ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 5 หนุ่มน้อยเสื้อสีดำลำดับที่สามสิบหก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

บรรดาหนุ่มน้อยที่เข้าร่วมสมัครสอบสำนักเทียนเต้า จับก้อนหินโดยเรียงตามลำดับภายใต้คำสั่งของอาจารย์ที่อารมณ์เคร่งขรึมผู้นั้น แล้วกุมแน่นๆ ไว้สามอึดใจ เวลาล่วงเลยผ่านไป เมื่อก้อนหินสีดำก้อนนั้นอยู่ในมือของผู้คนก็จะเปล่งแสงออกมาเล็กน้อย ในแสงสว่างสลัวมีความแตกต่างเพียงน้อยนิด มีผู้คนจำนวนน้อยเมื่อหยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วก้อนหินไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

ก้อนหินสีดำก้อนนั้นมีชื่อที่ธรรมดาอย่างยิ่ง

หินเหนี่ยวนำ

ในคลังตำราเต๋ามีคัมภีร์อยู่เล่มหนึ่ง บรรยายเกี่ยวกับการก่อเกิดของสิ่งแปลกประหลาดในภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร มีชื่อว่า ‘คัมภีร์กำเนิดสรรพสิ่ง’ เฉินฉางเซิงเคยเห็นภาพวาดของก้อนสีหินแบบนี้ในตำราเล่มนั้น รู้เกี่ยวกับสิ่งปาฏิหาริย์ของมัน ด้านในของก้อนหินชนิดนี้มีความสามารถคล้ายสัมผัสแห่งเทพซ่อนอยู่ เพียงแค่พบเจอกับร่างกายของมนุษย์ ก็จะแยกหนึ่งส่วนออกเข้าไปในร่างกาย กระตุ้นพลังปราณในร่างกายของผู้สัมผัส หลังจากนั้นก็เหมือนกับการตกปลา นำพลังปราณของมนุษย์บางส่วนกลับเข้าไปในก้อนหิน หากร่างกายที่กุมก้อนหินเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังปราณ สัมผัสเทพจะยิ่งแข็งแกร่ง ก้อนหินสีดำจะยิ่งได้รับการเติมเต็มมากขึ้น และจะยิ่งสว่างไสว หลังจากผ่านการทดลองมาแล้วหลายปี มนุษย์จึงได้สรุปกฎระเบียบออกมาหนึ่งฉบับ ถ้าหากผู้ใดสามารถผ่านระดับความสว่างของก้อนสีหินสีดำได้ จะตัดสินว่าผู้นั้นอยู่ในระดับที่มีความสามารถ

ทุกปีสำนักเทียนเต้าจะมีคนมาสมัครสอบเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงเพิ่มขั้นตอนการตรวจสอบขั้นพื้นฐานเช่นนี้เข้าไป มีผู้คนไม่หยุดที่จะยื่นมือมากุมก้อนหินสีดำ บางทีสว่างบางทีส่องแสง มีคนมุ่งเข้าไปยังสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ด้านหน้าต่อไป มีคนที่ถูกอาจารย์ท่านนั้นให้สัญญาณออกจากขบวนอย่างเย็นชา บรรยากาศของแถวขบวนเหมือนกับมีความกดดันเป็นพิเศษ

มีหนุ่มน้อยคนหนึ่งกุมก้อนหินสีดำ แต่ก้อนหินสีดำไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น เมื่อถูกให้สัญญาณออกไป หนุ่มน้อยคนนั้นผิดหวัง ร้องไห้ตะโกนขอโอกาสให้ตนอีกสักครา มือกุมก้อนหินก้อนนั้นไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ทันใดนั้นจึงถูกคนงานของสำนักเทียนเต้าลากออกไป นอกจากก่อให้เกิดเสียงหัวเราะเยาะชั่วประเดี๋ยว ก็ไม่ได้มีความหมายใดๆ

การตรวจสอบยังคงดำเนินต่อไป ผู้ใดสามารถทำให้ก้อนหินสีดำสว่างไสว ใบหน้าก็จะปรากฏความรู้สึกเบิกบานยินดี ผู้ใดไม่สามารถทำให้ก้อนหินสีดำสว่างไสว ก็หงอยเหงาเศร้าซึมยิ่งนัก

แม่น้ำทางฝั่งนั้นมีเสียงหัวเราะของนักศึกษาเก่ากระจายออกมาไม่ชัดเจน อาจารย์ผู้รับผิดชอบการตรวจสอบของหินหน่วงนำสีหน้ายิ่งนานยิ่งไม่น่าดู ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงขณะนี้ มีผู้คนหลายร้อยที่กุมหินหน่วงนำ แม้ว่ามีผู้คนจำนวนมากที่สามารถทำให้หินหน่วงนำเปล่งแสง ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาชำระล้างกระดูกได้สำเร็จ แต่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ผู้เข้าทดสอบของปีนี้แสดงออกมาอยู่ในระดับที่ธรรมดาอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้มีคนหนึ่งที่ปรากฏว่ามีการชำระล้างกระดูกอยู่ในระดับที่สาม ตลอดเวลาที่ผ่านมา ยังไม่มีผู้ใดที่ชำระล้างกระดูกได้ในขั้นสูงสุด สำหรับคนอายุยังน้อยที่สามารถผ่านขั้นถอดจิต คงหาไม่ได้เป็นแน่ เป็นธรรมดาที่อารมณ์ของอาจารย์จะไม่สู้ดีนัก

การบำเพ็ญเพียรของเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจและเผ่ามารมีหลายสิ่งที่ไม่เหมือนกัน เมื่อแรกเริ่ม ให้ความสำคัญกับการศึกษาจิตใจ สติปัญญา ความตระหนักรู้ บ่มเพาะจิตญาณ อาศัยสติปัญญามาดำเนินการในวันต่อไป อาศัยจิตญาณมาเป็นแรงกำลังของฟ้าดิน ใช้พละกำลังหล่อหลอมร่างกาย เริ่มจากผิวหนัง เส้นขน เส้นผมจนถึงเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ จนกระทั่งเข้าสู่ไขกระดูก ฝึกฝนจนแข็งแกร่ง มีพละกำลังสามารถยกก้อนหินได้ สุขภาพร่างไม่เจ็บป่วยเหมือนคนธรรมดา นี่เป็นสาเหตุของชื่อการชำระล้างกระดูก

เผ่ามารตั้งแต่กำเนิดก็มีร่างกายแข็งแกร่งดุจทองและหิน ถ้าหากมนุษย์ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการชำระล้างกระดูก ก็คงไม่สามารถเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้ามในสนามรบได้ ดังนั้นในกองทัพทหารของมนุษย์ อย่างน้อยจะต้องผ่านการชำระล้างกระดูกเป็นอันดับแรก ถึงจะมีคุณสมบัติเป็นพลทหารในสนามรบผู้เกรียงไกร นอกเหนือจากนี้ การชำระล้างกระดูกยังมีคุณสมบัติที่เป็นจุดสำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงส่วนอื่นๆ อีกด้วย การชำระล้างกระดูกนอกจากเสริมสร้างความแข็งแรงให้เส้นเอ็นและกระดูก ยังทำให้สติปัญญากระจ่างแจ้ง เลื่อนระดับความทรงจำและสามารถแบ่งแยกพลัง ถ้าหากใช้หลักการของคัมภีร์เต๋ามากล่าวสรุป ก็คือการพบเจอโลกอีกแห่งหนึ่ง

คัมภีร์มหามรรคสามพันบท เป็นเพียงการกล่าวโดยประมาณการ ตำราบนโลกนี้มีมากมายมหาศาลประดุจมหาสมุทร มีตัวอักษรจำนวนนับไม่ถ้วนคอยแทนที่ความรู้ ถ้าหากว่าไม่ชำระล้างกระดูกมีสติปัญญาปราดเปรื่องจิตใจใสสะอาดแล้วนั้น ไฉนจะกล้าเหยียบบนมหาสมุทรไปขอความรู้ หากกล้าออกไปเผชิญโลกกว้าง เกรงว่าชั่วครู่คงจะหลงทาง ถูกคลื่นโหมซัดตีเข้ากระดูกและเส้นเอ็นจนแหลกละเอียด คงต้องเสียชีวิตเป็นแน่ หลายปีมานี้สำนักเทียนเต้าได้เพิ่มขั้นตอนทดสอบ ถ้าพิจารณาจากด้านนี้แล้ว อันที่จริงเป็นเรื่องที่มีเหตุผลอย่างยิ่ง ถ้าหากเจ้าแม้แต่การชำระล้างกระดูกยังไม่สำเร็จ แล้วจะมีคุณสมบัติที่จะไปบำเพ็ญเพียรตามวิธีที่ลึกซึ้งกว่านี้ได้อย่างไร

เมื่อวานอยู่ที่จวนขุนพลเทพ เฉินฉางเซิงได้กล่าวยอมรับว่าตนไม่เคยฝึกบำเพ็ญเพียรมาสองครั้งแล้ว เป็นธรรมดา เขาก็ยังไม่เคยชำระล้างกระดูกสำเร็จ คงต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เมื่อเขากุมก้อนหินสีดำไว้ชั่วครู่ ก้อนหินสีดำไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เขาคงต้องถูกอาจารย์ขับไล่ออกจากขบวนสมัครสอบ แต่ที่แปลกก็คือ อารมณ์ของเขาสงบนิ่งมาก คล้ายกับจะไม่กังวล

เวลานี้ เขาห่างจากโต๊ะตัวนั้นไม่ไกลมาก มีเพียงสามคนที่อยู่ด้านหน้า คนที่อยู่ด้านหน้าสุด คือหนุ่มน้อยที่ใส่เสื้อผ้าสีดำบางๆ หนุ่มน้อยคนนั้นเดินไปอยู่ด้านหน้าโต๊ะตัวนั้น ไม่รอให้อาจารย์ของสำนักเทียนเต้าเอื้อนเอ่ยอันใด ยื่นมือออกไปหยิบหินหน่วงนำสีดำก้อนนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ณ เวลานี้ ทุกคนล้วนแต่รู้สึกตึงเครียด

เหตุคงเป็นเพราะว่าหนุ่มน้อยที่สวมใส่เสื้อสีดำคนนั้นมีท่าทีสงบนิ่งยิ่งนัก

ต้นฤดูใบไม้ผลิจิงตูเต็มไปด้วยเมฆ พระอาทิตย์ถูกบดบังไว้ด้านหลัง สำนักเทียนเต้าสวยสง่าและเงียบสงบทั้งผืน ทันใดนั้น ทุ่งหญ้าริมลำธารแปรเปลี่ยนเป็นสว่างไสว ต้นหญ้าที่เพิ่งแตกกิ่งสีเขียวอ่อนออกมาใหม่ ราวกับเปลี่ยนเป็นกิ่งก้านหยก หยดน้ำค้างที่หลงเหลือเปลี่ยนเป็นไข่มุกใส น้ำในลำธารใสแจ๋ว ปลาตัวเล็กๆ แหวกว่ายไปมา สายตาจ้องมองไปยังฟากฟ้า พลันถูกแสงสว่างกระทบเข้ากับร่างกายที่ไม่ขยับเขยื้อน

ผู้คนต่างยกมือบดบังสายตาโดยมิทันรู้ตัว คิดว่าเป็นเพราะเมฆกระจายพระอาทิตย์โผล่ขึ้นนำพาแสงสว่างมา ผ่านไปชั่วครู่จึงค่อยปรากฏปฏิกิริยาตอบกลับ ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิที่สวยวิจิตรก็คงไม่สว่างไสวเช่นนี้เป็นแน่ ถ้าหากไม่ใช่แสงอาทิตย์…แล้วแสงสว่างผืนนี้มาจากแห่งใด

แสงสว่างค่อยๆ เบาบาง สายตาก็ปรับได้เล็กน้อย ผู้คนที่ยกมือขึ้นมาปิดบัง มองเห็นอาจารย์สำนักเทียนเต้าท่านนั้นอ้าปากค้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่คาดไม่ถึง ในเวลาเดียวกันผู้คนก็มองเห็นว่าแสงสว่างมาจากที่ใด มาจากกลางฝ่ามือของหนุ่มน้อยเสื้อสีดำ หินหน่วงนำสีดำก้อนนั้น เวลานี้คล้ายกับจะเปลี่ยนเป็นก้อนหินอุณหภูมิร้อนสูงสุดที่อยู่ในปล่องภูเขาไฟ จากทิศทางของเส้นแสงได้กระจายออกไปนับไม่ถ้วน คล้ายกับกำลังเผาไหม้มิปาน!

“ขั้นถอดจิต…คาดไม่ถึงว่าจะเป็น…ขั้นถอดจิตหรือ”

อาจารย์สำนักเทียนเต้าท่านนั้น กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เวลานี้เขาจ้องมองไปยังหนุ่มน้อยเสื้อสีดำผู้นั้น ราวกับกำลังจ้องมองหยกล้ำค่า ลุกขึ้นยืนอย่างรีบร้อน เดินไปยังด้านหน้าของฝ่ายตรงข้าม ก้มหัวมองไปยังฝ่ามือของเขาอย่างใคร่รู้ จ้องไปยังลำแสงที่ลอดทะลุออกมาเหล่านั้น คงไม่มีผู้ใดคิดว่าอาจารย์ท่านนี้ยับยั้งสติไม่อยู่ ต้องรู้ว่า…ใบหน้าของหนุ่มน้อยมีความอ่อนเยาว์ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอายุไม่เกินสิบหกปี แต่กลับถึงขั้นถอดจิต!

บรรยากาศอย่างนี้คืออะไร พรสวรรค์คืออะไร หรือนี่คือพรสวรรค์! กลุ่มนักศึกษาเก่าที่อยู่ตรงลำธารหยุดการเยาะเย้ยถากถางไปนานแล้ว เขามองไปยังข้างล่างเพิงไม้ไผ่ประหนึ่งเห็นภูตผีก็มิปาน นักศึกษาเก่าที่ก่อนหน้านั้นพูดจาไม่น่าฟังที่สุด ตกจากม้านั่งหินไถลลงพื้น แต่กลับรู้สึกว่าความเจ็บปวดมิได้กระจายไปถึงกระดูกก้นกบ น้ำเสียงสั่นเทาด้วยความตระหนกตกใจเอ่ยว่า “เป็นไปได้อย่างไร ศิษย์พี่ไป๋อายุสิบหกปีถึงจะถึงขั้นเข้าถอดจิต…เจ้าเด็กนี่…หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะมีใบหน้าอ่อนเยาว์แต่กำเนิด ไม่อย่างนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร!”

ณ เวลานี้ มีเสียงที่ฟังดูชราและเย็นชาดังมาจากทางด้านหลังพวกเขา

“ในเมื่อเขาคือถังซานสือลิ่ว คงไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้”

“ถังซานสือลิ่ว เขาคือถึงชานฉือลิ่วรึ” ทุกคนได้ยินชื่อนี้ ยิ่งเพิ่มความตระหนกตกใจ มีคนเอ่ยว่า “เขาอยู่อันดับที่สามสิบหกของทำเนียบชิงอวิ๋น…เพราะเหตุใดจึงออกจากเวิ่นสุ่ยมาจิงตู หรือเป็นเพราะการสอบใหญ่ในปีหน้า แต่ด้วยความสามารถของเขา ปรารถนาจะเข้าไปสุสานเทียนซูก็คงไม่มีปัญหาใดๆ เป็นแน่”

มีคนหนึ่งได้กล่าวอธิบายว่า “ถังซานสือลิ่วทั้งโอหังและถือดีที่สุด ไม่เคยยอมผู้ใด อย่าพูดถึงกฎสวรรค์เจ็ดประการ แม้แต่ลูกหมาป่าทางเหนือก็ไม่เกรงกลัว ในเมื่อเขาปรารถนาเข้าร่วมการสอบใหญ่ของปีหน้า ก็คงอยากจะเปลี่ยนชื่อตนเองเป็นแน่ เช่นนี้…เป็นธรรมดาที่จะมาจิงตูล่วงหน้า ในเมื่อมาจิงตู ก็ปรารถนาเข้ามาที่สำนักเทียนเต้าของพวกเรา”

พูดถึงชื่อของถังซานสือลิ่ว ผู้คนต่างคิดไปถึงข่าวลือของหนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์คนนี้ อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเบาๆ ก็มีคนกล่าวอีกว่า “กฎสวรรค์เจ็ดประการมีคนไม่เกรงกลัวย่อมได้ แต่เขาจะไม่เกรงกลัวต่อชิวซานจวินเชียวรึ”

“ถ้าอย่างนั้นก็มิรู้ได้ เพียงแค่เห็นระดับแสงสว่างไสวของหินสีดำก้อนนั้น เกรงว่าเขายังคงสงวนพลังไว้ ถึงแม้ว่าพลังฌานเริ่มแรกคงยังไม่สมบูรณ์ แต่คงไม่ห่างไกลมากนัก”

ทุกคนได้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเซ็งแซ่ เมื่อคิดไปถึงน้ำเสียงชราก่อนหน้านั้น พลันหันหลังกลับด้วยความงุนงง กลับพบว่าคนที่มานั้นคือรองเจ้าสำนักเทียนเต้าผู้น่าเกรงกลัว ไม่สามารถหยุดความหวาดกลัวได้ ไม่กล้าหยุดโค้งตัวทำความเคารพ เหล่านกและสัตว์ป่าพากันแตกตื่นกระจัดกระจาย

ผู้แกร่งกล้าหรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ ก็สมเหตุสมผลที่จะได้รับสายตาของกลุ่มฝูงชนในการทดสอบ บรรดาคนหนุ่มที่เข้าร่วมการทดสอบของสำนักเทียนเต้า ไม่มีผู้ใดรู้ภูมิหลังของหนุ่มน้อยเสื้อดำผู้นั้น ยิ่งทำให้เพิ่มความหวั่นไหวยิ่งขึ้น จ้องมองด้านหลังของเขา ความรู้สึกหวาดผวาและเลื่อมใสผสมปนเปพรั่งพรูกันออกมา เฉินฉางเซิงเองเมื่อจ้องมองไปยังหนุ่มน้อยเสื้อสีดำผู้นั้นก็รู้สึกเลื่อมใส เขาไม่มีพรสวรรค์เช่นนี้ แท้จริงแล้วรู้สึกอิจฉาอยู่ไม่น้อย

หนุ่มน้อยเสื้อดำเดินมุ่งไปยังข้างหน้าด้วยท่าทางเมินเฉย ใช้เวลาไม่นานจึงเข้าไปยังสิ่งปลูกสร้างแห่งนั้นซึ่งอยู่ด้านในของสำนักเทียนเต้า แต่ทว่าผู้คนที่เหลือยังคงต้องทดสอบต่อไป ไม่นานสุดท้ายจึงมาถึงเฉินฉางเซิง เขาเดินไปยังด้านหน้าของโต๊ะ มองดูลักษณะภายนอกที่ขรุขระและหยาบด้านของหินก้อนนั้น ก้อนหินสีดำมีรูเล็กๆ ที่มองไม่ชัดเจนนับไม่ถ้วน เขาลังเลชั่วครู่ ยื่นมือเข้าไปกุมหินสีดำ ยกขึ้นมาอยู่ด้านหน้าของดวงตา เริ่มสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน

เขารับรู้ได้อย่างแจ่มชัด สายลมที่เย็นเฉียบทำให้รู้สึกสดชื่น พรั่งพรูออกมาจากรูเล็กๆ ของก้อนหินสีดำอย่างท่วมท้น ไหลมาตามกลางฝ่ามือเข้าสู่ร่างกาย หลังจากนั้นก็หลั่งไหลไปยังเส้นชีพจรอย่างรวดเร็ว พยายามที่จะไปสู่ตำแหน่งที่ลึกกว่าเดิม เปรียบดังพระอาทิตย์ที่หมุนเวียนแผดเผาในมหาสมุทรเพื่อค้นหาพลังที่แท้จริงของตน สายลมที่เฉียบเย็นนั้นเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีจิตสำนึกใดๆ และไม่มีเจตนาชั่วร้ายใดๆ เขาจึงไม่ได้กระทำการต่อต้านแต่อย่างใด มันค้นหาไปทั่วทุกซอกทุกมุมในร่างกาย อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้ว่าเขาอยากจะต่อต้านก็ไม่ได้มีความสามารถนั้นแต่อย่างใด เพียงแต่เขาชัดเจนยิ่งนัก การไหลเวียนของลมปราณในร่างกายมีสิ่งผิดปกติ ก่อนที่เขาจะได้ลงมือรักษาตนเอง สายลมนั้นแท้จริงแล้วคงไม่สามารถค้นหาเจอสิ่งใดได้ ในเมื่อไม่มีพลังปราณกลับมา และไม่ได้มีการตอบโต้ของสัมผัสเทพ เป็นธรรมดาที่ก้อนหินสีดำจะไม่เปล่งแสงสว่างไสวขึ้นมา

ไม่มีสิ่งที่เกินความคาดหมายเกิดขึ้น ก้อนหินสีดำยังคงเป็นก้อนหินสีดำ วางอยู่กลางฝ่ามือเขาอย่างสงบนิ่ง

เขานำก้อนหินสีดำวางกลับไปบนโต๊ะ จ้องมองอาจารย์สำนักเทียนเต้ากล่าวว่า “ไม่สว่าง”

ในสายตาของผู้คนที่มองดูอยู่ด้าน เขาเพียงแค่หยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วนำกลับไปวาง ที่จริงเรื่องเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อย เขากลับกุมก้อนหินสีดำอย่างเอาจริงเอาจังเพื่อยืนยันอีกคราหนึ่ง มันอาจจะน่าตลกเกินไปหน่อย แต่ที่แปลกก็คือ กลับไม่มีเสียงหัวเราะเยาะออกมา จ้องมองอารมณ์ที่ปกติของเขา ที่แท้แล้วผู้คนต่างคิดว่าประหลาดไม่น้อย หนุ่มน้อยคนที่ไม่สามารถทำให้ก้อนหินสีดำสว่างไสวได้ก่อนหน้านี้ ล้วนแต่รู้สึกขายหน้า เหตุเพราะว่าพ่ายแพ้จึงรู้สึกเศร้าสลดและเจ็บปวด แม้กระทั่งอาจจะเป็นดั่งหนุ่มน้อยที่ร้องไห้น้ำตาแตกน่าอับอายคนนั้น แต่เขา…กลับสงบนิ่งยิ่งนัก

ไม่แปลกที่เขาไม่เข้าใจบรรยากาศเช่นนี้ มองดูแล้วก็มิได้เหมือน

อาจารย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เดิมทีเขาควรที่จะโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาออกไป แต่กลับเป็นเพราะความเงียบที่แปลกประหลาดนี้ เขาจึงถามกลับอย่างแปลกประหลาดบ้าง “เจ้าไม่เคยบำเพ็ญเพียรรึ”

“ข้าไม่เคยบำเพ็ญเพียร”

เฉินฉางเซิงพูดประโยคที่เมื่อวานได้พูดที่จวนขุนพลเทพซ้ำเป็นครั้งที่สอง

อาจารย์จ้องมองเข้าด้วยสีหน้าที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ คงสื่อความหมายว่าเหตุใดเจ้ายังไม่ออกจากที่นี่อีกเล่า

เฉินฉางเซิงทำความเคารพ จากนั้นจึงจากไป

แต่ว่าทิศทางที่เขาจากไปไม่ใช่ประตูด้านหน้าของสำนักเทียนเต้า ทว่าคือสิ่งปลูกสร้างแห่งนั้น

อาจารย์ท่านนั้นตะลึงงันชั่วครู่ ถึงจะเข้าใจสิ่งที่เขาอยากจะทำ กล่าวด้วยความโมโห “หยุดก่อน!”