บทที่ 172.2 พบเจอความอยุติธรรมบนเส้นทางแห่งยุทธภพ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 172.2 พบเจอความอยุติธรรมบนเส้นทางแห่งยุทธภพ โดย ProjectZyphon

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำถูกเด็กหนุ่มรองเท้าแตะชิงลงมือตัดหน้าไปก้าวหนึ่ง ตอนแรกเขาอึ้งตะลึงอยู่กับการลงมือที่รวดเร็วดุจสายฟ้าคำรามของเด็กหนุ่ม จากนั้นก็กลัวว่าหากฝ่ายตนร่วมมือกันใช้พลังสังหารที่รุนแรงจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์ จึงตกอยู่ในสภาะเลือกไม่ถูกไปชั่วขณะ ได้แต่ทำมือบอกให้พันธมิตรที่อยู่ด้านหลังล้อมปีศาจเฒ่าไว้ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ส่วนตัวชายร่างกำยำเองขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายต่ออีกครั้ง ป้องกันไม่ให้เด็กหนุ่มฆ่าปีศาจเฒ่าไม่ได้แล้วกลับกลายมาเป็นอาหารที่นังปีศาจเฒ่าใช้เพิ่มลมปราณเสียเอง

เมื่อเทียบกับเด็กรุ่นหลังของยุทธภพที่บุ่มบ่ามวู่วามแล้ว ชายฉกรรจ์กลับถูกชะตากับเด็กหนุ่มที่มองดูเหมือนเพิกเฉยเย็นชา แต่ลงมือเฉียบขาดดุดันผู้นี้มากกว่า

เดินทางท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร พบเจอภูตผีปีศาจคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่การมีสายตาที่เฉียบไวมากพอหรือไม่นั้นกลับสำคัญยิ่งกว่าความสามารถที่มีมากหรือน้อยเสียอีก มีความสามารถเท่าไหร่ก็ทำเรื่องที่ใหญ่เท่ากับความสามารถ อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวส่งเดช นี่ต่างหากถึงจะเป็นต้นทุนของการมีอายุขัยยืนยาวนับร้อยปี

ชายฉกรรจ์ชื่นชมในความมีคุณธรรมน้ำใจของชายหญิงเหล่านั้น แต่ก็โมโหในความหุนหันไม่รู้ความของพวกเขาอยู่มาก

สตรีแต่งงานแล้วที่โฉมหน้าเย้ายวนยังคงไม่ยอมปล่อยแขนชายหนุ่มคนนั้น หลังจากเสียเปรียบไปแล้ว คราวนี้จึงไม่กล้าประมาทอีก รีบเบี่ยงตัวหันข้างอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มน่ารังเกียจคนนั้นเหวี่ยงหมัดต่อยมาอีกครั้ง จึงถีบใส่เขาเต็มกำลังเท้า ก่อให้เกิดเสียงลมพร้อมเสียงฟ้าคำราม แม้แต่ก้อนหินบนหน้าผาก็ยังหลุดออกจากซอกเพราะเท้านี้ของนาง

เด็กหนุ่มสีหน้าเด็ดเดี่ยว ฝีเท้าของเขาเบาและว่องไวเป็นพิเศษ ไม่ได้พุ่งไปข้างหน้าเป็นแนวเส้นตรงอีก แต่ขยับเบี่ยงไปด้านข้างในเสี้ยววินาที หลบการเตะที่ดุดันนั้นมาได้ ขณะเดียวกันก็ก้มตัวลงต่ำ ยกแขนขึ้นตั้งเสมอไหล่ป้องกันเผื่อสตรีแต่งงานแล้วฟาดเท้าปาดเข้ามา แล้วพุ่งไปข้างหน้าต่อเพื่อเหวี่ยงหมัดใส่อีกฝ่าย

นี่ถึงทำให้สตรีแต่งงานแล้วมองตื้นลึกหนาบางของเด็กหนุ่มออก หมัดนี้มองดูเหมือนเรียบง่ายไม่มีอะไรอัศจรรย์ แต่แท้ที่จริงแล้วกลับมีสัจธรรมแห่งวิชาหมัดไหลเวียนวน มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ถึงทำร้ายตนได้

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นตวาดก้อง “อย่าหวังว่าจะทำร้ายใครได้อีก!”

เห็นเพียงว่าหมัดหนึ่งของชายฉกรรจ์กระแทกลงบนความว่างเปล่า พายุหมุนพัดแหวกอากาศพุ่งจู่โจมเข้าใส่ศีรษะของสตรีแต่งงานแล้ว

แล้วก็มีโซ่ตรวนสีขาวหิมะที่ไม่อาจจับต้องได้จริงพุ่งพรวดออกมาจากชายแขนเสื้อของคนผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์

และยังมีชายที่สะพายกระบี่ไม้ท้อคนหนึ่งประกบนิ้วเข้าหากัน หันไปตะโกนคำว่าเร็วใส่สตรีแต่งงานแล้ว กระบี่ไม้ท้อที่เตรียมพร้อมรออยู่แล้วพุ่งออกจากฝัก บินทะยานสู่อากาศสูง แล้ววาดเส้นโค้งดิ่งเข้าหาลำคอของสตรีแต่งงานแล้ว

“นึกว่าข้าผู้อาวุโสรังแกได้ง่ายจริงๆ น่ะรึ?! ที่ข้าผู้อาวุโสอดทนกับพวกเจ้ามาตลอดระยะทางสองร้อยลี้เพราะต้องการอะไร?!”

สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน เป็นอย่างที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะคาดการณ์ พอถีบไม่โดน นางก็ฟาดขาเหวี่ยงไปที่ไหล่ของเด็กหนุ่ม ขณะเดียวกันด้านหลังของนางก็มีภาพมายาหางยาวสีแดงสดลักษณะคล้ายกับหางเตียวและจิ้งจอกจำแลงขึ้นมาสามหาง แต่ละหางแยกกันไปขัดขวางพายุหมัดของชายร่างกำยำ โซ่ตรวนที่พุ่งออกมาจากชายแขนเสื้อและกระบี่ไม้ท้อที่แหวกอากาศมาถึง แม้ว่าหางยาวจะอาบเลือดเพราะการกระทำนี้ แต่สุดท้ายก็ขัดขวางการโจมตีดุดันที่พุ่งเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกันไว้ได้

นางโยนแขนที่บาดแผลลึกจนเห็นกระดูกของชายหนุ่มผู้นั้นทิ้งไป เอามืออีกข้างคว้าหมัดของเด็กหนุ่ม อดทนกับความเจ็บปวดแสบร้าวจากกลางฝ่ามือ อีกมือหนึ่งจิ้มนิ้วไปยังหว่างคิ้วของเด็กหนุ่มเบาๆ สตรีแต่งงานแล้วคิดอย่างเดือดดาลว่าต้องจิ้มให้ทะลุมันสมองของเด็กหนุ่มถึงจะหายแค้น นางมีใจระแวงต่อเด็กหนุ่มอยู่บ้าง ทว่าศัตรูร้ายที่จะตัดสินความเป็นความตายอย่างแท้จริงยังคงไม่ใช่เด็กหนุ่ม เส้นสายตาของนางมองข้ามไปยังจุดห่างไกลด้านหลังวัดโบราณร้างผุพังแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ไงล่ะสหายเก่า จะยอมทนเห็นบุตรสาวของเจ้าถูกคนนอกรังแกคาตาอย่างนี้น่ะหรือ?!”

คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะเจ้าเล่ห์รับมือยากอย่างยิ่ง เขาที่หมัดถูกสตรีแต่งงานแล้วจับไว้แน่นหงายตัวไปด้านหลัง เท้าสองข้างถีบไปที่หน้าท้องของสตรีแต่งงานแล้ว ด้วยได้รับความเจ็บปวดเป็นระลอกนางจึงเผลอดึงมือกลับโดยอัตโนมัติ ไม่ได้ไล่ตามไปฆ่าเด็กหนุ่มคนนั้น เพียงเลิกคิ้วใส่เขา “อีกเดี๋ยวค่อยกลับมาจัดการเจ้า ฮูหยินอย่างข้าขึ้นชื่อเรื่องจิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ รับรองว่าเจ้าจะมีความสุขสุดขีด ก่อนตายยังต้องรู้สึกเจ็บใจที่ตัวเองไม่มีหลายชีวิตให้เสวยสุข!”

ชายร่างกำยำเหมือนยกภูเขาออกจากอก อดหันไปชูนิ้วโป้งให้เด็กหนุ่ม เอ่ยชมพร้อมเสียงหัวเราะร่าไม่ได้ “เยี่ยมมาก!”

หลังจากถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัย เฉินผิงอันก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อันที่จริงจริงก็พุ่งออกมาจากวัดร้างนานแล้วเกือบจะปล่อยโฮ “นายท่านๆ ไอ้หมอนั่นบอกให้ข้ามาปกป้องท่าน ส่วนเขาไปรับมือกับคนที่ร้ายกาจกว่า แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะต่อสู้อย่างไร นายท่านข้าขอโทษ เป็นเพราะข้าไร้ประโยชน์…”

เฉินผิงอันจ้องมองไปยังสตรีแต่งงานแล้วตลอดเวลา แต่กลับยื่นมือมาตบศีรษะเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเบาๆ กล่าวปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร คราวหน้าระวังตัวหน่อยก็พอ”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ซ่อนตัวฝึกตนอยู่ในหอหนังสือมาตั้งแต่เด็กยิ่งละอายใจ จึงร้องไห้จ้าเสียงดังทันใด

ชายฉกรรจ์เอ่ยเตือนเบาๆ “ในสันตะขาบแห่งนี้ยังมีปีศาจบำเพ็ญตนที่ตบะสูงล้ำอยู่อีก พวกเราค่อยหาโอกาสเหมาะๆ ลงมือ หากไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยก็ต้องปกป้องเด็กๆ พวกนี้ไว้ก่อนแล้วค่อยถอยหนี”

ทุกคนพยักหน้ารับ แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากพบเจอกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายเช่นนั้นแล้วยังต้องทำให้ได้อย่างที่ว่า เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ แต่ก็ยังไม่มีใครเห็นต่าง

การไล่ฆ่าปีศาจตลอดทางที่ผ่านมานี้อันตรายเกินไป หากไม่เป็นเพราะมีคาถาชุบชีวิตของผู้เฒ่าชุดดำ คงมีคนในกลุ่มบาดเจ็บล้มตายกันไปนานแล้ว บวกกับที่ปีศาจตนนั้นมีโทษมหันต์ ภายใต้สถานการณ์ที่ภาพรวมมั่นคงดีแล้ว พวกเขาจะ “พูดจาหยาบโลน” ใส่สตรีแต่งงานแล้วไปอีกทำไม ล้วนเป็นเพราะเคียดแค้นเกินจะทน อยากจะจับนางมาลงหม้อตุ๋นจริงๆ ถึงจะสาแก่ใจ

หยอกเย้าอย่างลำพองใจเสร็จ สตรีแต่งงานแล้วก็พบว่าห่างออกไปไกลไม่มีความผิดปกติ ตามหลักแล้วด้วยนิสัยของเจ้าหมีโง่นั่นควรจะเปิดฉากเดินขึ้นเวทีอย่างอลังการจนฟ้าสะท้านดินสะเทือนถึงจะถูก นางพลันร้อนใจ กรีดร้องเสียงแหลม “คนล่ะ?!”

ผืนป่าด้านหลังวัดร้างที่ห่างไปไกล ชายร่างยักษ์ล่ำสันตัวสูงจั้งกว่า สองมือถือขวานมองไปยังเด็กชายชุดเขียวที่อยู่ห่างไปสิบกว่าก้าว อีกฝ่ายกำลังแสยะยิ้มแยกเขี้ยวให้เขา ทำสีหน้าน้ำลายไหลย้อยเหมือนอยากชิมอาหารเลิศรส ชวนให้ขบขัน

ปีศาจใหญ่แห่งขุนเขาร่างเท่าภูเขาลูกย่อมกลืนน้ำลายแล้วหันหลังเผ่นหนีทันที มันวิ่งห้ออย่างบ้าคลั่ง เจอภูเขาผ่าภูเขา เจอต้นไม้ฟันต้นไม้หักโค่น สุดท้ายถึงขนาดทิ้งขวาน กลับคืนสู่ร่างเดิม เห็นเป็นหมียักษ์ตัวหนึ่งใช้ทั้งขาหน้าและเท้าหลังควบตะกุยไปบนพื้นดิน เผ่นหนีหัวซุกหัวซุน

ไม่มีปีศาจหมียักษ์ที่มีพลังการต่อสู้มาเป็นกำลังเสริมอย่างที่คาดการณ์ไว้ สตรีแต่งงานแล้วที่คำนวณผิดพลาดเริ่มลนลาน ระหว่างการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามในช่วงหลัง ไม่ทันระวังจึงถูกพายุหมัดของชายฉกรรจ์กระแทกลงบนร่าง ผงะล้มลงบนพื้น จากนั้นก็ถูกกระบี่ไม้ท้อแทงเข้าที่ไหล่ โซ่ตรวนรัดพันกาย ตามมาด้วยอาวุธอาคมและเวทอภินิหารถาโถมเข้าใส่อีกหนึ่งระลอก สุดท้ายชายฉกรรจ์ที่เชี่ยวชาญวิชาหมัดก็เหยียบลงบนหน้าผากของสตรีแต่งงานแล้ว บังคับทำลายการโคจรในช่องโพรงลมปราณของนาง เหยียบให้ทั้งศีรษะของนางจมลงไปในดินโคลน

ครั้นชายฉกรรจ์ก็เรียกดาบสีเงินเล่มเล็กออกมาหนึ่งเล่ม แทงเข้าไปในหัวใจของสตรีแต่งงานแล้ว ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอของนางขึ้นมา แบกนางพาดไหล่ตัวเอง เดินเอาไปโยนไว้บนหลังม้า ชายฉกรรจ์มองเด็กชายชุดเขียวที่นั่งยองอยู่บนหลังคาของวัดร้างด้วยสายตาซับซ้อน สุดท้ายมองไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายเด็กหญิงกระโปรงชมพูแล้วกุมมือคารวะ “วันหน้าคุณชายเดินทางอยู่ในยุทธภพต้องระวังตัวให้มาก เพราะอย่างไรซะบนภูเขาก็ไม่ได้มีแค่คนอย่างพวกเราเท่านั้น”

เฉินผิงอันเข้าใจความหมายของชายฉกรรจ์ได้อย่างรวดเร็ว ขอแค่เป็นเทพเซียนบนภูเขาที่มองร่างจริงของงูหลามข้างกายออก เกรงว่าคงจะลงมืออย่างไม่สนใจเหตุผล ไม่เหมือนคนอย่างพวกเขาที่หากไม่เจอคนทำชั่วก็จะไม่มีทางลงมือ เฉินผิงอันจึงกุมมือคารวะกลับ “ข้าจะระวังตัว”

ชายฉกรรจ์พลิกตัวขึ้นหลังม้า หันมามองแล้วเห็นว่าไม่มีวี่แววที่สตรีแต่งงานแล้วจะฟื้นขึ้นมา จึงหัวเราะเสียงดังชวนเฉินผิงอันคุย “วิชาหมัดไม่เลว มานะบากบั่นต่อไป!”

เฉินผิงอันนึกว่าคนผู้นี้ล้อเลียนตัวเองจึงยิ้มอย่างเขินอาย “วิชาหมัดของท่านผู้อาวุโสต่างหากที่ร้ายกาจอย่างแท้จริง”

ชายฉกรรจ์หัวเราะเสียงก้องกังวาน กุมมือคารวะเด็กหนุ่มโดยไม่พูดอะไรอีก เขาหันม้ากลับ เดินย้อนกลับไปทางเดิมพร้อมกับทุกคน การกำจัดปีศาจของพวกเขาครั้งนี้ไม่ได้ราบรื่นนัก แค่ล่อตัวศัตรูก็ต้องใช้เวลาไปเกินครึ่งเดือน หลังจากนั้นก็ไล่ฆ่ามาตลอดทางจนถึงตรงนี้ ซึ่งเป็นเวลาสองวันสองคืนแล้ว ต่อให้มีร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตห้าอย่างเขาก็ยังอดอ่อนล้าไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ ในกลุ่มเลย ต้องรีบกลับไปส่งมอบงานยังหน่วยราชการของเมือง ไม่ต้องพูดถึงว่าหลังจบเรื่องจะได้รับของรางวัลอย่างงามจากราชสำนักแคว้นหวงถิง กลับไปถึงสำนักของแต่ละคนก็จะถือว่าได้ทำความชอบอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน

ตอนที่ชายฉกรรจ์คนนั้นเดินสวนไหล่กับหญิงสาวก็กระชากเสียงพูดอย่างไม่พอใจ “คนดีคนเลวล้วนไม่ได้มีสลักบอกไว้ตรงหน้าผากให้พวกเจ้าได้เห็น วันหน้าอย่าได้บุ่มบ่ามวู่วามแบบนี้อีก ในเมื่อเลือกที่จะลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ แม้มีความกล้าหาญน่านับถือ แต่ก็อย่าทำเรื่องโง่ๆ ให้คนในสำนักต้องคอยตามเช็ดตามล้างให้มากนัก”

แล้วทั้งสองฝ่ายก็จากลากันทั้งอย่างนี้

ชายหนุ่มไว้หนวดเคราตามหาดาบของตัวเองจนเจอ คนหนุ่มที่ถูกสตรีแต่งงานแล้วจับแขนมีสภาพอเนจอนาถที่สุด ต่อให้จะถูกโปะยาห้ามเลือด แต่เขาก็ยังร้องโหยหวนไม่หยุด แขนข้างหนึ่งโชกไปด้วยเลือด ผิวเนื้อแหลกเละ ดูท่าคงมีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่แขนข้างนั้นจะใช้งานไม่ได้อีก

คนผู้หนึ่งหน้าซีดขาว ทนมองสภาพน่าเวทนาของเพื่อนไม่ไหวอีกต่อไป พลันเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มที่เดินไปทางวัดร้างจึงลุกขึ้นยืนแล้วด่าอย่างแค้นเคือง “เจ้ามันเป็นคนยังไงกัน ทำไมไม่ลงมือให้เร็วกว่านี้! หากมองพิรุธของปีศาจตนนั้นออกตั้งแต่แรก ทำไมไม่ยอมเอ่ยเตือนกันสักคำ?! หรือคิดจะรอดูเรื่องสนุกจากพวกเราอย่างเดียว!”

จากนั้นก็มีเสียงสั่นๆ เอ่ยคล้อยตาม “เจ้าทำร้ายศิษย์น้องหม่า!”

เฉินผิงอันหยุดเดิน หันหน้ากลับมามองสองคนนั้นโดยไม่พูดอะไร

คนผู้หนึ่งตกใจถอยหลังไปหลายก้าว อีกคนหนึ่งปลุกความกล้าถลึงตากลับไป “ทำไม เจ้าทำตัวไร้เหตุผลแล้วยังคิดจะลงมือทำร้ายคนอื่นอีกรึ?!”

เฉินผิงอันยังคงไม่พูดอะไร แต่ยื่นนิ้วชี้ไปที่ศีรษะรวมไปถึงหัวใจของตัวเอง แล้วจึงหมุนตัวเดินกลับไปที่กองไฟ ทรุดตัวนั่งยองมองหม้อใบเล็กที่ใช้ต้มข้าว

คนผู้นั้นยังไม่ยอมเลิกรา บ่นพึมพำด้วยถ้อยคำประมาณว่าทหารของทางการ ไร้ขื่อไร้แป แม่ทัพทหารม้า ฯลฯ อะไรทำนองนี้ สุดท้ายถูกคุณชายที่พกกระบี่พู่สีเงินห้ามปราม ถึงได้หยุดพูด คนทั้งกลุ่มพากันขึ้นม้า หนึ่งในนั้นขี่ม้าร่วมกับคนที่ได้รับบาดเจ็บ ใช้เชือกมัดร่างของพวกเขาสองคนเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ฝ่ายหลังตกม้าเพราะความเจ็บปวดจากบาดแผล

เด็กชายชุดดำยืนอยู่ตรงหน้าประตูวัดมองแผ่นหลังของคนกลุ่มนั้นที่จากไปไกลด้วยสายตาวาววับ เอ่ยถามว่า “นายท่าน ทำไมไม่ให้ข้าสั่งสอนพวกคนอกตัญญูกลุ่มนั้นล่ะ? ข้าโมโหจนแทบจะระเบิดแล้ว ข้าผู้อาวุโสโมโหยิ่งนัก โมโหยิ่งนัก! ไม่ได้ ข้าต้องดับไฟโทสะซักหน่อย!”

ว่าแล้วเด็กชายชุดเขียวก็ร่ายเวทเรียกรวมไอน้ำสร้างลูกน้ำขนาดใหญ่เหนือศีรษะตัวเองหนึ่งลูก จากนั้นก็ราดรดลงบนหัว เล่นงานตัวเองจนมีสภาพเหมือนไก่ตกน้ำ

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่นั่งยองอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเอ่ยคล้อยตามอย่างที่หาได้ยาก “น่าโมโหมากจริงๆ!”

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “คนอื่นไม่มีเหตุผล ไม่ใช่สาเหตุที่พวกเราจะทำตัวไร้เหตุผลตามไปด้วย แค่ไม่ละอายต่อใจตัวเองก็พอแล้ว”

แล้วเฉินผิงอันก็พลันคลี่ยิ้ม “จะอย่างไรซะวันหน้าก็ไม่มีทางได้เจอกันอีกแล้ว อีกอย่างพวกเราก็ไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเขา ไม่จำเป็นต้องรู้ชัดเจนไปเสียทุกเรื่อง ข้าเพิ่งจะเข้าใจหลักการบางอย่าง แต่กว่าจะอ่านมาจากหนังสือได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องอะไรข้าต้องสอนให้พวกเขาด้วย”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูปิดปากยิ้ม

เด็กชายชุดดำดีดนิ้วหนึ่งที อาภรณ์ที่เปียกโชกก็แห้งสนิทในบัดดล เขาหมุนตัวเดินเข้ามาในวัด ใช้มืออังไฟ “นายท่าน ข้าไม่ได้บอกว่าจะต้องพูดคุยอย่างมีเหตุผลกับพวกเขาสักหน่อย แต่ข้าอยากจะกินพวกเขาให้หมดในคำเดียว…”

เห็นสายตาของเฉินผิงอันที่เงยหน้ามองมา เขารีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “แน่นอนว่าจะทำอย่างนั้นไม่ได้! เฮ้อ นายท่าน ข้าก็แค่อยากจะสั่งสอนพวกเขาสักเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นต่อยให้พวกเขาแต่ละคนหน้าเขียวจมูกแดง ขนาดพ่อแม่ก็ยังจำหน้าพวกเขาไม่ได้ อืม เว้นแม่นางขายาวคนนั้นไว้สักคน ไว้ให้นายท่านจัดการเอาเอง”

 เฉินผิงอันเปิดฝาหม้อ กลิ่นหอมของข้าวสุกอบอวลไปทั่ว เด็กหญิงกระโปรงชมพูส่งช้อนตักข้าวและชามสีขาวใบเล็กสามใบที่ซ้อนกันมาให้อย่างคล่องแคล่ว

คนทั้งสามนั่งล้อมวงกินข้าวกับผักดอง จู่ๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงคนผู้หนึ่งที่มักจะใช้ตะเกียบเคาะถ้วย ร่ำร้องจะกินเนื้อ และไพล่นึกไปถึงประโยคหนึ่งที่เขาเคยเอ่ยไว้ จึงพูดกับเด็กชายชุดเขียวว่า “ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจะเต็มใจใช้อิสระของผู้อ่อนด้อยมาเป็นขอบเขตของตัวเอง”

มองดูเหมือนเด็กชายชุดดำก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวเสียงดังฟั่บๆๆ แต่อันที่จริงตั้งแต่ต้นจนจบเขากินไปแค่คำเล็กๆ คำเดียวเท่านั้น ได้ยินประโยคนี้ก็กะพริบตาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจว่า “ว้าว นายท่าน ท่านช่างใจกว้างยิ่งกว่ามหานที นับถือๆ ซาบซึ้งต่อฟ้าซาบซึ้งต่อดิน เสียดายที่นายท่านไม่ใช่บัณฑิต หาไม่แล้วคงกลายเป็นวิญญูชนที่ถูกสำนักหรือสถานศึกษาเรียกตัวไปนานแล้ว”

แม้จะฟังออกถึงน้ำเสียงแดกดันในคำพูดของเด็กชายชุดเขียว แต่เฉินผิงอันก็แค่ถอนหายใจ นึกถึงเรื่องของตัวเองแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ประโยคนี้ข้าไม่ได้เป็นคนพูด”

เด็กชายชุดเขียวหรือจะกล้าได้คืบเอาศอก คำประจบสอพลอในประโยคถัดมาจึงจริงใจมากกว่าเดิม พูดพลางหัวเราะฮ่าๆ “ข้าก็นึกว่านายท่านเป็นคนพูดประโยคนี้เอง นายท่านคุณธรรมสูงส่งย่อมเหมาะสมคู่ควรกับคำพูดประโยคนี้!”

เฉินผิงอันยิ้ม “เจ้าไปเรียนคำพูดประจบยกยอมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหน เวลาปกติไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตนหรือ?”

“ฝึกสิ หากข้าตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนขึ้นมาเมื่อไหร่ แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกหวาดกลัว…”

เด็กชายชุดเขียวแค่นเสียงพูดขึ้นจมูก “ข้ามานะบากบั่นไม่ย่อท้ออย่างที่ใครก็เทียบไม่ได้ แต่ก็มีบางครั้งที่ออกมาสูดอากาศภายนอก มาดื่มเหล้ากินเนื้อกับสหายเทพวารีบ้าง พวกคนเบื้องล่างล้วนพูดถึงข้าเช่นนี้ ข้าก็แค่ยืมมาใช้เท่านั้น”

เด็กชายชุดเขียวมองเฉินผิงอันพลางโคลงศีรษะ “เมื่อก่อนนี้ข้าก็ยังสงสัยอยู่บ้างว่าเจ้าเด็กน้อยพวกนั้นพูดจาน่าขนลุกแบบนี้เพราะหวังของรางวัลใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้พอข้าได้รู้จักกับนายท่านกลับรู้สึกว่าพวกเขาต้องจริงใจแน่นอน เพราะข้าจริงใจต่อนายท่านจนจริงใจไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เฮ้อ หากรู้อย่างนี้แต่แรกน่าจะตบรางวัลพวกเขามากสักหน่อย ต่อให้ต้องติดหนี้สหายเทพวารีก็ไม่เป็นไร เฮ้อ ข้าทำแบบนี้ทำให้ทหารเสียขวัญกำลังใจแท้ๆ ว่าไหม นายท่าน? คนเบื้องล่างมีความจริงใจให้ คนเบื้องบนก็ต้องรู้จักทะนุถนอมและเห็นคุณค่าสิ!”

พูดจาวกวนอ้อมไปอ้อมมาอยู่เป็นนาน สุดท้ายคือวนกลับมาขอของรางวัลจากเฉินผิงอัน?

เฉินผิงอันหัวเราะขบขัน “อยากได้หินดีงูรึ? ที่บ้านเกิดข้ามีอยู่จริง แถมยังไม่ได้มีแค่ก้อนเดียว แต่ข้าไม่ให้เจ้าหรอก”

เด็กชายชุดเขียวลงไปในคุกเข่า ชูถ้วยข้าวไว้เหนือศีรษะทันใด “สวรรค์เป็นพยาน นายท่านผู้เฒ่าโปรดสงสารข้าเถอะ ตลอดทางมานี้ข้าไม่มีคุณความชอบก็มีความเหนื่อยยาก ทุกวันต้องข่มกลั้นอารมณ์ไม่ให้กินนังเด็กโง่ มันลำบากมากเลยนะ!”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูดขยับมาหลบอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันกล่าวเนิบช้า “เอาเถอะ เมื่อไปถึงบ้านเกิดข้า ข้าจะให้หินดีงูพวกเจ้าคนละก้อน”

เด็กชายชุดเขียวพลันเงยหน้าขึ้น สีหน้าไม่พอใจ “นางมีสิทธิ์อะไรถึงได้หนึ่งก้อน? นายท่าน หากท่านจะมอบให้นางให้ได้ งั้นก็ต้องให้ข้าสองก้อน!”

นางไม่กล้าตอบโต้อะไร ได้แต่ทำสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาคลอเจียนหยด

เฉินผิงอันยื่นนิ้วสองนิ้วให้เด็กชายชุดเขียวดู “สองก้อนใช่ไหม?”

ฝ่ายหลังพยักหน้ารัวราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก

เฉินผิงอันหดนิ้วกลับมา “ไม่มีแล้วล่ะ”

เด็กชายชุดเขียววางถ้วยข้าวไว้ข้างเท้าแล้วกระโจนมาข้างหน้า กอดขาเฉินผิงอัน ดิ้นปัดๆ ร้องโวยวาย “นายท่าน ข้าผิดไปแล้ว ก้อนเดียวก็ก้อนเดียว”

เฉินผิงอันไม่สนใจเด็กชายชุดเขียว มองไปยังสีท้องฟ้านอกวัดเล็กพลางพึมพำ “หิมะใกล้จะตกแล้วกระมัง?”

 —–