บทที่ 845 + 846 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 845 ชินกับการมีอยู่ของเขา
พาเด็กสามคนนี้ขึ้นไปด้วยดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก ถ้าหากหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องที่เหมาะให้สานุศิษย์สวรรค์ฟังเท่านั้นเล่า…
เขาเอ่ยแนะนำพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามก่อน “พวกเขาคือศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่ง…”
เขาพูดยังไม่จบ เชียนเยวี่ยหร่านก็หัวเราะฮ่าๆ แล้ว “พี่หลง ท่านสนิทสนมกับลูกศิษย์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” เขาเพ่งพิศกู้ซีจิ่วกับหลานไว่หูแวบหนึ่ง “เด็กสาวสองนางนี้พักตร์พิสุทธิ์จิตผุดผ่อง เป็นเมล็ดพันธ์ชั้นดี! ควรค่าให้พี่หลงใส่ใจเป็นพิเศษ” แล้วเตะเชียนหลิงอวี่ที่ยืนห่อเหี่ยวอยู่ด้านข้างทีหนึ่ง “นึกไม่ถึงว่าเจ้าหลานกะล่อนคนนี้ของข้าก็ได้รับความใส่ใจจากพี่หลงเช่นนี้ด้วย…”
เชียนหลิงอวี่ทรมานนัก เขาไม่กลัวฟ้าไม่ดิน สิ่งเดียวที่กลัวก็คือท่านปู่น้อยของบ้านตนผู้นี้
ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก เขาคงไม่โวยวายจะขึ้นมาชั้นบนหรอก!
เชียนเยวี่ยหร่านเป็นคนตรงไปตรงมา มองสีหน้าของหลงซือเย่ปราดเดียวก็รู้ว่าเขากังวลอะไร จึงกล่าวว่า “ยากนักที่ทุกคนจะได้มารวมตัวกัน ขึ้นมาด้วยกันเถอะ! ผีน้อยทั้งสามก็ขึ้นมาด้วยเถิด”
เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว หลงซือเย่จะปฏิเสธอีกก็คงไม่ดี เลยหันไปถามความเห็นของกู้ซีจิ่ว “พวกเราจะขึ้นไปไหม?”
กู้ซีจิ่วไม่มีความเห็นอะไร สำหรับเธอแล้ว ตอนนี้คนยิ่งมากก็ยิ่งดี ตัวเธอกับเชยนเยวี่ยหร่านและฮวาอู๋เหยียนก็นับว่ามีวาสนาพบพานเช่นกัน…
ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าตอบอย่างสบายๆ “ไปสิ”
หลานไว่หูเมื่ออยู่ข้างนอกทุกอย่างล้วนเป็นไปตามความเห็นของกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วไปที่ไหนนางก็ไปที่นั่น
ดังนั้นนางจึงไม่มีความเห็นเช่นกัน
มีเพียงเชียนหลิงอวี่ที่เป็นทุกข์ยิ่งนัก สังหรณ์ว่าอาหารมื้อนี้ตนคงกินไม่อร่อยแล้ว…
แต่ก็ไม่กล้าคัดค้าน ด้วยเหตุนี้เลยตกลงเช่นกัน
….
เพียงแต่หลังจากขึ้นไปชั้นบนแล้ว กู้ซีจิ่วรู้สึกเสียใจภายหลังอยู่บ้าง
ตี้ฝูอีทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็อยู่ด้วย!
หลายวันมานี้การสนทนาระหว่างเธอกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้แทบจะนับว่าเป็นศูนย์ นอกเหนือจากคาบเรียนของเขาแล้ว เมื่อพบกันที่อื่นก็แค่เอ่ยทักทายเท่านั้น กลายเป็นการพยักหน้าให้กัน
คสสองคนที่เคยสนิทชิดเชื้อกันถึงเพียงนั้นยามนี้กลับเทียบได้กับมิตรภาพสัตบุรุษจืดจางดั่งน้ำเปล่า[1]
โดยเฉพาะหลายคาบที่ผ่านมา เขาล้วนเรียกศิษย์ในชั้นเรียนให้ตอบคำถามกันคนละรอบ ยกเว้นเธอคนเดียว ไม่เคยขานชื่อเธอเลย นี่ทำให้สถานะในชั้นเรียนของเธอกลายเป็นแปลกแยกยิ่งนัก
เหล่าศิษย์ล้วนชมชอบเรื่องซุบซิบนินทา หลายวันก่อนเธอเคยสนิทชิดเชื้อกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเช่นนั้น เข้านอกออกในพร้อมกันประหนึ่งคู่รักที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ผลคือเป็นละครฉากหนึ่ง เรื่องนี้เดิมทีก็ทำให้เหล่าศิษย์สนใจท่าทีที่กู้ซีจิ่วและตี้ฝูอีปฏิบัติต่อกันอยู่แล้ว ดังนั้นพฤติกรรมเช่นนี้ของตี้ฝูอี เมื่อตกอยู่ในสายตาของเหล่าศิษย์ก็ค่อนข้างลึกซึ้ง แน่นอนว่าสายตาที่มองกู้ซีจิ่วก็ค่อนข้างลึกซึ้งเช่นกัน
ในชั้นเรียนเมฆาม่วงเดิมทีกู้ซีจิ่วก็เป็นตัวตนที่เจิดจรัสอยู่แล้ว เป็นประเภทที่ดึงดูดสายตาผู้อื่นได้ง่ายๆ ดังนั้นทุกครั้งยามที่ตี้ฝูอีเข้าสอน กู้ซีจิ่วจะได้รับสายตาลอบสังเกตจากเหล่าศิษย์มากที่สุด ทุกคนประหนึ่งเชอร์ล็อกโฮมส์ก็มิปาน กู้วีจิ่วเข้าเรียนพร้อมสายตามากมายที่จับจ้องมา แรงกดดันจึงค่อนข้างสูง
การที่ตี้ฝูอีปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้ กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าเรื่องนี้ปกติยิ่งนัก และเป็นสิ่งที่เธอเคยหวังไว้ในใจ
ในใจเธอมีแผนการอยู่แล้ว ถ้ามีผู้ชายอีกคนมาตามตอแยต่อไปจะสร้างปัญหาให้ผู้อื่นได้ง่ายๆ
ยามนี้ในที่สุดคนผู้นี้ก็เลือกจะปล่อยมือแล้ว ไม่ทำให้เธอลำบากใจอันใดอีกต่อไป ตามหลักแล้วเธอน่าจะโล่งใจถึงจะถูก
แต่ว่าสตินึกคิดนั่นเป็นเรื่องหนึ่ง อารมณ์ที่แท้จริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อเข้าคาบเรียนของเขาไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกอึดอัดใจมากขึ้นเรื่อยๆ…
บางทีความเคยชินก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวโดยแท้ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อก่อนเธออยู่ร่วมห้องกับเขาครึ่งเดือน ทุกเช้าที่ตื่นนอนสิ่งแรกที่เห็นก็คือเขา ต่อให้ยามนั้นเขาอยู่ในร่างของเธอเธอก็ทราบดีว่าเป็นเขา…
ตอนนั้นเธอชินกับการมีอยู่ของเขา
————————————————————————————-
บทที่ 846 รู้สึกหลอนราวกับเหยียบย่างบนความว่างเปล่า
ยามที่ย้ายไปยังเรือนส่วนตัวของตน ทุกเช้าที่เธอตื่นความเคยชินแรกคือมองไปที่เตียงตรงข้าม
แต่ไม่มีเตียงตรงข้ามอีกต่อไปแล้ว ภายในห้องมีเพียงเตียงของตนหลังนี้หลังเดียว…
หลายวันนั้นไม่ว่าจะเข้าเรียนก็ดี ฝึกฝนอยู่ในห้องก็ดี ทุกวันตี้ฝูตี้อีจะต้องกินข้าวกับเธอสามมื้อต่อวัน ถึงแม้บางครั้งจะตี้ฝีปากกับเธอบ้าง ถึงขั้นที่เอาเปรียบเธอนิดๆ หน่อยๆ ด้วย แต่เหตุการณ์เหล่านั้นสำหรับกู้ซีจิ่วแล้วนับว่าเป็นความอบอุ่นที่พานพบได้ยาก ทำให้เธอเกือบจะคุ้นเคยไปแล้ว…
แต่หลังจากย้ายออกมา เธอก็กินข้าวที่โรงอาหารตลอด
ถึงแม้อาหารของชั้นเมฆาม่วงจะอร่อยมาก แต่เธอรู้สึกว่าขาดรสชาติไปบ้างอยู่เสมอ
แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่สนใจสายตาของผู้ใด แต่ยามที่อยู่ในคาบเรียนของเขาจะรู้สึกอยู่เสมอว่าสายตาที่บรรดาเพื่อนร่วมชั้นมองเธอราวกับมีรูปลักษณ์จับต้องได้ ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด เธอถึงขั้นรู้สึกว่าตนเกิดอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมา เมื่ออยู่ในคาบเรียนของเขาจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด รู้สึกหลอนราวกับเหยียบย่างบนความว่างเปล่า กู้ซีจิ่วไม่อยากทำให้ตัวเองไม่สบายใจ ดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยอยากเขาเรียนคาบของเขา…
คาบที่แล้วเธอจึงหาข้ออ้างโดดเรียนไปครั้งหนึ่ง
แน่นอนว่าเธอให้จิ้งจอกน้อยจดบันทึกเนื้อหาการเรียนให้เธอด้วย การเรียนจะได้ไม่ตกลงไป
โดดเรียนคนเดียวทุกคาบคงไม่ดีแน่ สองวันมานี้กู้ซีจิ่วจึงเริ่มใคร่ครวญเรื่องย้ายห้องแล้ว
ชั้นเมฆาม่วงห้องสองมีอาจารย์ที่ปรึกษาคนหนึ่งที่บรรยายความรู้ทั่วไปในการเก็บเกี่ยวสมุนไพรได้ยอดเยี่ยมมาก กู้ซีจิ่วเคยไปสังเกตการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง พบว่าความรู้ในแขนงนี้ของอาจารย์ท่านนี้ครบถ้วนกว่าเจ้าหยกนภามากนัก สอดคล้องกับความต้องการของเธอ ความรู้ในแขนงนี้ของเธอเดิมทีก็พรั่งพร้อมยิ่งนักอยู่แล้ว จึงชื่นชมอาจารย์ท่านนี้มาก อาจารย์ท่านนี้เคยพยายามโน้มน้าวให้เธอย้ายไปห้องสองด้วย
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าเมื่อพิจารณาถึงอนาคตของตน บางทีอาจจะย้ายไปห้องสองจริงๆ เลี่ยงไม่ให้จิตใจต้องปั่นป่วนอยู่เช่นนี้
สามวันตี้ฝูอีจะเข้าสอนครั้งหนึ่ง กู้ซีจิ่วโดดเรียนวิชาเขาอีกหนึ่งคาบ นับว่าไม่ได้พบปะกับเขามาหกวันแล้ว
ไม่ถูกสิ เย็นวันนี้ยังเจอเขาเดินหมากกับผู้อื่นอยู่เลย แถมยังทักทายกันเล็กน้อยด้วย
ยามนี้ได้พบเขากะทันหัน เธอจึงชะงักไปตามสัญชาตญาณ
ตี้ฝูอีท่าทางค่อนข้างเฉื่อยชา เมื่อพวกกู้ซีจิ่วทั้งสี่ขึ้นมาเขาก้กวาดตามองแวบหนึ่ง แล้วละสายตาไป ไม่ต่างอะไรกับศิษย์ชั้นเมฆาม่วงทั่วไปที่เขาพบเห็นในยามปกติ
เด็กทั้งสามล้วนเข้าไปทำความเคารพเขา เขาก็พยักหน้าให้นิดๆ ไม่ได้พูดอะไรมากมาย
เชี่ยนหลิงอวี่ที่ติดตามออกมาหนนี้เดิมคิดว่าจะได้กินเลิศรสอย่างมีความสุข คาดไม่ถึงว่าจะดพบผู้ยิ่งใหญ่กลุ่มนี้เข้า แถมท่านหนึ่งในบรรดานี้ยังเป็นท่านปู่น้อยของเขาด้วย นี่ทำให้เขาอึดอัดมาก ดังนั้นหลังจากเขาทำความเคารพเสร็จก็เสนอความเห็นต่อเชียนเยวี่ยหร่าน “ท่านปู่น้อย พวกท่าผู้ชรา…ไม่สิ ผู้ยิ่งใหญ่ไม่แน่อาจมีเรื่องต้องหารือกัน พวกเราสามคนไม่ควรเข้าร่วม ให้พวกเราไปหาห้องส่วนตัวอื่นเล่นรอดีไหมขอรับ? จะได้ไม่รบกวนพวกท่านไง”
เชียนเยวี่ยหร่านก็สัมผัสได้ว่าเจ้าเด็กที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้อึดอัด ถ้าไม่พอเจ้าเด็กคนนี้ เขายังคงวางท่านเป็นสุภาพบุรุษหนุ่มผู้สง่างามได้ แต่พอเจ้าเด็กนี่เอ่ยคำว่าท่านปู่น้อยออกมา เขาพลันรู้สึกว่าตนเป็นไม้ใกล้ฝั่งขึ้นมาทันที เจียนจะลงโลงแล้ว!
ดังนั้นเขาจึงโบกมือไล่ “ไปเถอะๆ อย่ารังแกสหายหญิงเล่า”
เชียนหลิงอวี่ได้รับประโยคนี้จากเขา ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ลากกู้ซีจิ่วกับหลานไว่หูเข้าห้องส่วนตัวห้องอื่น
ก่อนจะขึ้นมาชั้นบนเดิมทีหลงซือเย่คิดจะให้กู้ซีจิ่วร่วมโต๊ะกับตนที่นี่ แต่พอเห็นว่าตี้ฝูอีอยู่ด้วย เขาก็ยอมแพ้
จะบอกว่าเขาใจแคบก็ได้ บอกว่าเขาขี้ระแวงก็ได้ เขาไม่อยากให้ตี้ฝูอีมีโอกาสได้เข้าใกล้กู้ซีจิ่วอีก!
เขากวาดตามองรอบๆ แวบหนึ่ง เอ่ยยิ้มๆ “เห็นใดวันนี้ถึงพร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้เล่า? เป็นวันสำคัญอันใดหรือ?”
————————————————————————————-
[1] มิตรภาพสัตบุรุษจืดจางดั่งน้ำเปล่า สำนวนเต็มๆ คือ มิตรภาพสัตบุรุษจืดจางดั่งน้ำเปล่า มิตรภาพของคนถ่อยหวานฉ่ำปานน้ำผึ้ง ความหมายคือ การคบหากันระหว่างสัตบุรุษมีแต่ความจริงใจ ไม่หวังผลประโยชน์จากอีกฝ่าย แต่การคบหากันของคนถ่อย ล้วนมีผลประโยชน์แอบแฝงทั้งนั้น วันใดที่หมดประโยชน์ก็ตัดขาดความสัมพันธ์