ตอนที่ 234 ไม่อยากเล่นกับเจ้าแล้ว

แม่สาวเข็มเงิน

หมอชีวางนิ้วมือลงบนแขนของช่างชือจื่อเพื่อลองจับชีพจรของนาง สักครู่เขาก็พูดขึ้น “คุณหนูช่าง โรคไข้หวัดนี้เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความเย็นเกินพอดี อาการโดยรวมไม่ได้เป็นอะไรมาก ข้าจ่ายยาให้คุณหนู คุณหนูเพียงแค่กินยาให้ตรงเวลา อาการก็จะดีขึ้นจนหายได้ขอรับ”

ช่างชือจื่อไม่คิดว่าความทรมานครั้งใหญ่ของตัวเองจะแลกมาด้วยคำว่า ‘ไม่ได้เป็นอะไรมาก’ จากปากของหมอชี นางกัดฟันตัวเองแน่นแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ทำได้เพียงพูดอย่างอ่อนแอ “อ้อ งั้นรึ ? ถ้าอย่างนั้นข้าขอบคุณหมอชีมาก หวังว่าอาการของข้าจะดีขึ้นในเร็ววัน พี่ชายกงจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงข้านาน”

หมอชีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “คุณหนูช่างมีคุณธรรมมากจริง ๆ ขอรับ” พูดเสร็จ เขาก็ออกไปรายงานให้กงจี้ทราบเกี่ยวกับอาการไข้ของช่างชือจื่อ

และแน่นอน จุดสำคัญคือคำว่า ไม่ได้เป็นอะไรมาก

ช่างชือจื่อนอนอยู่บนเตียงภายในห้อง นางกัดฟันจนแทบแตกละเอียดอยู่รอมร่อ

น่าแค้นใจนัก!

ในตอนที่หมอชีกำลังพูดกับกงจี้ เขากลับเห็นหมอตี๋ ผู้ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของเขาชะโงกศีรษะอยู่ข้างนอก

“ไร้มารยาท” หมอชีตำหนิจนหมอตี๋หดไหล่ลงเล็กน้อย เขาวิ่งเข้ามาทำความเคารพกงจี้กับหมอชีและพูดขึ้นเสียงเบา “นายท่านชีขอรับ คุณชายเจียงมาหยิบยา หนึ่งในนั้นมีโสมป่า ก่อนหน้านี้นายท่านชีตำหนิที่ข้าใช้มันในทางที่ผิด จึงนำไปใส่กุญแจไว้ขอรับ”

“โสมป่ารึ ?” หมอชีเองก็รู้จักเจียงหยุนชาน เขารู้สึกชื่นชมเด็กหนุ่มผู้เต็มไปด้วยมาดปัญญาชนและมีท่าทีสุภาพคนนี้มาก เมื่อเขาได้ยินว่าเจียงหยุนชานต้องการโสมป่าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หยิบกุญแจออกมาจากในอ้อมแขนพร้อมพูดไปด้วย “บอกเด็กหนุ่มเจียงนั่นว่าโสมป่านี้เป็นยาบำรุงที่ดี แต่ไม่สามารถกินมากเกินไปได้”

หมอตี๋พูดขึ้นอย่างไร้เดียงสา “คุณชายเจียงไม่ได้เป็นคนที่ใช้โสมนั่นขอรับ เขาบอกว่าแม่นางเจียงป่วยเป็นโรคไข้หวัด แต่ในใบรายการยามีโสมป่าขอรับ”

กงจี้ที่เดิมทีมีท่าทีเอ้อระเหยยืดตัวตรงทันที เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน “เจ้าบอกว่าอะไรนะ ?”

หมอตี๋ตกใจเพราะท่าทางดุดันอย่างกะทันหันของกงจี้ ประกอบกับเขาอายุยังน้อย จึงใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ “นายท่าน…”

หมอชีปฏิบัติต่อหมอตี๋คนนี้เยี่ยงลูกศิษย์มาโดยตลอด เขารีบพาหมอตี๋มายืนอยู่ด้านหลัง “นายท่านขอรับ เด็กคนนี้อายุยังน้อย เขาคงกลัวท่าทางดุดันของนายท่าน”

กงจี้สูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกใจร้อนอย่างน่าประหลาด “เจียงหยุนชานยังอยู่ที่ห้องยาหรือเปล่า ?”

หมอตี๋ที่หลบอยู่ด้านหลังหมอชีพยักหน้าอย่างขลาดกลัว

กงจี้ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา ซึ่งนั่นทำให้หมอชีตกตะลึง เขาตะโกนขึ้นจากทางด้านหลังกงจี้ “นายท่าน ไม่ได้นะขอรับ ขาของนายท่าน… เอ่อ… นายท่านเดินพอแล้วสำหรับวันนี้ ไม่ได้นะขอรับ!”

หมอชีกำลังจะตามกงจี้ไป แต่กลับได้ยินช่างชือจื่อที่อยู่ด้านหลังตะโกนขึ้นอย่างยากที่จะเชื่อเสียก่อน “พี่ชายกง!”

แต่กงจี้ไม่ได้ยิน เขาจากไปโดยไม่หยุดฝีเท้าลงแม้แต่ก้าวเดียว

หมอชีอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำในใจ เมื่อดูจากความโกรธของนางแล้ว เห็นได้ชัดว่าโรคไข้หวัดของคุณหนูช่างคนนี้เหมือนกับที่เขาวินิจฉัยว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ในใบรายการยาที่เด็กหนุ่มเจียงคนนั้นมาหยิบให้แม่นางเจียงกลับมีโสมป่า คิด ๆ ดูแล้วแม่นางเจียงคงเขียนรายการยาด้วยตัวเอง นางชำนาญทักษะในการรักษาโรค แน่นอนว่านางคงไม่เพิ่มโสมป่านี้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เห็นได้ชัดว่านางป่วยหนัก

ไม่ได้แล้ว! เขาต้องไปดูนางสักหน่อย

หมอชีหันกลับไปพูด “คุณหนูช่างไม่ต้องห่วง อีกประเดี๋ยวข้าจะให้หมอตี๋นำห่อยามาส่งให้คุณหนู คุณหนูแค่รักษาตัวให้สบายใจก็ดีขึ้นได้แล้ว และระวังอย่าให้ตัวเองได้รับความเย็นจนเกินไปอีกล่ะ”

หมอชีเพียงแค่พูดสั่งไปอย่างนั้น แต่สีหน้าของช่างชือจื่อกลับเปลี่ยนไป นางพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว นางคิดว่าหมอชีดูออกว่านางตั้งใจเปิดหน้าต่างรับอากาศหนาวเพื่อทำให้ตัวเองป่วย น้ำเสียงของหมอชีฟังดูเหมือนกำลังเตือนนางอย่างเลือนราง

กงจี้ไปแล้ว และหมอชีเองก็กำลังจะตามไป เขารีบพาหมอตี๋ออกไปอย่างรวดเร็ว

สุดท้าย ภายในห้องก็เหลือเพียงสาวใช้หลิงเฟิ่งกับช่างชือจื่อที่นอนหน้าซีดหน้าเขียวอยู่บนเตียง

หลิงเฟิ่งสอดชายผ้าเนื้อนวลให้คุณหนูของตัวเองด้วยความโกรธแค้น “คุณหนูเจ้าคะ ข้าน้อยคิดว่าเจียงป่าวชิงจะต้องจงใจอย่างแน่นอน! ทางฝั่งของคุณหนูเป็นไข้หวัด คุณชายเป็นห่วงคุณหนู เขาจึงมาเยี่ยมไข้ พอเจียงป่าวชิงรู้เข้านางก็จงใจใช้เล่ห์เพทุบายทำเป็นป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคุณชาย ข้าน้อยคิดว่านางต้องจงใจแน่ ๆ เลยเจ้าค่ะ”

หลิงเฟิ่งพูดแบบนี้ ช่างชือจื่อก็คิดว่ามันน่าจะเป็นเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไอ้คนต่ำช้า! นางจงใจทำให้ข้าเสียหน้าแท้ ๆ”

หลิงเฟิ่งรีบพูดขึ้นทันที “ใช่เจ้าค่ะคุณหนู คุณหนูต้องรักษาตัวให้หายไว ๆ ถึงตอนนั้นคุณหนูก็แต่งตัวให้สวย ๆ เพื่อที่เราจะไปทำให้หมอหญิงคนนั้นตกตะลึงในความงามของคุณหนู ให้นางรู้ว่าตัวเองแค่งามนิดหน่อยเท่านั้น พอเทียบกับความงามของคุณหนูแล้ว ความงามของนางยังห่างกับคุณหนูมากเจ้าค่ะ”

อันที่จริงแล้วการที่หลิงเฟิ่งพูดกับคุณหนูของนางไปแบบนั้นคือนางกำลังเห็นแก่ตัว นางรู้นิสัยคุณหนูของนางดี เห็นคุณหนูดูน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้ แต่จริง ๆ แล้วบางครั้งคุณหนูก็มีความดื้อรั้น ทว่าเพราะนางกลัวว่าคุณหนูของนางทำให้ตัวเองป่วยแล้วจะไม่ยอมกินยา นางถึงได้จงใจพยายามโน้มน้าวให้คุณหนูดูแลตัวเองให้หายไว ๆ

และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อช่างชือจื่อได้ฟังที่หลิงเฟิ่งพูด นางก็ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นทันที “เจ้าพูดถูก! ข้าจะทำให้ไอ้คนต่ำช้านั่นรู้ว่าที่นางคิดยั่วยวนพี่ชายกงด้วยความงามนั้นมันเป็นไปไม่ได้”

……

กงจี้กางร่มเตรียมออกไป ขาที่ยังรักษาไม่หายดีในตอนนี้ชักเริ่มแบกรับน้ำหนักไม่ไหวแล้ว แต่สองขาเขายังก้าวไปข้างหน้าตลอด นี่มันเป็นความเจ็บปวดที่แทงลึกเข้าไปในใจ แต่กงจี้กลับไม่รู้สึกถึงมันเลย เขายังคงก้าวยาว ๆ ไปที่บ้านของเจียงป่าวชิง

เมื่อถึงบ้านของเจียงป่าวชิง เขาผลักประตูเข้าไปในห้องของนางโดยตรง

ตอนนี้เจียงป่าวชิงป่วยตัวร้อนจนสติเลอะเลือนแล้ว จังหวะที่นางได้ยินเสียงคนผลักประตูเข้ามา นางก็คิดว่าเป็นเจียงหยุนชานที่กลับมาจากไปหยิบยาจึงพูดขึ้น “พี่มาแล้วหรือเจ้าคะ ?”

ไร้คนตอบรับ แต่มีฝ่ามือเย็นทาบลงมาบนหน้าผากของนาง นางรู้สึกคุ้นเคยกับฝ่ามือนี้อย่างประหลาด เพียงแต่ฝ่ามือนี้ใหญ่กว่าฝ่ามือของเจียงหยุนชานพี่ชายนาง และนิ้วมือก็เรียวกว่ามาก

เจียงป่าวชิงลืมตาขึ้นมา นางเห็นใบหน้าเย็นชาทว่าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบของกงจี้ เขานั่งอยู่ข้างเตียงและกำลังก้มตัวลงมามองนาง

ลึกในดวงตาของกงจี้เต็มไปด้วยความโกรธ แต่เขากลับพยายามเก็บข่มมันไว้

“ทำไมเจ้าป่วยจนกลายเป็นแบบนี้ ?!” กงจี้พยายามระงับความโกรธ “ทำไมเจ้าถึงไม่ส่งคนไปบอกข้า ?”

ยิ่งเป็นห่วงก็ยิ่งโมโหที่นางไม่ดูแลตัวเองดี ๆ

เจียงป่าวชิงหลุบตาลงแล้วพูดขึ้นนิ่ง ๆ “ข้าเห็นว่าคุณชายกงยุ่งมาก ข้าจะไปรบกวนคุณชายกงได้ยังไงล่ะ ? อีกอย่าง ข้าเองก็เหมือนเป็นหมอคนหนึ่ง นี่มันก็โรคไข้หวัดทั่วไปเท่านั้น”

กงจี้ได้ยินน้ำเสียงแหบแห้งของเจียงป่าวชิง เขาก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดห่างเหินและเย็นชาของนาง เขารู้สึกยากที่จะเชื่อ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนถูกทรยศและถูกแทงที่หัวใจ

แต่ท่าทางอ่อนแอของเจียงป่าวชิงในตอนนี้ กลับทำให้เขาบังคับตัวเองเพื่อระงับความเจ็บปวดในใจเอาไว้ เขาพูดขึ้นอย่างเย็นชา “เจียงป่าวชิง นี่เจ้าหมายความว่ายังไง ?”

เจียงป่าวชิงหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า “ความหมายตามนั้น คุณชายกงข้าเหนื่อยแล้ว และข้าไม่อยากเล่นกับเจ้าแล้ว”

เส้นเอ็นบนหน้าผากกงจี้นูนขึ้นมา เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ พูดขึ้น “เล่นกับข้าอย่างนั้นรึ ? เจียงป่าวชิง ความหมายของเจ้าคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรา เจ้าแค่เล่นกับข้าอย่างนั้นหรอกรึ ?” ตอนที่พูดคำว่า ‘เล่น’ คำสุดท้าย กงจี้ก็แทบกัดฟันจนแหลกละเอียดอยู่แล้ว

แต่เจียงป่าวชิงยังคงไม่ยอมมองกงจี้ นางกลัวว่าถ้าหากมองเขา การตัดสินใจอันแน่วแน่ของนางจะพังทลายลงโดยสิ้นเชิง

นางกลัวเหลือเกินว่าน้ำตาของตัวเองจะหลั่งออกมา