บทที่ 778 ไม่ใช่ว่าฉันอ่อนแอ แต่ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป โดย Ink Stone_Fantasy
“ปัง!”
เมื่อฟ้าสาง เสียงปืนก็ดังมาจากทางมหาลัยแพทย์
ขณะเดียวกัน พวกหลิงม่อกลับเริ่มออกเดินทางไปแล้ว
หลิงม่อพาทุกคนเดินผ่านถนนมาสองสายแล้ว พอได้ยินเสียงปืน เขาก็หันหลังกลับไปมอง แล้วบอกว่า “เมื่อคืนถือว่าถ่วงเวลาจนผ่านไปได้แล้ว ส่วนต่อไปจะทำอย่างไรต่อ บอกตรงๆ ฉันก็ยังไม่รู้เลย แต่ก็น่าจะถ่วงเวลาไปได้อีกสองสามชั่วโมงล่ะนะ พวกเราใช้เวลาตรงนี้รีบเดินทางออกจากเมืองเฮยสุ่ยกันเถอะ”
ซย่าน่าที่เดินอยู่ข้างเขาก็หมุนกายกลับไปมองเช่นกัน เธอเดินถอยหลังสบายๆ พลางยื่นโทรศัพท์มือถือไปให้หลิงม่อดู แล้วบอกว่า “เส้นทางน่ะเลือกได้แล้ว แต่อ้างอิงจากความเร็วตอนนี้ อาจจะต้องใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์กว่าจะถึงที่หมาย เฮ้อ…”
หลิงม่อยกมือเคาะหน้าผากเธอเบาๆ แล้วบอกว่า “ถอนหายใจอะไรกัน ถึงเหล่าหลันจะโรคจิตมาก แต่เธอก็อย่าเอาแต่ทำเหมือนว่าเขาเป็นภาระสิ นั่นใจร้ายเกินไปนะ…”
“ที่ใจร้ายจริงๆ น่ะออกมาจากปากนายทั้งนั้นเลยนะ! ทั้งโรคจิตทั้งตัวภาระนายเป็นคนพูดออกมาหมดเลย!”
เหล่าหลันเพิ่งจะละสายตาออกจากเจ้าผลาคราฟกลายพันธุ์ ได้ยินเข้าพอดี จึงโวยวาย
“คิกคิก…” ซย่าน่าหัวเราะอย่างไม่ขอออกความเห็น เสี้ยววินาทีรอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูบริสุทธิ์เหมือนเด็กสาวไร้เดียงสาคนหนึ่ง
ทว่าวินาทีต่อมาเธอก็หมุนกายหันกลับไป แล้วถามมู่เฉินด้วยรอยยิ้มกระหยิ่ม “ลากคนสนุกไหม?”
“……”
มู่เฉินลอบเร่งฝีเท้าเงียบๆ
“ที่บอกว่าถ่วงเวลาได้สองสามชั่วโมงนั่น…หมายถึงพวกเขาจะหาอาคารที่พักแห่งนั้นไม่เจอหรอ?” หลันหลันถาม พลางหาวหวอดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ต้องหาเจออยู่แล้ว พวกเขามีเจ้าพินอคคิโอตัวนั้นอยู่ด้วยนี่ ฉันหมายถึงวิธีอื่น” หลิงม่อตอบโดยไม่คิดอะไรมาก แต่จู่ๆ เขาก็หันไปสังเกตหลันหลัน “เมื่อคืนเธอไม่ได้นอนหรอ?”
ดวงตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดง หน้าตาก็ดูมึนๆ เธอกำลังเดินคอตกอยู่ข้างๆ เย่เลี่ยน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เธอดูเตี้ยลงกว่าเดิม…
“140 เซนติเมตรตัวจริงเสียงจริง…” หลิงม่อแอบคิดในใจ
หลันหลันนวดคลึงตา แล้วบอกว่า “อืม นิดหน่อย…” เธอช้อนตามองหลิงม่อเล็กน้อย จากนั้นก็บอกว่า “เสียงดังเลยนอนไม่หลับ”
หลิงม่อทำหน้าอึกอักทันที เมื่อคืนพวกเขาทำเสียงดังติดต่อกันเกือบสองชั่วโมง ปรากฏว่าพอตื่นมาเจอกันวันนี้ มู่เฉินก็เอาแต่เดินหลบเขาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แต่เหล่าหลันกลับเดินเข้ามาหาอย่างตื่นเต้น แล้วยกมือตบสะโพกหลิงม่อ พลางมองหน้าเขาด้วยแววตาเหมือนทึ่งในตัวเขามาก
“ความจริงมันไม่ใช่…” หลิงม่อลองพยายามอธิบาย
“ฉันเข้าใจ ฉันก็เคยหนุ่มมาก่อนนะ ฮ่าๆๆๆ…” เหล่าหลันพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“…ลุงเข้าใจอะไรของลุงเนี่ย!”
กลับเป็นชายแว่นดำที่ถูกขังไว้ในห้องน้ำที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย กระทั่งตอนที่มู่เฉินมองเขาด้วยสายตาเห็นใจเล็กน้อย ชายแว่นดำก็ยังนิ่งงันด้วยความงุนงงไปครู่หนึ่ง
เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าหลิงม่อจะลงมือแล้ว?
พอคิดถึงตรงนี้ ชายแว่นดำกลับรู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กน้อย ปรากฏว่าเขาถูกมู่เฉินเตะอย่างแรงเข้าให้
“เป็นบ้าอะไรของแก!” มู่เฉินด่า
ชายแว่นดำทุกข์ระทมจนพูดไม่ออก เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกเตะโดยไม่มีเหตุผลอีกแล้ว
ทว่าความจริงแล้ว สถานการณ์ของเขาในตอนนี้อยู่ในความคาดหมายของหลิงม่ออยู่แล้ว
หลังจากถูกเจ้ามาสเตอร์บอลเล่นงาน ชายแว่นดำก็ไม่อาจควบคุมได้แม้กระทั่งร่างกายของตัวเอง ดังนั้นความสามารถในการตอบสนองจากสิ่งเร้าภายนอกจึงลดลงตามไปด้วย
เสียงพวกนั้นเขาอาจได้ยิน แต่สมองกลับไม่ตอบสนอง กว่าจะได้สติกลับคืนมา เขาก็หลงเหลือเพียงความทรงจำเลือนรางแล้ว
หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ซักวันเขาจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อน
แต่ในเวลาสั้นๆ อาการบาดเจ็บทางจิตที่เจ้ามาสเตอร์บอลสร้างขึ้นจะยังไม่ร้ายแรงมาก อย่างน้อยก็ยังไม่กระทบถึงสัญชาตญาณของเขา
“ซอมบี้กินเลือดเนื้อ แต่เจ้ามาสเตอร์บอลกลับกินพลังจิต สาเหตุที่ในสมองของซอมบี้กลายร่างตัวนั้นมีของอย่างนี้อยู่ อาจเป็นเพราะวิวัฒนาการระดับที่สูงกว่าก็ได้…” จู่ๆ หลิงม่อก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ขณะเดียวกันก็แอบตัดสินใจในใจว่า “นี่เป็นการพัฒนารอบด้าน…”
“เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกของพัฒนาการนี้แปลกไปหน่อย…อย่างกับส่วนหัวของยาน UFO เลย…”
“เอาเป็นว่า…นายก็เพลาๆ หน่อยละกัน” หลันหลันพูดขึ้น พลางเหลือบหางตาไปทางหลี่ย่าหลินด้วยสีหน้าแปลกๆ
หลิงม่อมองตามสายตาของเธอไป แล้วเขาก็เกือบสำลักออกมา
รุ่นพี่กำลังแบกสวี่ซูหานด้วยท่าทางสบายๆ แต่สวี่ซูหานกำลังหลับตาสนิท ท่าทางดูเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาก
บางครั้งบางคราวเธอก็พึมพำบางอย่างออกมา แต่กลับเป็นเสียงพูดรอดไรฟัน “หลิงม่อ…”
“เธอฟังฉันก่อน…” หลิงม่อบอก
“เหอะ!แล้วยังมาโกหกบอกว่ามีแค่สามคน” หลันหลันกลอกตาขาวใส่เขา เธอเชิดหน้าเดินจ้ำผ่านเขาไป แล้วไปยืนข้างซย่าน่าที่อยู่ข้างหน้าแทน
ตอนนี้เธอสนิทกับซย่าน่าแล้ว คำก็ “พี่ซย่าน่า” สองคำก็ “พี่ซย่าน่า” เรียกได้อย่างสนิทปาก เด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันสองคนเดินไปหัวเราะคิกคักไป ไม่รู้ว่ากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่
ทว่าเธอไม่รู้ตัวเลย แต่หลิงม่อกลับเห็นอย่างชัดเจน ขณะที่พวกเธอกำลังคุยกันอยู่ ดวงตาของซย่าน่ามักประกายสีเลือดขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราว…
“การไม่รู้ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน…” หลิงม่ออดคิดอย่างนี้ไม่ได้
เขาหันไปมองสวี่ซูหานอีกครั้ง พร้อมฉายสีหน้ากังวลออกมาเล็กน้อย
ถึงแม้ขั้นตอนที่สวี่ซูหานดูดเลือดของซอมบี้ร่างแม่จะผ่านไปอย่างราบรื่น แต่เป็นเพราะการกระตุ้นที่มากเกินไป ทำให้ผู้ประกาศข่าวสาวคนนี้หลับไปทั้งๆ ที่กำลังด่าเขาอยู่อย่างนี้…
ปรากฏว่าพอเป็นอย่างนี้ หลิงม่อก็เลยไม่อาจยืนยันได้ว่าตกลงวิธีของเขาได้ผลหรือไม่
แต่ในเมื่อคลื่นดวงจิตของเธอยังปกติอยู่ แล้วก็ยังสามารถพูดได้ ก็แสดงว่าอย่างน้อยสถานการณ์จะไม่แย่ลงกว่าเมื่อคืนแน่นอน…
แต่ว่า…อย่างนี้ก็ได้หรอ?!
“ใครจะไปรู้ว่าเธอจะตอบสนองต่อการพูดจาเยาะเย้ยรุนแรงขนาดนี้…อย่าบอกนะว่าเป็นคนจิตใจบอบบางดั่งแก้วกระจกน่ะ?” หลิงม่ออดพึมพำกับตัวเองไม่ได้
ร่างกายของสวี่ซูหานกระตุกเล็กน้อย ขณะเดียวกันคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “กิน…ฉันจะกินนาย…”
“นี่ฉันหวังดีแท้ๆ นะ!” หลิงม่อหนังศีรษะชา
แต่ระหว่างที่กำลังละเมอ มุมปากของสวี่ซูหานกลับกระตุกยิ้มเล็กน้อย “กิน…”
แต่หลิงม่อกลับไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มนั้น เพราะเขาหันกลับไปมองทางมหาลัยแพทย์แล้ว…
“หลีกไปเร็ว คนกันเองทั้งนั้นยังจะต้องตรวจอะไรอีก!”
นอกรั้วตาข่ายเหล็กของนิพพานสำนักงานใหญ่ สมาชิกสิบกว่าคนกำลังยืนออกันอยู่ตรงประตูทางเข้า สองคนในนั้นกำลังถูกจับเอามือไพล่หลัง เส้นผมบนศีรษะเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ สภาพเหมือนลูกหมาที่เพิ่งตกน้ำมาหมาดๆ
และด้านหลังพวกเขา มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่อีกสิบกว่าคนที่กำลังช่วยพยุงกันและกันอยู่ พวกเขาดูเหมือนอ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว
“พวกเราก็ต้องระวังไว้ก่อนเหมือนกันนะ…แต่นี่พวกนาย…” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าตกใจ พลางถามขึ้นอย่างรีบร้อน
“ก็ลองมาถูกมัดหลายชั่วโมงดูบ้างสิ!”
“ข้าถูกห้อยหัวเลยนะโว้ย!”
“ฉันถูกมัดในท่า SM! แถมยังถูกมัดติดกับเจ้างั่งนี่ด้วย!” (SM มาจากคำว่า ซาดิสม์ กับ มาโซคิสม์ )
“ด่าใครงั่งวะ?!”
“ไอ่เย็*แม่ ด่าเอ็งนั่นแหละ เอ็งเสือกฉี่ราดใส่ตัวข้าทำไมวะ!”
“คนเราล้วนมีอาการสามด่วน เอ็งไม่รู้รึไง…” (อาการสามด่วน หมายถึง ถ่ายหนัก ถ่ายเบา และผายลม)
ท่ามกลางเสียงก่นด่าอย่างอ่อนแรง จู่ๆ เสียงอ่อนแรงหนึ่งก็ดังขึ้น
พอเขาคนนี้พูด รอบข้างต่างพากันเงียบลงทันที
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหันไปมอง แล้วก็พบว่าผู้พูดคือชายคนที่ถูกคนอื่นแบกไว้บนหลัง
ร่างกายของชายคนนั้นกระตุกสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะส่วนขาที่สั่นแรงเป็นพิเศษ เหมือนคนที่ทำท่าประหลาดค้างอยู่อย่างนั้นมาทั้งคืน
ในมือเขามีปืนอยู่ เขาเปิดปากพูดด้วยริมฝีปากสั่นเทา “พะ…พาฉันไปพบ…บอสใหญ่…”
“บอสใหญ่กลับไปแล้ว” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชี้ไปทางอาคารด้านหลัง ถึงตรงนั้นจะถูกเผาไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่อาคารสามหลังที่อยู่ด้านหลังกลับไม่ถูกไหม้ลามแต่อย่างใด เพียงแต่ตอนนี้ยังคงมีควันโขมงลอยคลุ้งออกมา และด้านล่างก็มีศพถูกวางเรียงรายเต็มไปหมด…”
นิพพานในเวลานี้สภาพเหมือนค่ายพักแรมผู้ยากไร้มากกว่า แต่ขั้นตอนการทำงานกลับถูกฟื้นฟูกลับมาแล้ว
“ฉันจะไปเรียกหัวหน้าทีมซ่งแล้วกัน…”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพิ่งจะพูดจบ ก็ได้ยินชายคนเดิมตะคอกเสียงต่ำ “ไม่ได้!”
เขาชะงัก แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “ไปเรียกเถอะ รีบหน่อยล่ะ!”
“ถ้าอย่างนั้นก็รออยู่นี่ก่อน…” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองเขาอย่างแปลกใจ แล้วก็หมุนกายเดินออกไป
ชายคนนั้นชะโงกคอมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลงมายืนบนพื้นอย่างอ่อนแรง
“เขาคงเดาได้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์พบบอสใหญ่โดยตรงสินะ? ก็จริง เพราะนี่ก็เป็นวิธีการถ่วงเวลาอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน…” เขาพึมพำกับตัวเอง
ชายคนนี้ก็คือหัวหน้าทีมชั่วคราวผู้ที่ถูกมัดนั่นเอง เขากับเสี่ยวพานพยายามอย่างไม่ลดละอยู่หลายชั่วโมง จนกระทั่งเกี่ยวปืนได้สำเร็จ
กว่าพวกที่ยืนเฝ้าถนนจะตามมาเจอพวกเขา หัวหน้าทีมชั่วคราวคนนี้ก็เหนื่อยจนแทบจะเป็นลมไปแล้ว
เขาไม่เหลือแรงให้พอสาปแช่งหลิงม่อด้วยซ้ำ ในสมองคิดอยู่เพียงเรื่องเดียว “ต้องรีบไปรายงาน แล้วรอดูว่าหลิงม่อจะถูกไล่ล่าและตายไปอย่างไร!”
ความจริงตอนที่เพิ่งได้ยินสิ่งที่หลิงม่อบอก ในใจเขาก็กำลังคำนวณแผนการอื่นอยู่
ส่งข่าว? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูเนื้อหาก่อนสิ?
แล้วคำพูดนั้นก็ดูเหมือนจะรนหาที่ตายเป็นพิเศษด้วย เขายังไม่ได้เบื่อการมีชีวิตอยู่จนต้องวิ่งเข้าความตายอย่างนั้นซักหน่อย!
แต่หลิงม่อกลับดูเหมือนไม่กังวลอะไรเลย เขาเพียงพูดขึ้นอย่างราบเรียบว่า “นายจะต้องบอกต่อคำพูดของฉันแน่นอน เพราะมันจะทำให้ฉันถูกหมายหัวหนักกว่าเดิม”
“แค่นี้แกก็ถูกแค้นมากพอแล้ว…” ตอนนั้นหัวหน้าทีมชั่วคราวคิดอย่างนี้
แต่พอผ่านไปหลายชั่วโมง เขากลับพบว่าตอนนั้นตัวเองช่างไร้เดียงสานัก!
ถูกแค้นมากพอแล้ว? มากพอกับผีน่ะสิ! แค่ในเวลาหลายชั่วโมงนั้นความแค้นที่มีต่อเจ้าหมอนั่นก็พุ่งพรวดขึ้นอยู่ตลอดเวลาแล้ว!
อย่าว่าแต่ตอนนี้เขากำลังโกรธแค้นจนต้องกัดฟันกรอด แม้แต่เสี่ยวพานที่มักมีสีหน้าไร้อารมณ์ ตอนนี้ก็กำลังทำหน้าบูดเหมือนคนท้องผูก เหมือนเขาอยากก่นด่าแต่ไม่รู้ควรเริ่มด่าจากตรงไหนก่อนดี…
“แต่ถ้าลองคิดดูในอีกมุม เขาก็เป็นคนที่เก่งกาจมากจริง…” เสี่ยวพานสะกดกลั้นอารมณ์มานาน สุดท้ายเขาก็โพล่งคำพูดนี้ออกมา
“ไม่ เขาไม่ได้เก่งกาจ แต่เรียกว่าโรคจิตและบ้าคลั่ง…” หัวหน้าทีมชั่วคราวพูดอย่างหนักแน่น
………..
“เจ้าโรคจิตนั่น…” เขายังคงพึมพำอยู่อย่างนั้น
คนที่แบกเข้าขึ้นหลังจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “นายคงไม่ได้คิดจะไปไล่ล่าเขาด้วยตัวเองหรอกนะ? ขอเตือนว่าอย่าวู่วามดีกว่า…”
พอถูกถามอย่างนี้ สายตาของคนรอบข้างก็มองมาทางหัวหน้าทีมชั่วคราวคนนี้ทันที
“ไม่ใช่มั้ง!”
“แต่ถ้าจะไปจริงๆ ก็พอเข้าใจได้แหลนะ…”
“ไปสิๆ ถ้าจับได้เมื่อไหร่มัดมันเลย จากนั้นก็เอาซาลาเปาห้อยไว้บนหัวมัน ให้มันเขย่งเท้ายืดตัวขึ้นข้างบนเรื่อยๆ!”
ทว่าเสียงของหัวหน้าทีมชั่วคราวกลับเงียบหายไปทันที หลายวินาทีผ่านไป เขาสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างโกรธขึ้ง เหลือไว้เพียงแผ่นอันจำใจและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปให้ทุกคนเห็น
“ไม่ใช่ว่าฉันอ่อนหรอกนะ แต่เป็นเพราะศัตรูแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก…”
เสี่ยวพานเองก็ถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ถ้าเกิดไปจริงๆ คนที่ต้องเขย่งเท้ายืดตัวขึ้นไปกินซาลาเปา…คงจะเป็นตัวเขาเองนี่แหละ”