคุณหนูตระกูลทั่วป๋า ล้วนถูกเจ้าทำลายจนพังไม่เป็นท่า จุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวในการมีชีวิตของเจ้ายามนี้ก็คือใช้เวลาชั่วชีวิตของตนเอง ล้างความอัปยศที่เจ้านำมาสู่ตระกูลทั่วป๋า!’

‘ไม่อยากได้ซั่งกวนอวี่ไข่? นอกจากซั่งกวนอวี่ไข่แล้ว เจ้ายังจะแต่งกับใครได้อีก? ซั่งกวนเจวี๋ยอย่างนั้นรึ? อย่าได้เพ้อฝันไปหน่อยเลย!’

‘ไม่ใช่ซั่งกวนอวี่ไข่? ไม่ใช่ซั่งกวนอวี่ไข่แล้วจะเป็นใครได้อีก? ล้วนมาถึงขั้นที่กู่ไม่กลับเช่นนี้แล้ว เจ้ายังจะคิดเล่นลิ้นอยู่ คิดจะกลับดำเป็นขาว คิดจะหลวกลวงคนทั้งหมดอีกอย่างนั้นรึ? เจ้าเห็นคนทั้งหมดเป็นคนโง่ คิดว่าสามารถสั่งการให้คนอื่นคิดอย่างไรก็ได้อย่างนั้นรึ? ข้าจะบอกเจ้าให้ คนที่โง่เขลาเบาปัญญามีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น! เจ้าอยู่ที่ตระกูลซั่งกวน ทุกการกระ ทำล้วนอยู่ใต้หูใต้ตาของคนอื่น ก็คือเจ้านั่นแหละที่ขุดหลุมพรางให้กับตัวเอง สิ่งใดที่เรียกว่าทำอะไรไว้ย่อมได้รับสิ่งนั้น ก็คือตัวเจ้านี่แหละ!’

‘ทุกคนจับตาดูนางให้ข้าดีๆ หากเกิดเรื่องผิดพลาดอันใด ข้าจะหั่นพวกเจ้าเป็นชิ้นๆ เสีย!’

ชิงหยาพาชิงเย่ สาวใช้อีกคนมาเก็บกวาดห้องที่ยุ่งเหยิง เสื้อผ้าทั้งดีบ้างขาดวิ่นบ้างกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น เครื่องกาถ้วยชาที่ปาแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย ทั้งโต๊ะเก้าอี้ที่ถูกเตะล้มระเนระนาด พวกนางพยายามจัดการอย่างไม่ส่งเสียง ไม่ให้รบกวนทั่วป๋าฉินซินที่กำลังหมดอาลัยตายอยาก

คนที่เจ็บปวด เสียใจ และผิดหวังไม่ได้มีแต่ทั่วป๋าฉินซินเพียงคนเดียว พวกนางจะไม่รู้สึกถึงหนทางข้างหน้าที่มืดมนได้อย่างไร? เกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้กับคุณหนู แม่นมและสาวใช้ข้างกายนางทั้งหมดล้วนแต่ได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน หากตระกูลทั่วป๋าไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โต ก็คงจะตกลงหารือเรื่องแต่งงานของคุณหนูและคุณชายอวี่ไข่กับตระกูลซั่งกวน พวกนางอาจจะถูกพากลับไปรับโทษโบย จากนั้นก็กลายเป็นสินเจ้าสาวกลับมาที่ตระกูลซั่งกวนอีกครั้ง ถึงเวลานั้นจะเป็นเมียบ่าว จะถูกส่งออกไปแต่งกับคนอื่น หรือต้องรับใช้ข้างกายคุณหนูไปชั่วชีวิตล้วนต้องขึ้นอยู่กับตัวเอง นั่นเป็นการคาดการณ์ที่ดีที่สุด พวกนางไม่กล้าที่จะเพ้อฝันเช่นนั้น หากตระกูลทั่วป๋ากังวลว่าปากพวกนางจะอยู่ไม่นิ่ง ไม่ทันระวังเผลอพูดเรื่องในวันนี้ออกไป (บ่าวของตระกูลซั่งกวนพูดออกไปกับพวกนางพูดออกไปนับเป็นคนละเรื่องกัน ทั้งถือเป็นว่าเป็นการคิดคนละแบบ) พวกนางอาจจะไม่ทันกลับถึงเหยี่ยนโจวก็ถูกกำจัด และจุดจบก็มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือไม่ตายดี

พวกนางในยามนี้ทำได้เพียงเกาะหางเจ้านายทำตัวดีๆ หวังให้คุณหนูสามารถคิดกระจ่างได้เร็ววัน จากนั้นก็พูดเพื่อพวกนางสักสองสามประโยค แค่เพียงคุ้มครองชีวิตของพวกนาง อย่างอื่นล้วนไม่กล้าที่จะคาดหวัง

“นี่คืออะไร?” หลังจากชิงเย่เก็บกวาดเสื้อผ้าที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น ก็พบกับของแปลกๆ กองอยู่ใต้เตียง เมื่อจับขึ้นมาดูก็พบว่ามีลักษณะนุ่มๆ จึงคลี่ออกอย่างระมัดระวัง พลันปรากฏเป็นของที่คล้ายกับหน้ากากแผ่นหนึ่ง สาวใช้ทั้งสองสบสายตากัน ในขณะเดียวกันก็นึกไปถึงของแบบเดียวกันที่ได้ยินชื่อมานานแต่กลับไม่เคยได้เห็นมาก่อน…หน้ากากหนังมนุษย์!

“ชิงเย่ เจ้ายืนนิ่งๆ อย่าขยับไปไหน!” ชิงหยาใจเต้นตึกตัก นางแบหน้ากากหนังมนุษย์วางบนหน้าของชิงเย่อย่างระมัดระวัง ก่อนใบหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยจะปรากฏในครรลองสายตาทันที กระนั้นเมื่อสังเกตอย่างละเอียด ก็ยังสามารถพบเจอจุดบกพร่องอยู่มากมาย แต่นั่นเป็นเพราะว่าคนที่สวมหน้ากากคือชิงเย่ พวกนางไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับวิชาเปลี่ยนหน้าแม้แต่น้อย หากเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ทั้งให้คนที่ชำนาญวิชาเปลี่ยนหน้าเป็นคนจัดการ ก็ย่อมต้องให้ผลลัพธ์ที่แทบแยกไม่ออกอย่างแน่นอน

ดูท่าคุณหนูคงจะถูกคนวางแผนตลบหลัง! สาวใช้ทั้งสองมองหน้ากัน ชิงเย่ถอดหน้ากากหนังมนุษย์ออก ก่อนจะวางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ส่วนชิงหยาลอบสำรวจมองที่หน้าประตู พบว่าแม้ในเรือนจะมีคนอยู่ แต่ก็เหมือนกับกลัวไปแปดเปื้อนของสกปรกอะไรเข้า จึงได้เว้นระยะห่างอยู่ไกลๆ นางไปเปิดประตูออกกว้างทันที ให้คนด้านในได้พอเห็นอย่างชัดเจนว่ามีคนด้านนอกเข้าใกล้ประตูหรือไม่ จึงค่อยวกกลับมา

“คุณหนู…คุณหนูเจ้าคะ…” ชิงหยาพยายามเขย่าทั่วป๋าฉินซินอย่างสุดชีวิต จนกระทั่งนางเงยศีรษะขึ้นมาอย่างงุนงง ทั้งมองนางอย่างเลื่อนลอย แววตาแข็งทื่อที่ไร้จิตวิญญาณ อย่าพูดถึงความมีชีวิตชีวาในอดีตเลย แค่ความสดใสและแววตาวาววับก็ไม่มีให้เห็นแม้แต่น้อย

“คุณหนู ท่านต้องใจเย็นนะเจ้าคะ อย่าได้บุ่มบ่าม พวกเราจะให้ท่านดูของบางอย่าง” ชิงหยากอดทั่วป๋าฉินซินไว้แน่น ใช้ผ้าคลุมหมอนอุดปากนางไว้ ส่วนชิงเย่อยู่หน้ากระจก วางหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าอย่างระวัง คล้อยหลังก็ใช้สองมือจัดให้เข้ารูป ก่อนจะบิดกายกลับมา…

“อื้อ…อื้อ…!” ทั่วป๋าฉินซินตะลึงไปพักใหญ่ จากนั้นดวงตาที่เลื่อนลอยทั้งสองข้างจู่ๆ ก็คล้ายกับมีชีวิตขึ้นมา น้ำตาที่เหือดแห้งในดวงตาได้ไหลออกมาอีกครั้ง นางดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา นางอยากจะตะโกนร้อง อยากจะพุ่งไปหาคำตอบ แต่ก็ถูกชิงหยาที่เตรียมการณ์พร้อมอยู่ก่อนแล้วกอดไว้แน่น พยายามอุดปากนาง นางทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้เท่านั้น ชิงเย่เห็นว่าแม้นางจะโมโห และพยายามดิ้นรน แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีสติ จึงดึงหน้ากากหนังมนุษย์ออกทันที ก่อนจะไปช่วยชิงหยาออกแรง ไม่ให้นางขัดขืนขึ้นมา…

“คุณหนู ใจเย็นก่อน ต้องใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ!” ชิงเย่พูดอยู่ข้างหูทั่วป๋าฉินซินครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดทั่วป๋าฉินซินก็ไม่รู้ว่าเหนื่อยแล้ว หรือใจเย็นลงแล้วจึงไม่ได้ขัดขืนอะไรอีก ทำเพียงร้องไห้อย่างเงียบๆ มองพวกนางอย่างเงียบเชียบ แววตาแฝงไปด้วยท่าทีวิงวอน

“คุณหนู พวกเราปล่อยท่านได้ แต่ท่านต้องไม่ร้องออกมา ไม่บุ่มบ่าม ไม่โกรธเกรี้ยว พวกเราไม่มีสิทธิ์เช่นนั้นแล้วนะเจ้าคะ!” ชิงหยาน้ำตาไหลริน กล่าวเสียงเบา ทั่วป๋าฉินซินผงกศีรษะ นางจึงค่อยๆ ผละออกเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าทั่วป๋าฉินซินไม่มีท่าทีจะคลุ้มคลั่ง ก็ปล่อยนางอีกเล็กน้อย ทั่วป๋าฉินซินยังคงเรียบนิ่ง หยั่งเชิงเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุด ทั่วป๋าฉินซินก็ถูกนางปล่อยตัว

“ไปเจอที่ใด?” ทั่วป๋าฉินซินถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ใต้เตียงเจ้าค่ะ!” ชิงเย่เห็นนางคล้ายกับใจเย็นลงมาแล้วก็กล่าว “ในยามที่พวกเราเก็บกวาดได้เจอโดยบังเอิญเจ้าค่ะ!”

“เอามาให้ข้าดู!” ทั่วป๋าฉินซินยื่นมือ ชิงเย่ก็ส่งหน้ากากหนังมนุษย์ให้กับนาง นางลูบมันอยู่ในมือ ก่อนจะวางของสิ่งนั้นลงบนหน้าของชิงหยา จากนั้นก็ค่อยกล่าวขึ้นมาอย่างเยือกเย็น “ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า ข้าจะไปเข้าพบท่านลุงและท่านพ่อ ข้าจะทำให้พวกเขารู้ว่าข้าถูกใส่ความ ข้าไม่อาจกล้ำกลืนฝืนทนตบแต่งกับซั่งกวนอวี่ไข่คนต่ำต้อยผู้นั้นได้หรอก!”

“คุณหนู ไม่มีประโยชน์เจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าทั่วป๋าฉินซิน กล่าวโน้มน้าว “ท่านจะถูกใส่ความหรือไม่ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว นายท่านตัดสินใจจะให้ท่านออกเรือนกับคุณชายอวี่ไข่แล้ว แม้ว่าท่านจะก่อเรื่องราวใหญ่โต เรื่องราวก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอันใดได้อีกแล้ว ท่านต้องใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ”

ใช่แล้ว! ท่านพ่อพูดแล้วว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่น แม้ว่าจะตายก็ต้องแต่งให้กับซั่งกวนอวี่ไข่ก่อนจึงค่อยตายได้! ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าจะมีหน้ากากหนังมนุษย์นี้แล้วจะสามารถอธิบายอะไรได้อีก? ทำได้เพียงแสดงให้เห็นว่าตัวเองโง่เขลาเบาปัญญา ตัวเองเป็นคนเข้าไปขวาง เป็นคนวางยาเอง ส่วนซั่งกวนอวี่ไข่ก็เพียงแค่ผลักเรือตามน้ำเท่านั้น…แม้ว่าก่อนเริ่มเรื่องจะพูดกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยดีแล้วว่า นางจะส่งคนมาทำลายหลักฐานของว่างน้ำชาที่อยู่ในศาลาหลังจากตัวเองไปแล้ว แต่เรื่องมาถึงวันนี้ นางยังสามารถเชื่อทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้อีกหรือ? เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างมากว่านางและซั่งกวนอวี่ไข่ได้ปรึกษากันมาก่อน ให้ตัวเองวางแผนเพื่อตัวนางเอง จากนั้นพวกเขาก็ทำเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่บริสุทธิ์คนนั้น ส่วนน้ำชาของว่างเหล่านั้นก็กลายเป็นหลักฐานมัดตัวนาง แม้ว่าจะจับคนที่ใส่หน้ากากผู้นี้ส่งไป ก็เป็นเพียงการนำความอับอายมาให้ตัวเองเท่านั้น!

กรี๊ด! ทั่วป๋าฉินซินซ่อนตัวเองอยู่ในผ้าห่มกรีดร้องราวกับคนบ้า นางคิดวางแผนแล้ววางแผนอีกแต่กลับมาถูกซั่งกวน อวี่ไข่ คนต่ำต้อยผู้นั้นตลบหลัง ทั่วป๋าฉินซินได้วาดภาพ ‘เรื่องจริง’ ของเรื่องราวขึ้นมาในหัวแล้ว…เมื่อทราบถึงแผนการของตนอย่างละเอียด ซั่งกวนอวี่ไข่ก็คิดวิธีหาคนสร้างหน้ากากหนังมนุษย์ชิ้นนี้ขึ้นมา จากนั้นในยามที่ตัวเองรอลูกผู้พี่ปรากฏตัว เขาก็ปรากฏกายขึ้น ตัวเองก็เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ขวางเขาเอาไว้ มิน่าเล่า จึงไม่เห็นเงาคนที่ตามติดลูกผู้พี่อย่างเยี่ยนเซียงและโม่เซียงสักนิด มิเน่าเล่าตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่พูดเต็มๆ แม้แต่ประโยคเดียว ย่อมเป็นเพราะเขากังวลว่าตัวเองจะจับผิดในน้ำเสียงได้ มิน่าเล่า พวกเขาจึงกระตือรือร้นเช่นนั้น พอได้ยินเสียงกรีดร้องของตัวเอง ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ปรากฏกายอย่างทันที เพื่อที่จะให้นางเชื่อถือ ยังพูดอีกว่าต้องยืนกรานว่าเป็นลูกผู้พี่ หรือลูกของนางจะกลับบ้านมาเวลาใดนางก็ไม่รู้อย่างนั้นรึ?…

การกระทำทั้งหมดที่แตกต่างจากยามปกติล้วนมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล ก็เหมือนที่ลูกผู้พี่กล่าว คนหนึ่งคือหลานที่นางรักมากที่สุด อีกคนคือหลานสะใภ้ที่นางอยากได้มากที่สุด ทั้งสองคนสามารถเกี่ยวดองกันได้ คนที่ดีใจที่สุดก็ย่อมเป็นนาง!

ซั่งกวนอวี่ไข่ ทั่วป๋าซู่เยวี่ย ข้าย่อมต้องทำให้พวกเจ้าได้รับการตอบแทนกับการกระทำของตัวเองอย่างสาสม!

“คุณหนู…” ชิงเย่และชิงหยากังวลว่าทั่วป๋าฉินซินจะคุดคู้ตัวเองอยู่ในนั้นจนหายใจไม่ออก รีบเปิดผ้าห่มออกอย่างใจร้อน สิ่งที่พบกลับเป็นแววตาที่วูบไหวไปด้วยความแค้นของทั่วป๋าฉินซิน

“ชิงเย่ ชิงหยา ข้าสามารถเชื่อใจพวกเจ้าได้หรือไม่?” ยามนี้ทั่วป๋าฉินซินไม่รู้ว่าตัวเองสามารถเชื่อใจใครได้บ้าง แต่นางกระจ่างใจว่าชีวิตน้อยๆ ของสาวใช้ข้างกายทั้งสองคนนั้นอยู่ในกำมือของตัวเอง พวกนางอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่นางสามารถไว้ใจและใช้งานได้

“คุณหนูเจ้าคะ ชีวิตทั้งหมดของพวกบ่าวขึ้นอยู่กับคุณหนู ชั่วชีวิตนี้ไม่กล้ามีความคิดที่จะแยกจากคุณหนูแม้แต่น้อย” ชิงหยาและชิงเย่คุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่กล้าจะขยับแม้เพียงเล็กน้อย

“ข้าจะพยายามคิดวิธีปกป้องชีวิตของพวกเจ้า แต่ชั่วชีวิตนี้ของพวกเจ้าก็ทำได้เพียงติดตามข้างกายข้าเท่านั้น” ทั่วป๋าฉินซินมองพวกนางอย่างเรียบเย็น

ชิงเย่และชิงหยาเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างหนักแน่น “บ่าวทั้งสองสาบานเจ้าค่ะ ชั่วชีวิตนี้จะฟังคำสั่งของคุณหนู แม้ร่างกายจะแหลกสลายก็จะไม่ทรยศท่าน หากผิดคำสาบาน ขอให้ไม่ตายดี ไม่อาจจะกลับมาเกิดได้อีกตลอดกาลเจ้าค่ะ!”

ทั่วป๋าฉินซินหัวเราะขึ้นมาอย่างไร้เสียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ทั่วป๋าซู่เยวี่ย ซั่งกวนอวี่ไข่ ในเมื่อข้าได้ล่วงสู่นรกแล้ว พวกเจ้าจะสามารถสงบสุขได้อย่างไรกัน?

——————–