บทที่ 195 สุราพลังปราณ... พร้อมเปิดแล้ว

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“พี่ใหญ่ หมายเลขเจ็ดโดนหยามหน้าเสียยับขนาดนี้ เราต้องไปแก้แค้นสิขอรับถึงจะถูก” ชายหนวดหนาร่างก็หนาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนยังไม่อยากยอมแพ้ หนวดบนหน้าเขากระตุกรัวด้วยโทสะอันควบคุมไม่อยู่

“ไปแก้แค้นเช่นนั้นรึ เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดพวกขั้นนักพรตยุทธการทั้งหลายถึงไม่กล้าบุกเข้าไปชิงต้นตื่นรู้ทางห้าสายมาซึ่งๆ หน้า” หูอี้เฟิงเหลือบตามองบรรดาพี่น้องของเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

ทุกคนอึ้งกิมกี่ไปทันที คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจจริงๆ ร้านนั้นเป็นเพียงร้านอาหารเล็กๆ เท่านั้น แถมเจ้าของร้านยังมีพลังปราณอยู่แค่ระดับห้าขั้นราชันยุทธการ ไม่ได้ต่างอะไรจากมดปลวกในสายตาพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการเป็นโขยงคงไม่กลัวกับอีแค่ขั้นราชันยุทธการคนเดียวหรอกใช่ไหม

นี่เป็นเรื่องน่าขันที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

“พอมาถึงนครหลวงข้าก็สั่งให้คนไปสืบหาปูมหลังของร้านที่ว่านี่ ร้านอาหารเล็กๆ นี้ดูไม่ได้สลักสำคัญอะไรใช่หรือไม่ แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น…” หูอี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าพร้อมเปิดปากอธิบาย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่ได้มาถูกต้องเพียงใด แต่ปลอดภัยไว้ก็ยังดีกว่ามาร้องไห้ที่หลัง

“ข้อมูลที่ได้มาบอกว่าหุ่นยนต์ที่ร้านนั้นสยบได้แม้กระทั่งขั้นนักพรตยุทธการ ทั้งยังมีอสูรเวทในตำนานนอนเฝ้าปากทางเข้าร้านอยู่ เรื่องอสูรเวทระดับเก้านี้น่าจะเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น แต่ต่อให้ไม่ได้เป็นอสูรเวทระดับเก้าในตำนานจริง อย่างน้อยก็น่าจะมีระดับเจ็ดแน่นอน หากร้านมีผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการเฝ้าอยู่ เจ้ากล้าเดินดุ่มๆ เข้าไปโดยไม่ดูตาม้าตาเรือรึ”

หูอี้เฟิงถามด้วยสีหน้าจริงจังขณะบรรยายข้อมูลของร้าน เล่นเอาบรรดาฝูงชนตาโตเป็นไข่ห่าน

ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดตัวสั่นขึ้นมาทันที พับผ่าสิ… ไม่แปลกใจเลย หุ่นยนต์นั่นไม่ใช่ก้อนเศษเหล็กธรรมดาจริงๆ เสียด้วย! ไอ้หุ่นยนต์เวรตะไลนั่นสยบได้แม้กระทั่งขั้นนักพรตยุทธการ… ช่างน่าขนพองสยองเกล้าอะไรเช่นนี้!

“ดังนั้นการที่หมายเลขเจ็ดรอดชีวิตกลับมาได้ก็ถือว่าปาฏิหาริย์มากแล้ว” หูอี้เฟิงกล่าว

“พี่ใหญ่ แต่หากเราปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้ ข้าหมายเลขเจ็ดคนนี้คงยอมไม่ได้!” ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดกัดฟันกรอดพร้อมบ่นพึมพำ เมื่อนึกถึงการที่ตนเองต้องวิ่งแก้ผ้าทั่วเมืองจนทำให้รู้สึกอดสูเหลือทนนั้น เขาก็รู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้าอยากหาทางระบายออก

หูอี้เฟิงเดินวนทั่วห้องพร้อมเอามือไพล่หลัง ดวงตาหรี่เล็ก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงสงบ “อย่างไรเสียเราก็ต้องแก้แค้นแน่นอน แต่จะบุ่มบ่ามไปไม่ได้… ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม”

  …

“สวรรค์ช่วย! ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้… อสูรผีบ้าอะไรนี่!”

“แม่จ๋า! สิงโต! สิงโตกินคน!”

“นี่มันอสูรเวทสิงโตนี่ ตัวใหญ่อย่างกับอะไรดี…”

ราชสีห์โลกันตร์ตัวมหึมาเดินนวยนาดอยู่บนถนนสายหลักของนครหลวง เกือบทำให้หินทุกก้อนที่มันเหยียบลงไปร้อนระอุเป็นหลอมละลาย ดวงตาคมกริบมองจ้องไปที่บรรดามนุษย์ต่ำต้อยรอบกาย

มันร้องคำรามจนชาวบ้านต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดงบนหลังราชสีห์โลกันตร์หัวเราะคิกคัก จากนั้นก็เอามือลูบศีรษะของสิงโตเพื่อทำให้มันใจเย็นลง

“ใจเย็นๆ ก่อน อย่าทำให้คนอื่นตกใจกลัวไป” เสียงของชายหนุ่มผู้นั้นอ่อนโยน ดวงตาดูเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ขณะมองถนนหนทางของนครหลวงที่แสนจอแจ

ทันใดนั้นร่างหนาก็พุ่งจากระยะไกลมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

รูม่านตาของชายในชุดแดงหดแคบลงเล็กน้อย จ้องเขม็งไปที่ชายร่างหนาตรงหน้า จากนั้นเขาก็ยิ้มบางแล้วพยักหน้าตอบรับ ชายร่างกำยำแผ่พลังปราณแข็งแกร่งออกจากร่าง ระดับของพลังอยู่ที่ขั้นนักพรตยุทธการ

“อสูรเวทของท่านยอดเยี่ยมดีแท้ แต่นครหลวงของเรามีกฎห้ามอสูรเวทสัญจรไปมาบนถนนหนทาง ทางเราหวังว่าท่านจะเข้าใจ” เซียวเหมิงมองชายตรงหน้าและอสูรเวทด้วยสายตาเคร่งขรึมจริงจัง หัวใจกระตุกอยู่ในอก

อสูรเวทระดับเจ็ดราชสีห์โลกันตร์กับผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ ช่างเป็นการรวมตัวที่น่ายำเกรงอะไรเช่นนี้

“ข้ามีนามว่ามู่หลิงเฟิงจาก… ดินแดนป่ารกชัฏ ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงแห่งนครหลวง รวมถึงความแข็งแกร่งน่ายำเกรงของท่านมานาน พอได้พบท่านวันนี้ ต้องขอบอกว่าคำสรรเสริญเหล่านั้นไม่ได้เกินความจริงแต่อย่างใด” ชายในชุดแดงมู่หลิงเฟิงยิ้มกริ่ม

เขากระโดดลงจากหลังราชสีห์แล้วลูบศีรษะของมันหนึ่งที จากนั้นก็เรียกแผ่นวงแหวนปราณทำจากหยกคุณภาพสูงลิ่วออกมาถือไว้ในมือ อสูรเวทตรงหน้ากลายสภาพเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในแผ่นวงแหวนหยกทันที

รูม่านตาของเซียวเหมิงหดแคบอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่สูดหายใจเข้าลึกด้วยความตกใจ คนจากดินแดนป่ารกชัฏมีความรู้เรื่องอสูรเวทลึกซึ้งถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่าจะเป็นคนสำคัญจากกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งกัน!

แม้แต่คนระดับนี้ก็เข้ามาเล่นด้วยหรือนี่… อนาคตอันใกล้นี้ช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง!

“เชิญตามข้ามาทางนี้ ข้าได้จัดที่พักอาศัยอันยอดเยี่ยมเอาไว้ให้ท่านเรียบร้อยแล้ว” เซียวเหมิงเอ่ย

มู่หลิงเฟิงหันไปมองเซียวเหมิงด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธคำเชิญชวน เขาเดินตามชายตรงหน้าไปอย่างไม่รีบร้อนอะไร

  …

“แม่นาง ปิ่นปักผมหยกนี้ทำมาจากวัสดุคุณภาพเยี่ยมอย่างแน่นอน ลองดูสีสิขอรับ ช่างระยิบระยับจับตาเป็นประกายเหลือเกิน ราคาหนึ่งเหรียญทองนี้ไม่ได้จัดว่าแพงเกินไปแต่อย่างใด!”

บนถนนสายหลัก พ่อค้าผู้หนึ่งกำลังจ้องไปที่หญิงสาวท่าทางเหนียมอายในชุดเกราะนักรบไม่วางตา ปากก็ขยับพูดโฆษณาสินค้าของตนเองไปด้วย สัญชาตญาณของเขาบอกว่าแม่นางคนนี้ท่าทางจะเป็นหมูในอวย ดูจากใบหน้าอันแสนจืดชืดไม่ค่อยทันคนของนางแล้วต้องหลอกง่ายแน่นอน

“หนึ่งเหรียญทองเชียวรึ” นางมีสีหน้าลังเล ดวงตายังคงประเมินคุณภาพของปิ่นหยกตรงหน้าด้วยสายตาฉงนสงสัย

วัสดุของปิ่นหยกนี้ดูธรรมดาเป็นอันมาก ดูเหมือนการเอาเศษหยกมาแปะเข้าด้วยกันมากกว่า หรือว่าจะมีคุณสมบัติพิเศษอื่นกันนะ

“แม่นาง ข้าเป็นแค่เจ้าของร้านเล็กๆ เท่านั้น ถึงหน้าตาของปิ่นหยกนี้จะดูธรรมดา แต่มันมีคุณสมบัติพิเศษที่ไม่เหมือนใคร หากปักไปที่มวยผม ท่านจะรู้สึกสงบนิ่งมีสมาธิเป็นอันมาก และยังช่วยในการฝึกปราณได้เป็นอย่างดี แค่มองปราดเดียวข้าก็รู้แล้วว่าท่านเป็นนักรบ ปิ่นหยกนี้จึงยิ่งเหมาะกับท่านเข้าไปใหญ่” พ่อค้าพยายามพูดเกลี้ยกล่อมพร้อมทำตาล่อกแล่กไปมา

เมื่อได้ยินคำอวดอ้างนั้น แม่นางผู้นี้ก็เริ่มคล้อยตาม ยิ่งนางมองปิ่นหยกมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความพิเศษที่พ่อค้าเป่าหูมากขึ้นเท่านั้น หรือว่าไอ้ปิ่นยกนี่จะเป็นอุปกรณ์พลังปราณอย่างหนึ่งกันนะ

พอคิดได้ว่าตนเองอาจจะเจอขุมทรัพย์เข้าให้แล้ว หญิงสาวก็รีบล้วงมือลงไปหยิบกระเป๋าเงินเพื่อจ่าย

“เฮ้ สาวน้อย ไม่ได้เจอกันเสียหลายปี เจ้ายังเซ่อซ่าเงอะงะน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ”

ขณะที่แม่นางผู้นั้นกำลังจะหยิบเหรียญทองออกมา แขนเนียนขาวเรียบสวยเหมือนหยกมีค่าก็ยื่นมาโอบคอของนางไว้ จากนั้นใบหน้าสวยเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นให้เห็น พร้อมคำพูดเปื้อนยิ้ม

“พี่หญิงหนี่หยัน! มาทำอะไรที่นี่หรือเจ้าคะ” เมื่อแม่นางผู้นั้นเห็นว่าใครกันที่มายืนอยู่ข้างกาย ดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นทันที

หนี่หยันลูบศีรษะแม่นางผู้นั้นเบาๆ แล้วหยิบปิ่นหยกออกจากมืออีกฝ่าย ก่อนหันไปยิ้มเยาะคนขาย “ไหนเจ้าพูดอีกทีซิ”

พ่อค้าผู้นั้นไม่ได้คาดคิดว่าจู่ๆ จะมีหญิงงามปรากฏตัวขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เขากระสับกระส่ายไปมา ตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้น มือของหญิงสาวก็พลันดูบิดเบี้ยว ปิ่นหยกในมือนางกำลังละลายกลายเป็นเศษซากด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

แม่เจ้า! พ่อค้าผู้นั้นแทบจะกลั้นความกลัวเอาไว้ไม่อยู่ แม่นางผู้นี้… เป็นปีศาจชัดๆ!

“ขยะแบบนี้เหรียญทองแดงเดียวยังไม่ได้เลย แต่เจ้ากลับหน้าหนาหน้าทนมาขายในราคาหนึ่งเหรียญทอง ไม่กลัวโดนเลาะฟันหมดปากหรือ” หนี่หยันบ่นเสียงเย็น

พ่อค้าผู้นั้นรู้สึกขมขื่นอยู่ในอก แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

หนี่หยันเองก็รู้สึกเบื่อกับความขี้ขลาดของพ่อค้าผู้นี้พอดี จึงเตรียมตัวจากไปพร้อมแม่นางที่นางกอดคอเอาไว้

“ยี่จือหลิงหนอยี่จือหลิง เหตุใดท่านอาจารย์ของเจ้าถึงกล้าให้เจ้าออกมาเผชิญโลกกว้างคนเดียวได้ เจ้านี่มันประเภทที่จะโดนหลอกจับไปขายให้ไอ้พวกพ่อค้ามนุษย์ยืนนับเงินสบายใจเฉิบแท้ๆ เชียว!” หนี่หยันเหลือบตามองแม่นางข้างกายที่กำลังกัดผลไม้กิน

“ข้าไม่กลัวหรอก หากต้องสู้กันหมอนั่นย่อมทำอะไรข้าไม่ได้แน่” ยี่จือหลิงกะพริบตาแล้วตอบทั้งที่ยังมีผลไม้เต็มปาก

“ก็จริง แม้เจ้าจะตามคนไม่ทัน แต่เรื่องพลังปราณก็จัดว่าใช้ได้” หนี่หยันเอ่ย “มาเถิด ข้าจะพาสาวน้อยผู้รักการกินเป็นชีวิตจิตใจอย่างเจ้าไปกินอาหารเลิศรส”

ดวงตาของยี่จือหลิงเป็นประกายขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำว่าอาหารเลิศรส ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาด้วยความตื่นเต้น

“นายท่านบอกให้ข้ามาแสวงโชคที่นครหลวง พี่หญิงหนี่หยัน ท่านรู้หรือไม่ว่าโชคที่ว่านั้นอยู่หนใด” ยี่จื่อหลิงเดินตามหนี่หยันไปแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงุนงง

“ใครจะไปรู้ใครจะไปสน หากมีโชคที่ว่านั่นอยู่จริง พอถึงเวลามันก็จะมาหาเจ้าเอง” หนี่หยันยิ้ม ผู้อาวุโสสูงสุดเองก็ส่งนางออกมาแสวงโชคเช่นกัน แต่ไอ้บ้าหน้าไหนมันจะไปรู้กันว่าโชคที่ว่านั่นคืออะไร

ต้นตื่นรู้ทางห้าสายเช่นนั้นหรือ ก็อาจจะเป็นไปได้…

ร่างอีกสามร่างมายืนอยู่ที่นอกประตูนครหลวงในที่สุด

อู๋อวิ๋นไป่มองกำแพงเมืองสูงตระหง่านของจักรวรรดิวายุแผ่วแล้วหยีตาเล็ก จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังม้า นางเดินจูงอสูรเวทอาชาของตนไปทางประตูเมือง

หลังจากที่เดินทางอยู่หนึ่งเดือนเต็ม นางก็จากตำหนักเมฆาขาวมาถึงนครหลวงในที่สุด

“ไอ้ตัวเหม็น… คงยังจำได้นะว่าเจ้าบอกไว้ว่าจะเหลือเม็ดบัวให้ข้าบ้าง” อู๋อวิ๋นไป่พึมพำจากนั้นก็เดินเข้าเมืองไปโดยไม่มีปัญหาอะไร

  …

หลังจากส่งเจวี้ยนเอ๋อร์ซึ่งดูลิงโลดใจและโอวหยางเสี่ยวอี้ที่เหนื่อยอ่อนกลับไปแล้ว ร้านของปู้ฟางก็ถึงเวลาปิดเสียที

ปู้ฟางยืดเส้นยืดสายแล้วจัดการปิดทางเข้า

ต้นตื่นรู้ทางห้าสายในกระถางดินเผาสีเหลืองน่าเกลียดบัดนี้สูงถึงสามฉื่อแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงพลังงานแสนประหลาดที่ต้นไม้ต้นนี้แผ่ออกมา

จากคำอธิบายของโอวหยางเสี่ยวอี้ กระแสพลังนี้คือศีลแห่งการบรรลุที่ต้นไม้นี้ปล่อยออกมาตามธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ฝึกตนสามารถเพิ่มพูนพลังปราณได้เร็วขึ้น และอาจทำให้มีโอกาสบรรลุขั้นปราณได้

ระหว่างช่วงพัก เด็กหญิงจะไปนั่งข้างต้นไม้เพื่อฝึกปราณของตน

แม้ปู้ฟางจะสัมผัสได้ถึงกระแสพลังงานที่ต้นไม้ต้นนี้ปล่อยออกมา ทว่ามันก็ไม่ได้มีผลกับขั้นปราณของเขาแต่อย่างใด เนื่องจากการบรรลุของเขาไม่ได้มาจากการฝึกปราณ แต่เป็นรายรับในหน่วยผลึกของร้านต่างหาก

กระนั้นตัวเขาเองก็รู้ดีว่าต้นตื่นรู้ทางห้าสายนี้มีมูลค่ามากเพียงใด เขาหันหลังกลับเพื่อเดินเข้าห้องครัว แล้วตักน้ำสะอาดใสเต็มไปด้วยพลังปราณมาหนึ่งถ้วย เพื่อจัดการรดน้ำต้นไม้

“ร้านเรายังเขียวธรรมชาติไม่พอ ดื่มน้ำเพิ่มแล้วแตกใบออกมาให้มากกว่านี้หน่อย” ชายหนุ่มพูดกับต้นไม้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าครัวไปฝึกทักษะการใช้มีด แล้วเดินไปที่ตู้ด้วยท่าทางสงบนิ่งสงวนอาการ

แต่ในใจของชายหนุ่มกลับรู้สึกตื่นเต้นเป็นอันมาก เหตุผลก็ไม่ใช่ใดอื่น นอกจากว่าวันนี้จะเป็นวันที่สุราสามชนิดซึ่งเขาหมักไว้ใช้การได้เสียที

ทันทีที่เปิดประตูตู้ กลิ่นหอมเหมือนน้ำทะเลก็โชยมา

บรรยากาศของทะเลเป็นบรรยากาศที่เกิดขึ้นภายในตู้เท่านั้น ปู้ฟางแทบจะได้รสเค็มของอากาศเลยทีเดียว

เขาโบกมือไล่ความเค็มเพื่อทำให้กลิ่นเบาบางลง ดวงตาจ้องไปที่ถังใหญ่ซึ่งวางนิ่งอยู่ในตู้

ถังนั้นยังหน้าตาเหมือนเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วไม่มีผิด แต่ปู้ฟางรู้ดีว่าภายในนั้นเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ชายหนุ่มยกแขนโอบรอบถังสุราพร้อมส่งกระแสพลังปราณเข้าไป แต่ก็พบว่าถังนั้นหนักขึ้นมากจนไม่สามารถยกไหว

เขานิ่วหน้าแล้วเพิ่มระดับพลังปราณขึ้น จนสามารถยกถังสุราออกจากตู้มาวางไว้บนพื้นได้ในที่สุด

ฝาถังถูกปิดเอาไว้แน่นจนอากาศเข้าไม่ได้ แปลว่าย่อมไม่มีกลิ่นใดเล็ดรอดออกมาได้แม้แต่น้อย แต่นี่กลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสงสัยใคร่รู้มากขึ้นไปอีก

เขาวางมือลงบนฝาด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็ส่งแรงกดเข้าไปเล็กน้อย เสียงป๊อกเบาๆ ดังขึ้น ในที่สุดฝาถังก็เปิดออก