เล่ม 1 ตอนที่ 170 อาซ้อ คนนี้คือพ่อสามีของเจ้า

ราชินีพลิกสวรรค์

ในยามค่ำคืน มีร่างเงาของคนสองคนจากไปอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้รบกวนใคร

 

 

เมื่อมาถึงที่ลับตาคน จิ่งเยี่ยจึงรีบถามขึ้น “อาหลี เจ้ามาได้อย่างไรกัน สนามรบไม่ใช่สนามเด็กเล่นนะ”

 

 

ท่าทางเขาที่ดูกังวลระคนตกใจ ได้ครึ่งหนึ่งของความเย็นชาต่อหน้ามู่ชิงเหยียนหรือไม่

 

 

เจียงหลีกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ทำไมพี่ใหญ่ถึงตามมาด้วยละ” เรื่องของเป่ยฝางไม่ใช่เรื่องธรรมดา แน่นอนว่านางไม่อยากให้พี่ชายตนต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องพวกนี้

 

 

“ในรายชื่อมีชื่อข้า ข้าก็ต้องมาสิ” จิ่งเยี่ยอธิบายแล้วพูดต่อ “เจ้าไม่ต้องไปแล้วรีบกลับไปซั่งตูซะ”

 

 

“เดี๋ยวก่อน” ทันใดนั้นเองเจียงหลียกมือขึ้นขัดจังหวะของเขา

 

 

จิ่งเยี่ยงุนงงแต่ก็เงียบปากมองไปทางนาง สีหน้าเจียงหลีครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดกับคนที่เจอตอนเช้า ร่างนี้ไม่เพียงเป็นร่างที่พิเศษกว่าอีกทั้งยังมีความจำเป็นเลิศ

 

 

ไม่ว่าจะเป็นพวกขุนนางในเมืองหลวงหรือเชื้อสายราชวงศ์ที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศ เจียงหลียังพอจำได้

 

 

เพราะไม่เพียงเคยเห็นด้วยตนเองตอนที่ตนยืนอยู่กับท่านพ่อ อีกทั้งยังเคยได้ยินจากบทสนทนาของท่านพ่อและพวกผู้ใหญ่

 

 

นางคิดทบทวนอย่างละะเอียดอีกครั้งกลับพบสิ่งที่น่าตกใจ “เหตุใดลูกหลานขุนนางทั้งหลายในสำนักหลิงอู่ไม่มีใครมาเลย ในเมื่อฮ่องเต้มีรับสั่งให้กลุ่มสังเกตการณ์เทียนเจียว เหตุใดถึงไม่ให้ไท่จื่อเป็นคนนำขบวนเองเล่า แม้กระทั่งเหล่าองค์หญิง ซื่อจือในราชวงศ์ก็ไม่มีใครเข้าร่วมเลยสักคน”

 

 

พอนางพูดขึ้นมาเช่นนี้ ในใจจิ่งเยี่ยตระหนักขึ้นมาทันที นึกขึ้นมาตอนที่มู่ชิงเหยียนมาหาเขา ดวงตาเจียงหลีหรี่ลง ครั้งนี้คนของสำนักหลิงอู่ที่ไปเป่ยฝางโดยส่วนมากเป็นผู้ถูกเลือกที่มีภูมิหลังตระกูลธรรมดา แม้จะมีผู้ถูกเลือกบางส่วนมาจากตระกูลมีชื่อเสียงแต่พรสวรรค์ก็ไม่ได้สูงมากนัก

 

 

ผู้ที่เป็นเทียนเจียวที่แท้จริงจะอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น!

 

 

ฉินเทียนอีเจ้าสำราญนั่นเป็นถึงผู้องอาจอันดับสองของเมืองหลวงก็ไม่ได้อยู่ในรายชื่อนั้นเหมือนกัน

 

 

หรงจิ่งยิ่งไม่เคยปรากฏตัวออกมา

 

 

และยังมีมู่หว่านโหรว…ใช่แล้ว ไป๋หลี่เฟิ่งเองก็ไม่ได้สมัคร แต่ได้ยินมาว่าตอนนี้เขาได้เก็บตัวฝึกฝนอยู่เลยพลาดโอกาสนี้

 

 

เจียงหลีคิดทบทวนบุคคลทั้งหลายอีกรอบ กลับพบสิ่งที่น่าทึ่ง กลุ่มสังเกตการณ์ ที่สำนักหลิงอู่ส่งมา มันเป็น กลุ่มสังเกตการณ์ก่อการร้ายชัดๆ! ส่วนผู้ที่เป็นเทียนเจียวที่แท้จริงไม่มีปรากฏสักคน

 

 

“อาหลี มีบางเรื่อง…” จิ่งเยี่ยยิ่งคิดยิ่งชั่งใจนำเรื่องที่มู่ชิงเหยียนมาหาเขาขอให้เขาถอนตัวออกพูดให้เจียงหลีฟัง

 

 

เมื่อเจียงหลีฟังจบ ยิ่งมั่นใจว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดาแน่ “ดูเหมือนว่ายังมีเรื่องบางอย่างที่พวกเราไม่รู้”

 

 

“ไม่ว่าจะมีเรื่องแอบแฝงหรือไม่ อย่างไรไรก็ตาม เป่ยฝางวุ่นวายเกินไป อันตรายมากด้วย เจ้ารีบกลับไปก่อน” จิ่งเยี่ย พูดออกมาตามตรง เป็นเรื่องยากที่เขาดึงเอาความน่าเกรงขามของพี่ชายออกมาได้

 

 

แต่เจียงหลีกลับไม่สนใจ “ข้ายังกลับไปไม่ได้ ข้ายังไม่ได้เห็นหน้าลู่เสวียนเลย”

 

 

“ลู่เสวียนหรือ ตระกูลลู่อีกแล้วหรือ คราวที่แล้วก็ลู่เจี้ย ครั้งนี้เป็นลู่เสวียน! อาหลี นี่เจ้าคิดว่าตนเป็นนางทาสของตระกูลลู่หรือ” จิ่งเยี่ยจับแขนทั้งสองของนางพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

 

 

คราวก่อนเพื่อนายน้อยตระกูลลู่ น้องสาวของเขาสู้จนทั้งร่างนองเลือด แค่นี้ก็ทำให้เขาเกิดความไม่พอใจตระกูลลู่อยู่แล้ว มาคราวนี้นางยังจะเสี่ยงเพื่อตระกูลลู่อีกหรือ

 

 

ไม่! ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเด็ดขาด!

 

 

อารมณ์โมโหของจิ่งเยี่ย ทำให้เจียงหลีประหลาดใจ นางสลัดหลุดจากพี่ชายแล้วเอ่ยถาม “พี่เป็นอะไรหรือเปล่า”

 

 

“เจ้าไม่สามารถจะอยู่ในตระกูลลู่ได้อีกต่อไป ข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี่” สายตาจิ่งเยี่ยจ้องไปยังนางพลันส่ายหัวเบาๆ

 

 

“ไม่ได้!” เจียงหลีปฏิเสธโดยไม่คิด

 

 

วินาทีนั้นแม้แต่นางเองก็ยังไม่เข้าใจที่ปฏิเสธอย่างรวดเร็วเช่นนี้เป็นเพราะเหตุใด

 

 

“เพราะอะไรกัน” จิ่งเยี่ยมองนางด้วยความเจ็บปวด สีหน้าวิงวอนเผยให้เห็นในแววตาพลางพูดน้ำเสียงเบา “อาหลี เมื่อก่อนพี่ไม่อยู่ ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ แต่ตอนนี่พี่ชายกลับมาแล้ว ข้าปกป้องเจ้าได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างไม่เป็นธรรมอีก ไม่จำเป็นต้องลำบากตัวเองอีกแล้ว”

 

 

เจียงหลีส่ายหัว “ข้ามีเหตุผลที่ยังจากไปไม่ได้” นางยังต้องให้ลู่เจี้ยรักษาตัวอีก

 

 

“อาหลี” จิ่งเยี่ยจนปัญญา

 

 

“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว” เจียงหลีตัดบทสนทนาอย่างเด็ดขาด แต่เห็นสีหน้าพี่ชายดูไม่ดีเช่นนี้ นางกะพริบตาปริบๆ เปลี่ยนหัวข้อพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ใช่สิ องค์หญิงซีสยาราวกับว่าสนใจพี่ใหญ่อยู่น่ะ ในใจพี่มีนางหรือเปล่า”

 

 

เรื่องกลัดกลุ้มในใจถูกน้องสาวพูดออกมาโจ่งแจ้ง สีหน้าจิ่งเยี่ยรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที “เจ้าอย่าพูดมั่วซั่วน่ะ ข้ากับนางเป็นไปไม่ได้หรอก”

 

 

แค่เป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าไม่ชอบอย่างนั้นหรือ

 

 

เจียงหลีกรอกตาไปมา นางไม่ใช่เด็กสาวที่ไม่รู้จักความรักสักหน่อย ดูจากท่าทีจิ่งเยี่ยนางเข้าใจเรื่องราวมันหมดหนทางอย่างช่วยไม่ได้

 

 

หากเจียงหลินเฟิงไม่ตาย ตระกูลเจียงหลีกับราชวงศ์ไม่มีความแค้นต่อกัน บางทีเจียงเฮ่ากับมู่ชิง

 

 

เหยียนอาจกลายเป็นคู่รักที่ใครๆ ต่างต้องพากันอิจฉาแน่ เจียงหลีคิดแล้วถอนหายใจ

 

 

การพบหน้ากันอย่างลับๆ ของสองพี่น้อง ถือว่าเลิกราจากกันได้ไม่ดีนัก

 

 

ทั้งสองคนต่างไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายออกไปจากกลุ่มสังเกตการณ์ครั้งนี้ได้ ได้แต่เดินตามขบวนที่เข้าใกล้เขตเป่ยฝางที่มีควันไฟลอยขึ้นมาทั่วสารทิศ

 

 

 

 

ราชวงศ์โฮ่วจิ้นชายแดนทิศอุดรอย่างเมืองเป่ยฝาง มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลแต่กลับเป็นทะเลทรายที่ไร้สิ่งมีชีวิต ยังมียอดเขาหิมะที่เชื่อมกันช่างดูงดงามบริสุทธิ์ยิ่ง ที่นี่แม้จะมีทิวทัศน์สวยงามแต่กลับได้รับภัยจากสงคราม ประชาชนต้องย้ายจากแหล่งที่อยู่เพื่อลี้ภัย เหลือเพียงเหล่าทหารเป่ยฝางที่ยังประจำการอยู่

 

 

ทหารที่นี่การผลัดเปลี่ยนทุกๆ สิบปี ทว่ายี่สิบปีที่ผ่านมาผู้คุมเป่ยฝางทั้งหลายล้วนเป็นท่านอ๋องนอกตระกูลของราชวงศ์จิ้น ‘ลู่ซิ่งเฉา’

 

 

“งามนัก”

 

 

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเป่ยฝางจะสวยงามขนาดนี้”

 

 

“…”

 

 

ในยามแสงตะวันลับขอบฟ้า กลุ่มสังเกตการณ์จากเมืองหลวงได้มีเสียงชื่นชมดังขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว

 

 

ลู่เสวียนที่ได้ยินพวกนี่รู้สึกเอือมระอาพลางกระซิบข้างหูเจียงหลี “พวกนี้ นึกว่ามาเที่ยวเล่นหรือไงกัน”

 

 

เจียงหลีหันสายตามองไปหาเขา ไม่พลาดมองเห็นความกังวลภายในแววตาของเขา

 

 

“เดินหน้าอีกสิบลี้ ก็จะถึงค่ายเป่ยฝาง” ผู้นำขบวนตะโกนดังขึ้นมา

 

 

ทว่าคำพูดเช่นนี้กลับทำให้เหล่าผู้ถูกเลือกทั้งหลายเกิดความไม่พอใจ

 

 

“นี่มันก็ใกล้จะถึงแล้วแต่ทำไมไม่มีใครออกมาต้องรับพวกเราเลยสักคน”

 

 

“นั่นสิ พวกเราเป็นถึงเสาหลักบ้านเมือง แต่กลับถูกอ๋องลู่เพิกเฉยเยี่ยงนี้”

 

 

“อาจเป็นเพราะว่าในใจของลู่อ๋องพวกเราเป็นแค่เด็กกระจอกที่หาเรื่องใส่ตัวล่ะมั้ง”

 

 

วาจาของคนบางคนที่ซ่อนอยู่ในหมู่คนนับพัน ทำให้เจียงหลีหรี่ตาลง แววตาลู่เสวียนก็พาดุดันขึ้นไปด้วย

 

 

คนพวกนี้จงใจพูดให้เข้าใจผิดเพราะอะไรกัน สร้างความไม่พอใจในตัวลู่อ๋องอย่างนั้นหรือ หรือว่าจะสร้างความขัดแย้งระหว่างกลุ่มสังเกตการณ์และทหารเป่ยฝางกันแน่ เจียงหลีคาดเดาในใจ

 

 

ทันใดนั้น มีเสียงกีบม้าเดินใกล้เข้ามาอย่างเป็นระเบียบและรวดเร็ว ก่อให้เกิดพยุงทรายเหลืองดึงดูดความสนใจของผู้คน กองทัพที่เดินผ่านพายุทรายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผู้ที่เดินนำอยู่ข้างหน้าช่างสะดุดตาเป็นพิเศษ

 

 

ระหว่างที่เจียงหลีกำลังเดาว่าผู้ที่มาคือใคร น้ำเสียงตื่นเต้นของลู่เสวียนดังขึ้นมาข้างหู

 

 

“ซ้อเล็ก รีบดูนั่น พ่อสามีเจ้า ท่านพ่อข้ามาแล้ว!”