บทที่ 64.1 กลุ่มนักรบเฟยหลี่ (1)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

“ข้าขอแนะนำให้ทุกคนทำสมาธิก่อนสัก 2-3 ชั่วโมงเพื่อทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดก่อนที่จะหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ เจ้าจะต้องตั้งมั่นและมีสมาธิอย่างเต็มที่ ให้ตนเองสามารถรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง การไหลเวียน และการเคลื่อนไหวของพลังปราณสวรรค์ได้ตลอดเวลา เมื่อสามารถใช้ความคิดและจิตวิญญาณจดจ่อกับมันได้แล้ว โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็จะมีมากขึ้น เจ้าต้องจำไว้ว่าแม้ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางจะมี 100 แผ่น แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้รับประกันว่าจะสำเร็จแน่นอน ดังนั้นพวกเจ้าควรจะทะนุถนอมทุกๆ แผ่นไว้ให้ดีและพยายามหลอมรวมให้สำเร็จให้ได้ เมื่อข้ากลับมา หวังว่าจะได้เห็นพวกเจ้าทุกคนมีศาสตรามณียุทธ์ชิ้นแรกในครอบครองแล้ว อืม ห้องเรียนของเราจะมีอาจารย์ผู้ช่วยมาเพิ่มดังที่ข้าเคยพูดไว้ เขาเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เช่นกัน หากพวกเจ้ามีคำถามใดๆ เกี่ยวกับเรื่องการหลอมรวมม้วนคัมภีร์ก็สามารถไปสอบถามเขาได้ ตอนนี้เขากำลังหลับอยู่และข้าคาดว่าเขาอาจจะหลับไปอีกสัก 2-3 วันกว่าจะตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง”

อันที่จริงตอนนี้หยุนลี่หลับสนิทอยู่ในหอพักในขณะที่โจวเหว่ยชิงมายืนอยู่ที่นี่พร้อมกับรอยคล้ำรอบดวงตา หลังจากแจกจ่ายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ทั้งหมดแล้ว เขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ที่นี่มีหมิงฮัวและหยุนลี่คอยปกป้องนักเรียนสามัญชนอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่น่าจะถูกพวกชนชั้นสูงกลั่นแกล้งเอาได้ นอกจากนี้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาก็ยังถูกจุดประกายขึ้นแล้ว ดังนั้นใครก็ตามที่พยายามจะกลั่นแกล้งพวกเขาคงจะต้องใช้กำลังของตนเองเข้าต่อสู้จริงๆ

“ปิงเอ๋อร์ ข้าจะกลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อน ถ้าท่านผู้อำนวยการส่งคนมาตามพวกเราก็ให้พวกเขารออยู่ที่นี่สักครู่ก่อน พี่น้องทั้งหลาย ตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวก่อน ในการประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้ ทุกคนรอฟังข่าวดีของหัวหน้าห้องของเจ้าได้เลย! ฮ่าๆๆๆ” เมื่อเขาพูดอย่างนั้น โจวเหว่ยชิงก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

คราวนี้โจวเหว่ยชิงไม่แม้แต่จะกระโดดกำแพงหนีออกไปข้างนอกด้วยซ้ำ ด้วยรูปลักษณ์ปัจจุบันของเขา คนส่วนใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยกับเขาย่อมไม่มีทางจำได้อยู่แล้ว

เขารีบวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็ว อาบน้ำเย็นก่อนจะผลัดเปลี่ยนไปใส่ชุดที่สะอาดสะอ้าน อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เขาไม่ได้สวมชุดนักเรียนสามัญชน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็มุ่งหน้ากลับไปที่โรงเรียนและกระโดดข้ามกำแพงอีกครั้ง ไม่กี่วันมานี้เจ้าแมวอ้วนหรือเสือขาวตัวน้อยนั้นทำตัวติดกับเขาตลอดเวลา ตอนนี้มันจึงกำลังนอนหลับอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างสบายใจ

ในการออกเดินทางครั้งนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ได้พาต้าหวงและเอ้อหวงไปด้วย

บางทีอาจเป็นเพราะทั้งสองตัวคลุกคลีกับเจ้าแมวอ้วนตัวน้อยอยู่เป็นประจำ พวกมันจึงชอบนอนหลับเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งทุกครั้งที่พวกมันนอนหลับมักจะกินเวลายาวนานหลายวันมาก และเนื่องจากพวกมันกินจุมากเช่นกัน หมียักษ์ทั้งสองตั้วจึงโตวันโตคืนอย่างรวดเร็ว

เมื่อโจวเหว่ยชิงกลับมาที่โรงเรียน เขาก็เห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์และเย่เป่าเปารออยู่ที่ประตูด้านหน้าแล้ว ข้างๆ พวกเขามีคณบดีเสี่ยวยืนอยู่ด้วย เย่เป่าเปายังคงสวมชุดนักเรียนชนชั้นสูงและไม่ได้ถือกระเป๋ามาด้วย ดังนั้นโจวเหว่ยชิงจึงเดาว่าเขาน่าจะพกอุปกรณ์ธาตุมิติมาด้วยแน่นอน โจวเหว่ยชิงเคยได้ยินจากโข่วรุ่ยว่าเย่เป่าเปาเป็นหลานชายคนโตของเสนาบดีในอาณาจักรเฟยหลี่ เขาถูกรับเลือกและได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเพื่อให้เป็นผู้สืบทอดตระกูลเย่คนต่อไป อีกทั้งเขายังเป็นคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นและมีอนาคตยาวไกลที่สุดในบรรดาลูกหลานตระกูลเย่ นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขามีสถานะสูงส่งในโรงเรียนทหารเฟยหลี่

ตอนนี้เพิ่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง แม้ว่าอากาศจะค่อนข้างร้อน แต่เวลานี้ก็เริ่มเย็นลงบ้างแล้ว ในช่วงเวลาเช้าตรู่เช่นนี้อากาศมักจะปลอดโปร่งและสดชื่น โดยเฉพาะบริเวณใกล้ๆ ทะเลสาบเฟยหลี่ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียน อากาศที่ชุ่มชื้นและหนาวเย็นทำให้พวกเขาต่างก็รู้สึกสดชื่นแจ่มใส

“อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านคณบดีเสี่ยว” โจวเหว่ยชิงเดินไปข้างหน้า และโค้งคำนับให้กับเสี่ยวฉือ

เสี่ยวฉือยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ครานี้พวกเจ้าทั้ง 3 คนจะเป็นตัวแทนโรงเรียนของเราไปเข้าร่วมการประลองมณีสวรรค์ แม้จะเป็นเพียงตัวสำรอง แต่พวกเจ้าก็ยังเป็นตัวแทนจากโรงเรียนของเรา ที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นตัวแทนของอาณาจักรเฟยหลี่ทั้งหมด พวกเจ้าทุกคนเป็นเด็กฉลาด ดังนั้นข้าก็จะไม่เน้นย้ำอะไรเพิ่มเติมอีก ในบรรดาพวกเจ้าทั้ง 3 คน เย่เป่าเปาเป็นคนที่มีอายุมากที่สุด ดังนั้นเขาจะเป็นผู้นำของพวกเจ้าในช่วงเวลานี้ ในเวลาเดียวกัน เจ้าทุกคนก็ต้องรักษาความสัมพันธ์กับสมาชิกกลุ่มหลักที่มาจากโรงเรียนเจ้ามณีด้วย อย่าปะทะกับพวกเขาและพยายามให้ความร่วมมือกับพวกเขาให้มากที่สุด”

ทั้ง 3 คนสบตากันก่อนที่จะพยักหน้าให้เสี่ยวฉือ จากนั้นท่านอธิการบดีก็หยิบบัตรใบหนึ่งออกมาส่งให้เย่เป่าเปา “บัตรนี้มีเงินอยู่ 2,000 เหรียญทอง เป็นเงินสำรองฉุกเฉินในช่วง 3 เดือนของพวกเจ้า ถึงจะเป็นจำนวนไม่มาก แต่เป็นก็เงินสนับสนุนจากโรงเรียน ส่วนชุดประจำกลุ่มจะแจกจ่ายให้ที่โรงเรียนเจ้ามณีในภายหลัง เอาล่ะ ทั้งหมดก็มีเท่านี้ ออกเดินทางกันเถอะ”

โรงเรียนเจ้ามณีตั้งอยู่ใกล้กับ โรงเรียนทหารเฟยหลี่มาก อาจกล่าวได้ว่าห่างกันไม่กี่ช่วงกำแพงเท่านั้น แม้ว่าจำนวนนักเรียนทั้งหมดของโรงเรียนเจ้ามณีจะมีเพียงร้อยกว่าคน แต่อาณาเขตโรงเรียนก็ไม่ได้เล็กไปกว่าโรงเรียนทหารเฟยหลี่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นคือนักเรียนทุกคนที่นี่ถือว่าเป็นหัวกะทิในหมู่จ้าวมณีอยู่แล้ว ดังนั้นไม่เพียงแต่จะไม่เก็บค่าเทอม แต่นักเรียนของพวกเขายังได้รับเงินค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ มาใช้จ่ายอีกด้วย นักเรียนที่มีความสามารถโดดเด่น โดยเฉพาะบางคนที่มีพรสวรรค์สูงๆ จะได้รับมอบศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บจากโรงเรียนโดยที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดโรงเรียนจะเป็นผู้สนับสนุนให้ แม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ในหอพักก็ยังดูดีกว่าโรงเรียนทหารเฟยหลี่มาก นักเรียนแต่ละคนมีห้องส่วนตัวขนาดใหญ่ซึ่งแตกต่างจากหอพักรวมของโรงเรียนทหารเฟยหลี่ราวฟ้ากับเหว

หลังจากที่เสี่ยวฉือนำทั้ง 3 คนมาถึงโรงเรียนเจ้ามณี พวกเขาก็พบอาจารย์คนหนึ่งยืนรอพวกเขาอยู่ด้านนอกประตูแล้ว

อาจารย์ที่ยืนรอพวกเขาน่าจะมีอายุราวๆ 40 ปี สีหน้าท่าทางของเขาดูหนักแน่นมั่นคงและน่าเชื่อถือ เมื่อเขาเห็นเสี่ยวฉือ เขาก็เดินออกมาต้อนรับพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ในเวลาเดียวกันสายตาของเขาก็กวาดมองนักเรียนทั้ง 3 คนตั้งแต่หัวจรดเท้า

แม้ว่าเขาจะไม่ได้แผ่รังสีกดดันออกมาเป็นพิเศษ แต่เมื่อสายตาของเขากวาดผ่านนักเรียนทั้ง 3 ทั้งโจวเหว่ยชิงและคนอื่นๆต่างก็รู้สึกถึงแรงกดดันของเขาได้ นั่นจึงพิสูจน์ได้ว่าอาจารย์ผู้นี้ทรงพลังเพียงใด

“คณบดีเสี่ยว ข้าดีใจที่ได้พบท่านอีกครั้ง คราวนี้ก็รบกวนท่านแล้ว” อาจารย์คนนั้นกล่าวกับเสี่ยวฉืออย่างสุภาพ

เสี่ยวฉือหัวเราะและพูดว่า “ไม่มีปัญหา นั่นเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ถึงอย่างไรสิ่งนี้ก็เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงและเกียรติยศของอาณาจักรเรา ทั้งยังเป็นเกียรติประวัติของโรงเรียนเราอีกด้วย ท่านผู้อำนวยการขอให้ข้าพาเด็กๆ เหล่านี้มาส่ง ข้าจึงต้องรบกวนอาจารย์หลี่ดูแลพวกเขาให้ดีด้วย”

โจวเหว่ยชิงจ้องมองที่อาจารย์หลี่คนนี้ตลอดเวลา เขาสังเกตเห็นแววรังเกียจวูบผ่านในดวงตาของอีกฝ่ายเมื่อเสี่ยวฉือพูดถึงเกียรติของโรงเรียนทั้ง 2 แห่ง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้เห็นโรงเรียนของพวกเขาอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ

อาจารย์หลี่กล่าวว่า “ท่านคณบดีเสี่ยวอย่าได้เกรงใจไปเลย ตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวไปก่อน ข้าจะนำพวกเขาเข้าไปข้างในเอง การประลองในครั้งนี้กลุ่มของเราจะมีนักเรียนอันดับหนึ่งจากโรงเรียนจ้าวมณีเป็นผู้นำ เขาเข้าร่วมการประลองมณีสวรรค์เมื่อรอบที่แล้วด้วย เราจึงเชื่อมั่นในความเป็นผู้นำของเขามาก ดังนั้นพวกเราจะไม่ส่งอาจารย์ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ด้วย”

เมื่อเสี่ยวฉือได้ยินเช่นนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ให้นักเรียนคนหนึ่งเป็นผู้นำโดยไม่มีอาจารย์ผู้สอนติดตามไปด้วย? นั่นไม่ประมาทเกินไปหน่อยหรือ?”

ความภาคภูมิใจปรากฏขึ้นในดวงตาของอาจารย์หลี่ในขณะที่เขากล่าวว่า “นักเรียนผู้นี้ได้รับการยกย่องจากท่านผู้อำนวยการหลายครั้ง ที่สำคัญพลังของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าข้า หลังจากการประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้สิ้นสุดลง เขาก็จะจบการศึกษาจากโรงเรียนเช่นกัน ในศึกรอบนี้ ไม่แน่ว่าภายใต้คำแนะนำของเขา อาจถึงเวลาแล้วที่อาณาจักรของเราจะได้เฉิดฉายเสียที บางทีอาจจะมีโอกาสได้เข้าสู่ 4 อันดับแรกด้วยซ้ำ”

เสี่ยวฉืออดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ อย่างไรเขาก็รู้ดีว่าอาจารย์หลี่คนนี้เป็นหนึ่งในผู้ทรงพลังอันดับต้นๆ จากบรรดาจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะที่มีมณี 6 ชุดทั้งหมด แม้ว่าเขาจะยังไม่ไปถึงระดับเทวะ แต่การที่เขายกย่องนักเรียนคนหนึ่งมากขนาดนี้ก็เห็นได้ชัดว่านักเรียนอันดับหนึ่งผู้นั้นโดดเด่นเพียงใด

ด้วยเหตุนี้เสี่ยวฉือจึงยิ้มแย้มและกล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเราก็โชคดีเหลือเกินที่จะได้ร่วมงานกับเขา อาจารย์หลี่ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน”

อาจารย์หลี่คำนับตอบอีกฝ่ายเล็กน้อย ขณะมองดูเสี่ยวฉือเดินจากไป รอยยิ้มของเขาก็เลือนหายไปในพริบตา เขาพยักหน้าให้โจวเหว่ยชิงและคนอื่นๆ ก่อนจะพูดว่า “มาตามข้ามา” หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็หันหลังกลับและเดินออกไป

เสียงแผ่วเบาของเย่เป่าเปาดังขึ้นในหูของโจวเหว่ยชิง “ น้องชาย อย่าคิดมากกับเรื่องนี้เลย โรงเรียนเจ้ามณีก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ทว่าพวกเขาก็สามารถชูคอเช่นนี้ได้จริงๆ เพราะถึงอย่างไรก็อาจกล่าวได้ว่าผู้ทรงพลังส่วนใหญ่ในอาณาจักรเฟยหลี่ของเราก็สำเร็จการศึกษามาจากโรงเรียนแห่งนี้กันทั้งนั้น”

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย ยิ่งมีพลังสูงส่งก็ยิ่งทะนงตัว นั่นเป็นหลักการที่เขาเข้าใจได้

อาจารย์หลี่ไม่ได้หันศีรษะกลับมามองพวกเขาในขณะที่พาทั้ง 3 คนเข้าไปในโรงเรียนเจ้ามณี อาคารหลักของโรงเรียนไม่ได้ใหญ่โตเท่ากับโรงเรียนทหารเฟยหลี่ แต่สนามหญ้าและสนามกีฬาของพวกเขากลับมีขนาดใหญ่กว่ามาก ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นพื้นที่หลายส่วน แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าแต่ละส่วนมีไว้เพื่ออะไรก็ตาม

อาจารย์หลี่เดินนำพวกเขาเข้าไปข้างในเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดบริเวณกลางสนาม ในที่สุดเขาก็เอ่ยว่า “พวกเจ้าทั้ง 3 คนรออยู่ที่นี่ สมาชิกกลุ่มหลักจะมารวมกับพวกเจ้าบริเวณนี้ก่อนออกเดินทาง จำไว้ว่าการกระทำของเจ้าเป็นตัวแทนเกียรติยศของอาณาจักรเฟยหลี่ของเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องออกไปต่อสู้ แต่ควรระมัดระวังคำพูดและการกระทำของตนเองให้ดี อย่าก่อปัญหาหรือขัดขวางการทำงานของกลุ่มหลัก มิฉะนั้นแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้มาจากโรงเรียนของเรา พวกเจ้าก็ยังจะถูกลงโทษอย่างรุนแรงเมื่อกลับมาถึงที่นี่ เข้าใจหรือไม่?”

สายตาแหลมคมทิ่มแทงพวกเขาจนพรุน แรงกดดันที่มองไม่เห็นดูเหมือนจะค่อยๆ บีบรัดรอบตัวโจวเหว่ยชิงและคนอื่นๆ จนหายใจไม่ออก เย่เป่าเปารีบพูดแทรกว่า “พวกเราเข้าใจแล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดอาจารย์หลี่ก็จากไปโดยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

หลังจากที่เขาจากไป เย่เป่าเปาก็เอ่ยออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “พวกที่มาจากโรงเรียนเจ้ามณีนั้นยิ่งยโสและทะนงตัวเกินไปจริงๆ เหว่ยชิง เจ้าคิดว่าอาจารย์หลี่มีระดับพลังปราณอยู่ขั้นใด?”

ใบหน้าของโจวเหว่ยชิงดูราบเรียบเช่นเคย อย่างไรเขาก็คุ้นเคยกับการถูกจ้องมองด้วยสายตาดูถูกมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถเพิกเฉยต่อสายตาเช่นนี้ได้อย่างง่ายดาย

เขากล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า “ระดับพลังปราณของอาจารย์หลี่น่าจะสูงมาก ข้าประเมินว่าอย่างน้อยเขาก็น่าจะมีมณีสัก 5 ชุด อืม อาจจะเป็น 6 ชุด”

เย่เป่าเปาพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าเกณฑ์การรับเข้าเรียนของโรงเรียนเจ้ามณีนั้นเข้มงวดมาก เหล่านักเรียนไม่เพียงแต่จะต้องมีมณี 2 ดวงเท่านั้น พวกเขายังต้องผ่านการทดสอบที่เข้มงวดหลากหลายอย่าง หากศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บของพวกเขาไม่ได้มาตรฐาน พวกเขาก็อาจถูกโรงเรียนปฏิเสธได้ สำหรับอาจารย์ที่โรงเรียนแห่งนี้จะจ้าง ข้อกำหนดขั้นต่ำคือต้องเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ดวง อาจกล่าวได้ว่าโรงเรียนแห่งนี้มีแต่พวกหัวกะทิในบรรดาหัวกะทิทั้งหมด โรงเรียนของเราผลิตแม่ทัพมากที่สุด แต่สถานที่แห่งนี้ก็เป็นแหล่งกำเนิดบุคคลทรงพลังมากมาย โชคดีที่โรงเรียนของพวกเราเป็นมิตร เกื้อกูลและไม่แข่งขันกัน มิฉะนั้นทัศนคติที่พวกเขามีต่อเราอาจแย่ลงไปกว่านี้อีก เมื่อสักครู่ อาจารย์หลี่บอกว่าการเดินทางครั้งนี้หัวหน้ากลุ่มจะเป็นนักเรียนอันดับหนึ่งในโรงเรียนนี้…หรือว่าจะเป็นเขา?”

“เขาเหรอ? เขาเป็นใครล่ะ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

เย่เป่าเปาหยุดชะงักและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่ามีอัจริยะรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งอยู่ในโรงเรียนเจ้ามณีแห่งนี้ ตอนที่เขาสมัครเข้ามาเรียนที่นี่ เห็นว่าเขามีมณี 3 ชุดตั้งแต่อายุยังน้อย หลังจากปีแรกผ่านไป เขาก็ทะลุไปถึงระดับ 4 ชุดได้แล้ว ส่วนตอนนี้…เขาน่าจะอยู่ในระดับมณี 5 ชุด มิฉะนั้นอาจารย์หลี่คงจะไม่บอกว่านักเรียนคนนี้สามารถต่อสู้กับเขาได้สูสี ทว่าคนผู้นี้มักจะชอบเก็บตัวและแม้ว่าข้าจะพยายามตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเขามากแค่ไหน แต่ข้าก็ไม่พบอะไรที่เป็นประโยชน์เลย โรงเรียนเจ้ามณีปกป้องและเก็บความลับของเขาเอาไว้เป็นอย่างดี อันที่จริงหลังจากที่ท่านพ่อของข้ารู้เรื่องที่ข้าสืบข่าวคราวเกี่ยวกับเขา เขาก็ต่อว่าข้าหนักเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าในที่สุดวันนี้เราก็จะได้พบกับบุคคลในตำนานเสียที”

เมื่อเขาพูดจบ กลุ่มคนจำนวน 5 คนก็เดินออกจากอาคารหลักและมุ่งหน้ามาหาพวกเขา