บทที่ 361 โลกมีเราสองก็พอแล้ว
อวี้เฟิงมองภรรยาอย่างเศร้าสร้อย คนทั่วไปเมื่อเห็นใบหน้าอันงดงามของเขาและสีหน้าน่าสงสารเช่นนี้ย่อมปวดใจ แต่เหมยรั่วหลินมีภูมิต้านทานมานานแล้ว นางไม่เชื่อเขาด้วยซ้ำ
“หลินเอ๋อร์ ไยเจ้าใจร้ายกับข้าเช่นนี้”
เหมนรั่วหลินเอื้อมมือไปลูบศีรษะอวี้เฟิง “ทำตัวดีๆ เสีย”
สีหน้าอวี้เฟิงบึ้งตึง ถลึงตามองภรรยา “หลินเอ๋อร์ นี่เจ้าทำเหมือนข้าเป็นสัตว์เลี้ยงรึ”
เหมยรั่วหลินผงกศีรษะ “ถูกต้อง เจ้าเพิ่งรู้ตัวหรือ”
“ข้าคิดว่าถ้าเรามีลูกลิงมาให้เล่นด้วยจะเหมาะสมที่สุด เจ้าว่าอย่างไร” อวี้เฟิงโพล่งขึ้นพลางมองเหมยรั่วหลินด้วยสาตาจริงจัง
เหมยรั่วหลินมองเขาอย่างเรียบเฉย “ข้าจะให้กำเนิดบุตรก็ได้ ถ้าเจ้าเลี้ยงเขาเองได้” นางไม่ชอบเด็กเอาเสียเลย และไม่มีทางเลี้ยงเด็กได้ หากชายคนนี้สามารถเลี้ยงเด็กได้ นางก็ไม่ว่าอะไรถ้าตนต้องเป็นคนตั้งครรภ์
สีหน้าอวี้เฟิงถมึงทึง เขาส่ายศีรษะอย่างแน่วแน่ “ลืมไปเสียเถิด โลกนี้มีเราสองก็พอแล้ว” เขากลัวว่าจะเผลอทำสิ่งมีชีวิตแสนเปราะบางนั้นตายโดยไม่ได้ตั้งใจ
หนิงเมิ่งเหยามองทั้งสองอย่างพูดไม่ออก “มองพวกท่านแล้วข้าพูดไม่ออกเลย”
“ช่วยไม่ได้ เราไม่เหมาะจะดูแลเด็ก” เหมยรั่วหลินโบกมือไปมาพลางกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
หากเด็กโตกว่านี้คงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ทารกแรกเกิดตัวใหญ่กว่าลูกแมวเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ กระดูกยังเปราะบาง นางเกรงว่าพวกตนจะทำให้เด็กน้อยเกิดอุบัติเหตุ
“เด็กนั้นออกจะน่าเอ็นดู.
“เด็กคือมาร” อวี้เฟิงกัดฟันพูด
เหมยรั่วหลินพยักหน้า ทั้งสองมีชีวิตคู่ที่กลมเกลียวกันดีแท้
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะไม่เถียงพวกท่านทั้งสองหรอก ข้าคิดว่าเด็กๆ นั้นดี เป็นสมบัติล้ำค่าที่สวรรค์ประทานให้” หนิงเมิ่งเหยาเอื้อมมือมาแตะท้องตัวเอง นางยิ้มอย่างสุขใจ
เมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยาเป็นเช่นนี้ อวี้เฟิงก็หันไปมองเฉียวเทียนช่าง “เจ้าก็ชอบเด็กๆ รึ”
“ข้าชอบ ครอบครัวจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีบุตร เด็กๆ ไม่น่ากลัวอย่างที่ท่านคิดหรอก” เฉียวเทียนช่างก็เหมือนหนิงเมิ่งเหยา เขาตั้งตารอให้ลูกน้อยเกิด เด็กๆ คือสมบัติที่สวรรค์ประทานดั่งเช่นที่นางพูด
เมื่อมองทั้งสอง อวี้เฟิงดูจะยังไม่เข้าใจ อย่างไรก็ตาม หลังจากลูกของหนิงเมิ่งเหยาเกิดขึ้นมา เขาเองก็อยากจะมีลูกเช่นกัน แต่นั่นเป็นเรื่องในอนาคต
“พี่เหมย ท่านมาที่นี่ก็ดีแล้ว ชิงซวงกำลังจะแต่งงาน” หนิงเมิ่งเหยานึกขึ้นมาได้
ทุกคนเลิกคิ้วอย่างคาดไม่ถึง “เด็กคนนั้นกำลังจะแต่งงานรึ กับใครกัน”
“หนานอวี่ น้องชายของเทียนช่าง เขาเป็นชายที่ดีทีเดียว” หนิงเมิ่งเหยายิ้มแล้วตอบ
หนานอวี่อย่างนั้นหรือ ทั้งสองคิดถึงคนที่เล่นกับกู่พิษ แล้วนึกข้องใจ “เจ้ามั่นใจรึว่าชิงซวงสามารถเข้ากับเขาได้ นางจะไม่กลัวเขาหรือ”
เมื่อนึกถึงชิงซวงและหนานอวี่พูดคุยกันเรื่องกู่พิษด้วยสีหน้าตื่นเต้นจากใจ หนิงมิ่งเหยาก็บอกได้ว่าชิงซวงหาได้กลัวแต่อย่างใด
“ไม่เลย”
“เช่นนั้นก็ดี เราจะเตรียมของขวัญให้ชิงซวง” ขณะพูด นางก็ลากอวี้เฟิงออกไป
หลังจากพวกนางออกไปแล้ว มู่เสวี่ยและคนอื่นก็ทยอยออกไป พวกเขาวางแผนจะเตรียมสินเดิมให้ชิงซวง
หนิงเมิ่งเหยามองดูคนทั้งกลุ่มที่ออกไปแล้วพูดไม่ออก ทำไมพวกเขาถึงรีบขนาดนี้ นี่มันยังเช้าอยู่เลย
หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่าง “พวกเขามาทำอะไรที่นี่” ทำไมพวกเขาจึงรีบมาแล้วรีบไปเพียงนี้
“จะไปสนพวกเขาทำไมเล่า เจ้าไม่หิวหรือ” เฉียวเทียนช่างเผยรอยยิ้มบาง เขาวางมือบนท้องของหนิงเมิ่งเหยา
“ก็หิวอยู่บ้าง” หนิงเมิ่งเหยาลูบท้องแล้วทำตารื้นมองเฉียวเทียนช่าง
“รออีกสักหน่อยแล้วกัน ข้าจะทำอาหารให้เจ้าเอง” เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องครัว
หนิงเมิ่งเหยารอไม่ไหว นางส่งคนไปนำผ้าที่นางซื้อให้ลูกมา แล้วเริ่มเย็บเสื้อผ้าตัวใน ผ้านวม รองเท้าและอื่นๆ ให้บุตร
ไม่นานนัก นางก็เย็บรองเท้าคู่เล็กน่ารักเสร็จ
นางชูรองเท้าคู่นั้นขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”
“น่ารักน่าชังยิ่งนักเจ้าค่ะ” นั่นคือรองเท้าสำหรับฤดูร้อน ถ้าเป็นฤดูหนาว นางจะเย็บขนกระต่ายขาวดั่งหิมะเข้าไปด้วย รองเท้าจะออกมามีขนฟูและอบอุ่นมาก
ริมฝีปากของหนิงเมิ่งเหยาเหยียดเป็นรอยยิ้มกว้าง นางเริ่มเย็บตู้โตว[1]ตัวน้อย
บทที่ 362 ชื่อเด็ก
เมื่อเฉียวเทียนช่างออกมาพร้อมกับชามน้ำแกง เขาเห็นรองเท้าน่ารักคู่หนึ่งอยู่ข้างตัวหนิงเมิ่งเหยา มือของนางกำลังถือตู้โตวตู้โตวที่เย็บเสร็จแล้วครึ่งตัวเอาไว้
“เจ้าต้องพักเสียบ้าง” เฉียวเทียนช่างวางอาหารในมือลงบนโต๊ะหิน เขาเอื้อมไปดึงเอาตู้โตวตู้โตวออกมาจากมือนาง
หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะคิกคัก นางจิบน้ำแกงจากชามในมือ หลับตาลงอย่างสุขใจ
“ดูสิ เทียนช่าง เจ้าว่าน่ารักหรือไม่”
“น่ารักยิ่งนัก” ตู้โตวในมือเขาปักเย็บบนผ้าสีแดง มีลายลูกหมูตัวน้อย บุตรของพวกเขาต้องชอบแน่นอน
หนิงเมิ่งเหยาพูดขึ้นระหว่างดื่มน้ำแกงต่อ “ข้าอยากจะเตรียมเสื้อผ้าเช่นนี้เอาไว้อีก”
“ตอนนี้อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไปเลย” เฉียวเทียนช่างกระซิบ เขามองนางพร้อมเอาตู้โตววางลงไปในตะกร้าข้างตัว
หนิงเมิ่งเหยารีบพยักหน้าเห็นด้วย “ตกลง ข้าจะไม่ฝืน” ทั้งสองคนพูดคุยกัน และในที่สุดก็นึกถึงชื่อของเด็ก
“ถ้าเป็นชาย ทำไมเราไม่เรียกเขาว่าเฉียวโม่ชางเล่า” เฉียวเทียนช่างหวังว่าบุตรของเขาจะไม่มีวันเจ็บปวด และมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขในทุกๆ วัน
หนิงเมิ่งเหยาเอียงศีรษะเล็กน้อย ครุ่นคิดสักพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “ตกลง ถ้าเป็นบุตรสาวเราจะตั้งชื่อนางว่าอวี่โม่”
“เฉียวอวี่โม่รึ เป็นชื่อที่ดียิ่งนัก” เฉียวเทียนช่างชอบชื่อนั้นเช่นกัน
หนิงเมิ่งเหยาดื่มน้ำแกงบำรุงในมือจนหมด จากนั้นก็มองเฉียวเทียนช่าง ดวงตานางเป็นประกาย “เราออกเดินทางกันเมื่อลูกของเราอายุได้สักสามเดือนดีหรือไม่”
“ถ้าเจ้าต้องการ”
“ไม่ต้องไปที่ไกลนักหรอก ที่ใดสักแห่งใกล้ๆ เมืองหลวง เจ้าว่าอย่างไร” หนิงเมิ่งเหยาออดอ้อนเฉียวเทียนช่าง
ไม่มีใครปฏิเสธสีหน้าเช่นนั้นของนางได้ ยิ่งเป็นเฉียวเทียนช่างด้วยแล้ว “ตกลง ข้ารู้จักเมืองบุปผา ใช้เวลาเพียงวันเดียวจากเมืองหลวงก็ถึงแล้ว เมื่อมีเวลา เราแวะไปเมืองนั้นได้”
ดวงตาหนิงเมิ่งเหยาเป็นประกายเมื่อนึกถึงเมืองบุปผา “ข้าได้ยินเกี่ยวกับเมืองบุปผามาก่อน แต่ไม่เคยมีโอกาสไปที่นั่นเลย เราควรจะเดินทางไปที่นั่น แล้วถ้าเจอดอกไม้ที่ชอบ ข้าจะส่งกลับไปที่หมู่บ้านไป๋ซานได้หรือไม่”
“แน่นอน ได้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการเลย”
หนิงเมิ่งเหยายิ่งสนอกสนใจ แล้วเล่าให้เฉียวเทียนช่างฟังว่าบ้านในอุดมคติของนางหน้าตาเป็นเช่นไร
สวนขนาดใหญ่ มีชิงช้า แล้วก็ควรจะมีบ่อขนาดเล็กที่มีดอกบัวและปลาทองว่ายอยู่ในนั้น
เฉียวเทียนช่างนั่งลงข้างหนิงเมิ่งเหยาเงียบๆ ฟังความเห็นนางว่าบ้านควรเป็นเช่นไร แม้เขาจะดูเหมือนเพียงตั้งใจฟัง แต่ในใจเขาจดจำทุกอย่าง
เสียงของหนิงเมิ่งเหยาค่อยๆ แผ่วลง ไม่นานนางก็หลับตาแล้วหลับไป สายตาเฉียวเทียนช่างมองนางยามหลับด้วยความอ่อนโยน ดวงตาเขาเปี่ยมไปด้วยความสุข
เขาเหยียดแขนออกไปโอบอุ้มนางแล้วพานางกลับไปที่ห้อง เขาเฝ้าดูนางหลับอยู่นานก่อนจะเดินออกมา
“เฝ้าไว้”
“ขอรับ นายท่าน”
หลังจากเฉียวเทียนช่างออกมาจากจวนแม่ทัพ เขาเจอกับหลิงหลัว ไม่มีอะไรผิดปกติกับหลิงหลัวที่สวมชุดสีดำ แต่ดวงตาเขาเย็นชาเมื่อเห็นเฉียวเทียนช่าง ในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด
“หยุดอยู่ตรงนั้นซะ เฉียวเทียนช่าง” ตอนพวกเขาเดินสวนกัน หลิงหลัวก็อดไม่ได้ที่จะเรียกเฉียวเทียนช่างเอาไว้
เฉียวเทียนช่างหันมามองหลิงหลัว “นายน้อยหลิงมีอะไรหรือ” หลิงหลัวไม่ใช่ซื่อจื่ออีกต่อไปนับแต่จวนตระกูลหลิงเสียอำนาจและถูกยึดตำแหน่งไป
ดวงตาหลิงหลัวยิ่งเย็นชา เขาจ้องมองเฉียวเทียนช่าง “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเหยาเอ๋อร์เป็นของเจ้า เลิกพร่ำเพ้อเสียเถอะ นางเป็นของข้าเท่านั้น”
เฉียวเทียนช่างไม่ได้โกรธ เขาพ่นหัวเราะออกมา “เจ้าอยากให้ข้าบอกหรือไม่ว่าเหยาเหยาโกรธเพียงใด”
“เจ้า…”
“นางรักเด็กมาก แต่ต้องแท้งลูกเพราะเซียวจื่อเซวียน เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าได้ทำร้ายนางอีกครั้งหรือ จะยอมให้เจ้าทำร้ายลูกของข้าอีกหรือ” เฉียวเทียนช่างเดินเข้าไปใกล้หลิงหลัว ดวงตาของเขาเย็นชา
หลิงหลัวมองเฉียวเทียนช่างเขม็ง สีหน้าเขาบิดเบี้ยว นี่เฉียวเทียนช่างคิดจะโอ้อวดต่อหน้าเขาหรือ
เฉียวเทียนช่างหัวเราะใส่หลิงหลัว “ข้าไม่จำเป็นต้องโอ้อวด ข้าแค่อยากจะบอกเจ้าว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่กับเหยาเหยาได้อีกต่อไป เจ้าควรสำเหนียกตนเองซะบ้าง” เฉียวเทียนช่างไม่มีความคิดจะพูดต่อ เขาหันหลังกลับแล้วเดินจากไป
สีหน้าหลิงหลัวยิ่งถมึงทึงขณะมองเฉียวเทียนช่างจากไป คนรอบข้างที่เดินผ่านไปมาต่างเลี่ยงไม่เข้าใกล้เขากันโดยไม่รู้ตัว เพราะกลัวว่าอาจจะไปเหยียบหางชายหน้าถมึงทึงผู้นี้เข้า
[1] ตู้โตว(肚兜) โดยมากเป็นทรงคล้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนแนวตั้ง มักทำจากฝ้ายหรือไหม และมักใช้สีแดง ปักลวดลายงดงาม นอกจากมีประโยชน์เหมือนเสื้อชั้นในแล้ว ตู้โตวยังช่วยกันลมหนาวยามนอนหลับ