ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 109 รับรางวัล

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ครั้นเฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็มองสิ่งที่ย่างไฟอยู่เหนือแท่นวางนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง มันมีขนาดเพียงแค่เท่าฝ่ามือเท่านั้น หน้าตากึ่งกบกึ่งปลา ดูท่าจะเป็นปลากรงเล็บพยัคฆ์จริงๆ

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอดมกลิ่นก็ต้องอ้าปากค้าง “หึ ดมแล้วกลิ่นไม่เลวเชียว ไม่แน่ว่ามันอาจจะอร่อยก็ได้”

“ตาเจ้าเป็นประกายเชียว ท่าทางกินเก่งน่าดูเลย”

แท้จริงแล้วตนเองก็มีความสุขกับการลิ้มลองอาหารเลิศรสต่างๆ เช่นกัน เพียงแต่หลังจากที่มาถึงโลกนี้แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีเรื่องที่ต้องทำมากมาย อีกส่วนหนึ่งคือกินดีอยู่ดี ชีวิตสุขสบายอยู่แล้ว จึงไม่ต้องดิ้นรนหาอาหารแปลกใหม่เหมือนอย่างตอนที่เป็นนักกิน

ตอนนี้เมื่อเห็นลักษณะท่าทางของเฟิงอวิ๋นเซิงแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าตนเองก็คิดเช่นเดียวกันกับนาง ทันทีที่สูดดมกลิ่นอีกครั้ง เขารู้สึกคล้ายกับว่าความหิวถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

เยี่ยนจ้าวเกอส่งเสียงกระแอมครั้งหนึ่ง แล้วก้าวเดินออกไปอย่างผ่าเผย

เฟิงอวิ๋นเซิงพลันตกใจสะดุ้งเฮือก ราวกับถูกเหยียบหางอย่างไรอย่างนั้น ก่อนที่นางจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่าเป็นเยี่ยนจ้าวเกอ ความระแวดระวังในดวงตาของนางก็หายไป

ทว่าครู่ถัดมา สายตาของเด็กสาวก็แสดงความเก้อเขินออกมาเต็มเปี่ยม นางก้าวขาขยับออกไปด้านข้างก้าวหนึ่ง ปิดบังกองไฟและไม้ย่างที่อยู่ด้านหลังเอาไว้

ปกติแล้วนางปากไวจัดจ้าน ตอนนี้กลับลิ้นพันกันขึ้นมาทันที “ศะ…ศิษย์พี่เยี่ยน ทะ…ท่านกลับสำนักมาตั้งแต่เมื่อใดหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ก็วันนี้แหละ ได้ยินว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าหายสนิทดีแล้ว การสร้างรากฐานขึ้นใหม่ก็สำเร็จแล้วเช่นกัน จึงมาหาเจ้าเพื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องการฝึกฝนหลังจากนี้”

เมื่อเดินมาจนถึงเบื้องหน้าของเฟิงอวิ๋นเซิง เยี่ยนจ้าวเกออาศัยความสูงของตนชะเง้อมองไปด้านหลังของนาง “จากนั้นก็เจอบางสิ่งบางอย่างที่สุดยอดมากเข้า…”

ในตอนนี้เฟิงอวิ๋นเซิงใจเย็นลง นางไอแห้งๆ ครั้งหนึ่ง “ศิษย์พี่เยี่ยนท่านก็รู้นี่ คนฝึกวรยุทธ์ต้องกินต้องดื่มมากกว่าคนทั่วไป จำเป็นต้องเพิ่มกำลังที่สูญเสียไปอยู่เสมอ”

“เอ่อ ส่วนข้าชอบที่จะลงมือทำกินเองมากกว่า นับเป็นความชอบอย่างหนึ่ง ก็เหมือนกับที่บางคนชอบดีดพิณ เล่นหมากรุก เขียนหนังสือ หรือวาดรูปนั่นแหละ เพียงแต่ของข้ามัน เอ่อ พิเศษกว่านิดหน่อยเท่านั้น”

นางพูดจาไหลลื่นขึ้นมา ทว่าไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ล้วนมีความรู้สึกเคอะเขินอยู่ดี

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม แล้วเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างๆ กองไฟอย่างโอ่อ่าผ่าเผย “ข้าเองก็เช่นกัน ข้าเองก็เช่นกัน!”

หลังจากเฟิงอวิ๋นเซิงชะงักไป นางก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใดๆ อีก นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “อาหารเลิศรส แต่ไหนแต่ไรก็ต้องแบ่งปันกันถึงจะสนุก ศิษย์พี่เยี่ยนอยากลองชิมฝีมือข้า นั่นเป็นเรื่องที่ดีเสียยิ่งกว่าดีเสียอีก”

นางหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวเสริมว่า “วางใจเถิด แม้ว่าปลากรงเล็บพยัคฆ์จะมีพิษ แต่ข้าจัดการไปแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกพิษเข้า”

หลังจากปลากรงเล็บพยัคฆ์เสียบไม้นั้นย่างเสร็จแล้ว เฟิงอวิ๋นเซิงก็แกะออกมาแบ่งให้เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่คนละตัวทันที

โร่วโร่วกระดิกหางแล้วเดินหน้าเข้ามา ท่าทางออดอ้อนถึงที่สุด

“ขาดของเจ้าไปไม่ได้หรอก” เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มพลางกล่าว แล้วก็แบ่งปลาให้มันตัวหนึ่ง

อาหู่ยังมีอาการงงงวยอยู่เล็กน้อย ส่วนเฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มตาหยี “ลองดูสิ ข้าเป็นคนที่เลือกกินยิ่งนัก รสชาติที่ทำให้ข้าคิดถึงได้เสมอและไม่ลืมเลือนมีไม่มากนักหรอก”

ขณะนี้เยี่ยนจ้าวเกอเกิดความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้น

บทเช่นนี้เหมือนจะไม่ค่อยถูกไปสักหน่อย…

ปกติแล้วไม่ใช่พระเอกหรอกหรือ ที่เป็นคนคอยนำปลาย่าง ไก่ย่างจำพวกนี้ตามเกี้ยวสตรีที่อยู่ต่างโลก ปิ้งย่างมื้อเดียวทำให้หญิงงามตกหลุมรักหัวปักหัวปำ อะไรทำนองนั้น…

ข้ามาถึงที่นี่แล้ว เหตุใดทุกอย่างดูจะกลับตาลปัตรกันไปหมด

บทละครมีปัญหาจริงๆ ด้วย!

แต่…ก็นะ…

รสชาติมันก็ไม่เลวจริงๆ นั่นแหละ…

ค่อนข้างอร่อยเลยทีเดียว…

“กินก็ส่วนกิน อย่าได้ลืมเรื่องสำคัญไปล่ะ” เยี่ยนจ้าวเกอกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงไป แล้วมองไปยังเฟิงอวิ๋นเซิง “ยังจำคำพูดที่ข้าพูดกับเจ้าตอนที่อยู่ถังตะวันออกเมื่อครึ่งปีก่อนได้หรือไม่ วันสุดทรหดของเจ้ากำลังจะมาถึงแล้ว”

เฟิงอวิ๋นเซิงได้ยินดังนั้น แววตาก็พลันเป็นประกายขึ้นมา ถึงขั้นเสียดแทงลูกตาเลยทีเดียว “ข้ารอคอยวันนี้มาโดยตลอด”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวว่า “เจ้าทิ้งเสียเวลาไปตั้งสองปีกว่า ตอนนี้ยังต้องเริ่มต้นใหม่อีก อย่าว่าแต่เมิ่งหว่านเลย ต่อให้เป็นสตรีแห่งจันทราคนอื่นๆ เจ้าคิดจะไล่ตามพวกนางให้ทันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย”

“ฉะนั้นข้าจึงทำได้แค่ให้โอสถฤทธิ์แรงกับเจ้า” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เรื่องเกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวมของสำนักเรา ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของเจ้าคนเดียวอีกต่อไป ถึงเจ้าจะทนไม่ไหว เกรงว่าข้าก็ต้องบังคับให้เจ้าทนต่อไป”

เด็กสาวยิ้มเล็กน้อย “ถ้าตามทันคนที่เดินไปก่อนได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไร เช่นนั้นจะเอาพวกที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเหมือนเช่นหว่านเอ๋อร์ไปไว้ที่ไหน”

นางสบตากับเยี่ยนจ้าวเกอโดยที่ไม่มีความหวั่นใจเลยแม้แต่น้อย กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “จะยากแค่ไหนข้าก็ทนได้ ไม่ฝึกฝนจนสำเร็จ ก็ฝึกจนสิ้นใจตายไปในเขาแห่งนี้แหละ จะได้ไม่ต้องไปให้อับอายผู้ใดในการทดสอบแห่งจันทรา!”

เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ “ปล่อยกายให้สบาย ไม่มีความจำเป็นต้องตึงเครียดจนเกินไป ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าฝึกสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก กลับกันการประมือกับสตรีแห่งจันทราคนอื่นๆ เดิมทีก็เป็นการฝึกฝนอย่างหนักที่จำเป็นอยู่แล้ว”

“สิ่งที่สำคัญคือ หนึ่งก้าวหนึ่งขั้น ก้าวขึ้นไปอย่างไม่หยุดหย่อน จนท้ายที่สุดก็ก้าวไปจนถึงจุดสูงสุด”

เฟิงอวิ๋นเซิงผงกศีรษะ “ข้าเข้าใจ”

วันต่อมา เยี่ยนจ้าวเกอก็เริ่มชี้นำการเตรียมตัวขั้นแรกให้กับเฟิงอวิ๋นเซิง

เมื่อเวลาผ่านไป การวิวาทระหว่างสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับเขากว่างเฉิงก็ค่อยๆ ทุเลาลง

วันหนึ่ง ฟ้าดินสั่นสะเทือน ชุดคลุมนภาหวนกลับสู่สำนัก ผู้อาวุโสหยวนเจิ้งเฟิง เจ้าสำนักและผู้แข็งแกร่งแห่งเขากว่างเฉิงคนอื่นๆ ที่ออกศึกก็ทยอยกลับมายังสำนัก

เยี่ยนจ้าวเกอที่ช่วงนี้อยู่แต่ในสำนักก็ได้รับการเรียกเข้าพบจากอาจารย์ปู่ หยวนเจิ้งเฟิงด้วยเช่นกัน

หยวนเจิ้งเฟิงมีรูปร่างผอมเล็ก เป็นชายชราที่ดูเหี่ยวแห้งคนหนึ่ง ทว่าการที่เขานั่งอยู่ตรงนั้นเปรียบเสมือนกับเป็นศูนย์กลางของห้องโถง ยากจะทำให้ผู้คนมองข้ามไปได้

ซ้ายมือของเขาเป็นชายชราคนหนึ่ง และหญิงชราอีกคนหนึ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอจำได้ ทั้งสองท่านนี้คือผู้อาวุโสเก่าแก่ของสำนัก ซึ่งเป็นคนรุ่นเดียวกันกับหยวนเจิ้งเฟิง

ส่วนด้านขวาของหยวนเจิ้งเฟิงก็คือสือเถี่ย ฟางจุ่น และเยี่ยนตี๋ บิดาของตน สามคนนั่งเรียงกันตามลำดับ

ครั้นเห็นฟางจุ่นและเยี่ยนตี๋นั่งเรียงกัน แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอก็กระตุกเบาๆ

อาจารย์ลุงรองของตนถูกขนานนามว่า มังกรซ่อนเงื่อน ทว่าเป็นเพราะจู่ๆ บิดาของตนก็โผล่ออกมาเหมือนกับสาบฟ้าแลบ ทำให้มังกรซ่อนเงื่อนยังคงเป็นมังกรซ่อนเงื่อนจนถึงทุกวันนี้ ขาดอีกแค่ก้าวสุดท้ายก็จะได้เป็นมังกรซ่อนเงื่อนเหินเวหา เพราะเหตุนั้นตอนนี้จึงยังเหมือนกับมังกรที่อยู่ในหุบเหว

ถึงกระนั้นในโลกที่จอมยุทธ์ได้รับการยกย่องนี้ พลังและความสามารถส่วนตัวถึงจะเป็นมาตรฐานสำคัญที่ใช้วัดกำลังอำนาจของผู้นำฝ่ายหนึ่ง ทว่าหากจะให้อยู่ในระยะยาว ก็ยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ในแต่ละด้านด้วย

ในสายตาของคนจำนวนมาก หากไม่นับรวมผลสำเร็จด้านวรยุทธ์ของตัวบุคคล เมื่อเทียบด้านอื่นๆ กับเยี่ยนตี๋แล้ว ฟางจุ่นดูเหมือนจะเหมาะสมกับตำแหน่งของผู้นำสำนักรุ่นต่อไปมากกว่า

หลายปีก่อน ในตอนที่การกระทำของฟางจุ่นยังไม่แข็งกร้าวถึงเพียงนี้ เขาได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสเก่าแก่ของสำนักเป็นอย่างมาก

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นๆ นอกจากเขากว่างเฉิง ก็คอยจับตาดูผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นเจ้าสำนักรุ่นต่อไปของเขากว่างเฉิงด้วยเช่นกัน

ไม่เพียงแต่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์ที่มีความสัมพันธ์ไม่เป็นมิตรเท่านั้น แม้แต่เมืองทะเลมรกตและเขาไร้พรมแดนเองก็ให้ความสนใจมากเช่นกัน

ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้ฟางจุ่นจะเริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งข้อมากขึ้น ทว่าเมื่อเทียบกับเยี่ยนตี๋ที่การกระทำเฉียบขาดแล้ว เขาก็ยังคงอ่อนโยนกว่ามาก

ก่อนที่เยี่ยนตี๋จะถือกำเนิดขึ้น ฟางจุ่นถูกตั้งความหวังจากทั้งภายในและภายนอกของเขากว่างเฉิง ให้เป็นผู้รับช่วงต่อจากหยวนเจิ้งเฟิงมาโดยตลอด แต่ว่าเยี่ยนตี๋ที่มาทีหลัง กลับอยู่เหนือกว่าอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

ความคิดต่างๆ นานาแล่นผ่านสมองของเยี่ยนจ้าวเกอ ก่อนที่เขาจะหยุดความคิดเหล่านั้นไว้ และทำความเคารพพร้อมกับทุกคน

หยวนเจิ้งเฟิงยิ้มพลางกล่าวว่า “ครั้งนี้พวกเราต่างก็วิ่งวุ่นให้กับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว”

สำหรับอาจารย์ปู่ของตนเอง เยี่ยนจ้าวเกอก็มีความเข้าใจในตัวเขามากพอ ยามปกติที่เขาอยู่ต่อหน้าชนรุ่นหลังก็มักจะเป็นคนอารมณ์ขัน คำพูดในตอนนี้จึงไม่ใช่การตำหนิหรือเหน็บแนม แต่เพราะเห็นว่ามีชนรุ่นหลังที่มีความหวังอยู่ในสำนัก รู้สึกภาคภูมิใจ จึงพูดล้อเล่นเท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางกล่าวอย่างหน้าไม่อายว่า “คำพูดนี้ทำข้ารับไม่ไหวแล้วขอรับ หลายวันมานี้ข้าอกสั่นขวัญแขวน กลัวเพียงว่าจะถูกส่งตัวไปตำหนักอาญาเสียนี่”

หยวนเจิ้งเฟิงส่ายศีรษะพลางยิ้มเล็กน้อย “ตำหนักอาญาเจ้าต้องไปเป็นแน่ ไม่ใช่ไม่รับโทษ แต่ไปรับรางวัลต่างหาก”

……………..