บทที่ 201 หม่าอี้ฉวินควบสองงาน

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

หม่าอี้ฉวินกลับออกจากห้องทำงานบอสเผย เขารู้สึกสับสนน้อยลงจากเดิม

เขากลับไปที่ชั้นบน เดินผ่านแผนกบรรณาธิการ เห็นเหล่าบรรณาธิการรุ่นใหม่กำลังแก้ต้นฉบับกันอย่างจริงจัง

เด็กจบใหม่เหล่านี้ให้ความสำคัญกับงานนี้มาก

ในเมืองระดับสองอย่างจิงโจว อุตสาหกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีนำสมัยยังไม่ค่อยพัฒนาไปไกลมากนัก ธุรกิจที่เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตก็มีไม่มาก งานหลักๆ จะอยู่ในอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมมากกว่า

งานในอุตสาหกรรมดั้งเดิมเหล่านี้ขึ้นชื่อเรื่องการจับเด็กจบใหม่มาทรมาน

ธรรมเนียมปฏิบัติ ระบบลำดับชั้น เนื้อหางานน่าเบื่อ… เด็กจบใหม่ส่วนใหญ่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการทำงานในอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมได้

ตอนแรกเด็กจบใหม่เหล่านี้รู้สึกสับสนกับเส้นทางในอนาคตของตัวเอง

ไม่มีใครเขียนรับรองให้เรียนต่อชั้นปริญญาโท สอบเข้าก็ไม่ผ่าน แถมยังหางานที่ตัวเองสนใจไม่ได้อีก

บริษัทในอุตสาหกรรมดั้งเดิมต่างดูถูกพวกเขา พวกเขาจึงดูถูกงานคร่ำครึเหล่านั้นกลับ ทั้งสองฝั่งเกลียดขี้หน้ากัน

พวกเขาเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันใช้ชีวิตอย่างสบายใจหลังจากหางานได้และยื่นเรียนต่อผ่าน บางคนได้เงินเดือนตั้งต้นสูงมากจนเป็นที่อิจฉาของใครหลายคน

กลับกันแล้ว พวกเขาไม่ได้รับการตอบรับเลย ไปสัมภาษณ์กี่ครั้งก็โดนปฏิเสธกลับมา พวกเขารู้สึกเหมือนโยนเรซูเม่ลงทะเลลึก ใครจะรู้กันว่าพวกเขารู้สึกกดดันแค่ไหน

ตอนแรกบางคนตั้งใจจะลองสอบใหม่ บางคนตั้งใจจะกลับบ้านเกิด ไม่มีใครคิดเลยว่าเหตุการณ์จะพลิกผันแบบนี้!

บังเอิญมีเว็บไซต์เปิดใหม่และมาจ้างพวกเขาทุกคน แถมยังได้ทำงานบรรณาธิการที่ค่อนข้างตรงสายที่จบมา ถือว่าโชคดีกันสุดๆ!

ช่วงแรกบางคนไม่ชอบงานนี้และแอบดูถูกเว็บโนเวลด้วยซ้ำ แต่พอได้คุยกับเพื่อนเกี่ยวกับงานที่แต่ละคนทำอยู่ พวกเขาก็ตระหนักว่างานของตัวเองนั้นดีมากๆ!

เงินเดือนที่ได้ถือว่าสูงทีเดียวถ้าเทียบกับงานอื่นในเมืองจิงโจว

ด้านเนื้อหางาน ถึงการตรวจต้นฉบับจะเยอะและน่าเบื่อไปบ้าง แต่ก็น่าสนใจกว่าการเป็นพนักงานจัดการทั่วไปในออฟฟิศอื่นๆ

นอกจากนั้น บอสของพวกเขาก็ยังหนุ่มและคุยง่าย บรรยากาศการทำงานเป็นไปอย่างปรองดอง ปราศจากความเครียด ทุกคนชอบงานใหม่ของตัวเองกันอย่างรวดเร็วและเริ่มตั้งใจทำงานเพื่อเปลี่ยนสถานะจากเด็กจบใหม่ไปเป็นคนทำงาน

ตอนที่หม่าอี้ฉวินเดินเข้าออฟฟิศ ชายร่างเล็กคนหนึ่งก็รีบลุกยืนขึ้นทันที “พี่หม่า พวกผมตรวจต้นฉบับวันนี้หมดแล้วครับ”

หม่าอี้ฉวินพยักหน้า “ดีมาก อยากทำอะไรก็เชิญตามสบายเลย เดี๋ยวสักพักจะเรียกทุกคนมาประชุมนะ”

ชายหนุ่มที่ลุกขึ้นยืนชื่อจูซิงอัน เป็นคนที่สดใสร่าเริงที่สุดให้กลุ่มเด็กจบใหม่ที่รับเข้ามา ไม่เอ๋อเหมือนคนอื่นๆ และฉลาดกว่าเยอะเลยทีเดียว เขาเป็นหนึ่งในบรรณาธิการไม่กี่คนที่หม่าอี้ฉวินพอใจในผลงาน

จูซิงอันจบมาด้วยเกรดที่แย่มาก ขนาดตอนกำลังจะจบปีสี่ยังติดเอฟถึงสามตัว จึงต้องจบช้ากว่าคนอื่น

แม้ข้อสอบคณะสายศิลป์จะไม่ได้ยากมาก แต่เขาก็สอบตกถึงสามวิชาก่อนหน้าที่จะเรียนจบ เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าเด็กคนนี้เกลียดการเรียนแค่ไหน

การยื่นจบล่าช้าทำให้จูซิงอันจะได้ใบปริญญาตอนปลายปี แต่หม่าอี้ฉวินก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก สำหรับเขาแล้ว เกรดไม่ใช่ตัวชี้วัดสำคัญว่าคนคนหนึ่งจะเก่งเรื่องการตรวจแก้งานหรือเปล่า มันไม่ได้มีความเชื่อมโยงกันขนาดนั้น

ตอนเรียนมหาวิทยาลัย จูซิงอันชอบอ่านเว็บโนเวลและเล่นเกมมาก เขามีความสนใจหลากหลาย ทำให้เรียนรู้งานบรรณาธิการได้เร็วกว่าคนอื่นๆ

หม่าอี้ฉวินตั้งใจว่าพอผลงานของจูซิงอันเป็นที่น่าพอใจเมื่อไหร่จะเลื่อนขั้นให้เป็นหัวหน้าฝ่ายบรรณาธิการหมวดนิยายยอดนิยม จะได้แบ่งเบาภาระของเขาไปได้บ้าง

หลังจากกลับไปถึงโต๊ะทำงานและจัดแจงอะไรเล็กน้อย หม่าอี้ฉวินก็เรียกเหล่าเด็กปั้นที่มีโอกาสจะได้เป็นหัวหน้าฝ่ายบรรณาธิการในอนาคตมาเข้าประชุมเพื่อที่จะได้แจ้งคำสั่งจากบอสเผย

ต่อไปพวกเขาจะลดเกณฑ์การรับต้นฉบับลง โดยจะดึงนักเขียนให้เข้ามาทำงานรับเงินเดือนประจำ เป้าหมายของพวกเขาคือหานิยายมาลงเว็บให้ได้ตามเป้า

หลังจากนั้นหม่าอี้ฉวินก็พูดถึงปัญหาเรื่องที่พวกเขาไม่ค่อยมีงานให้ทำ

คนที่เรียนรู้งานด้านเว็บโนเวลไวๆ อย่างจูซิงอันสามารถเริ่มทำงานเป็นบรรณาธิการได้เลยถ้าจำเป็น นอกจากนี้ เนื่องจากตอนนี้มีต้นฉบับส่งเข้ามาไม่มาก งานคัดเลือกต้นฉบับจึงทำเสร็จได้ไว

ถ้ามีช่วงว่างจากการทำงาน พวกเขาสามารถศึกษาวิเคราะห์งานเขียนบนเว็บอู๋เซียนจงเหวินได้

หม่าอี้ฉวินเลื่อนสายตามองหน้าทุกคนพร้อมพูดขึ้น “ถ้ารู้สึกว่าไม่มีงานอะไรให้ทำแล้วนอกจากอ่านเว็บโนเวลดังๆ พวกคุณจะลองเริ่มเขียนงานก็ได้

“พวกคุณทุกคนจะมาเป็นบรรณาธิการกัน แต่ไม่แน่บางคนอาจจะเขียนเว็บโนเวลขายดีขึ้นมาก็ได้ พวกคุณต้องมีความฝัน

“อีกอย่างตอนนี้เรามีต้นฉบับส่งเข้ามาให้ตรวจไม่เยอะเท่าไหร่ คุณภาพต้นฉบับที่ส่งเข้ามาก็ไม่ได้ดีอะไรมาก ผมคิดว่าเราน่าจะขึ้นแนะนำงานเขียนของพวกคุณบนเว็บของเราได้ ลองดูกันสักหน่อยก็ไม่เสียหายนะ”

ที่หม่าอี้ฉวินพูดมาไม่มีอะไรผิด แต่ก็ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่านัก

เพราะถ้าไม่มีใครเข้าเว็บ ขึ้นแนะนำงานของพวกเขาไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา..

หม่าอี้ฉวินหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าไม่มีอะไรทำกันจริงๆ ผมมีงานให้ทำ ไปคิดพล็อตกับตีมสำหรับเกมกลับใจคือฟากฝั่งมา”

ตอนแรกการคิดตีมสำหรับเกมกลับใจคือฟากฝั่งเป็นหน้าที่ของหม่าอี้ฉวินซึ่งเป็นฝ่ายออกแบบพล็อต

แต่ชีวิตกลับพลิกผันได้เลื่อนขั้นแบบงงๆ ตามหลักแล้วหม่าอี้ฉวินต้องส่งงานให้คนอื่นทำต่อ

ลู่หมิงเหลียงรู้เรื่องก็อึ้งไป พร้อมกับบอกว่า ‘ถ้าพี่หม่าไม่ทำ แล้วใครจะทำได้ล่ะ’

คนเดียวที่เหมาะกับหน้าที่นี้คือบอสเผย แต่บอสเผยงานยุ่งมาก จะไปขอให้ช่วยคิดพล็อตได้ยังไง

หม่าอี้ฉวินครุ่นคิดเรื่องนี้แล้วตัดสินใจว่าไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาสามารถเขียนตีมให้เกมไปด้วยได้

ดังนั้นหม่าอี้ฉวินจึงรับงานสองอย่าง ต้องคิดตีมให้เกมกลับใจคือฟากฝั่งไปพร้อมทำเว็บจงเตี่ยนตงเหวิน

ตอนนี้การเตรียมการขั้นต้นสำหรับการเปิดเว็บไซต์ค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว แถมบอสเผยยังช่วยสนับสนุนเต็มที่อีกด้วย หม่าอี้ฉวินเลยเครียดน้อยลง

ตอนนั้นเองหม่าอี้ฉวินก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังมีน้องๆ อยู่ ไม่ต้องสู้เพียงคนเดียว พวกเขาสามารถคิดพล็อตเกมกลับใจคือฟากฝั่งไปด้วยกันได้!

ตอนว่างจากการทำงาน คนกว่ายี่สิบคนตรงนี้สามารถช่วยกันคิดพล็อตเกมกลับใจคือฟากฝั่งได้ คนที่จบเอกภาษาจีนมาอย่างจูซิงอันพอมีพื้นฐานเรื่องภาษาจีนโบราณอยู่

ตามที่บอสเผยกำหนดมา เกมกลับใจคือฟากฝั่งจะเต็มไปด้วยปริศนาคำทายภาษาจีนโบราณ หม่าอี้ฉวินสามารถคิดทั้งหมดเองได้ แต่ถ้าต้องทำคนเดียว คุณภาพย่อมต้องตกลงอย่างแน่นอน

ในเมื่อตอนนี้มีคนช่วยงานเยอะขนาดนี้ เขาก็สามารถแบ่งงานไปให้คนอื่นทำได้ แต่แบบนี้ก็เท่ากับพวกเขากลายเป็นทีมออกแบบพล็อตไปเลยน่ะสิ

หม่าอี้ฉวินอธิบายทิศทางการออกแบบตีมเกมกลับใจคือฟากฝั่งให้ทุกคนฟังคร่าวๆ

การออกแบบเบื้องต้นของตีมเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีการนำความเป็นจีนโบราณ ศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า และตำนานโบราณมาใช้เป็นองค์ประกอบ พวกเขาจะไม่เน้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ แต่จะเอาทุกอย่างมาผสมรวมกันให้ลงตัว

ถึงจะสามารถยกศาสนาพุทธมาเป็นตีมหลักเพียงอย่างเดียวและหยิบความเป็นสันสกฤตมาเป็นต้นแบบทรัพยากรงานภาพได้ แต่หลังจากพูดคุยปรึกษากัน หม่าอี้ฉวินกับลู่หมิงเหลียงก็ลงความเห็นว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่

แม้การหยิบศาสนาพุทธมาเป็นตีมหลักจะทำให้ตัวเกมดูมีสไตล์ แต่ก็ไม่สามารถนำเสนอความเป็นจีนโบราณได้ชัดเจนนัก

พูดอีกอย่างคือ ประเด็นหลักของเกมจะโดนกลบเอาได้

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของชาติอื่น ไม่ค่อยสื่อถึงความเป็นจีนแบบดั้งเดิมเท่าไหร่

ทำให้หม่าอี้ฉวินกับลู่หมิงเหลียงตัดสินใจจะเอาองค์ประกอบศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า และตำนานโบราณมาผสมรวมกันให้ออกมาเป็นสไตล์จีนโบราณที่มีเอกลักษณ์

ส่วนการนำองค์ประกอบหลายๆ อย่างมารวมกันจะดูมั่วเกินไปหรือเปล่านั้น…

พวกเขาไม่ห่วงเรื่องนี้เลย เพราะคุณหร่วนกวางเจี่ยนจะเป็นคนออกแบบงานภาพให้

หม่าอี้ฉวินมั่นใจมากว่าด้วยการวาดสไตล์มหากาพย์หมึกสีน้ำมัน งานภาพของพวกเขาต้องออกมาสวยมากแน่ๆ