ตอนที่ 339 ให้นายได้สนุกให้พอ / ตอนที่ 340 ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 339 ให้นายได้สนุกให้พอ

 

 

“ฉันพูดแล้วๆ!”

 

 

เฉินหยินเซินหวีดร้องอย่างตื่นกลัว รีบย้ายตัวเองไปข้างๆ เตียงอย่างหัวซุกหัวซุน เขาเข้าไปใกล้โทรศัพท์ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ

 

 

“ฉันคือเฉินหยินเซิน การแข่งขัน ‘โอเชี่ยนซาวด์คัพ’ ในฤดูใบไม้ร่วงเมื่อหกปีก่อน ที่จริงแล้วผู้เข้าแข่งขันชื่อเฉินฝานซิง เธอไม่ได้อ่อยฉัน แต่เป็นฉันเองที่ขืนใจเธอ!

 

 

ตอนนั้นมีคนโอนเงินให้ฉันสามแสนโดยไม่ปรากฏชื่อคนโอน เขาให้ฉันไปดักรอเฉินฝานซิงที่ห้องพักก่อนการแข่งขัน!

 

 

เขายังบอกอีกว่าถ้าหากฉัน…ย่ำยีเธอได้สำเร็จละก็ จะให้ฉันเพิ่มอีกห้าแสน!

 

 

แม้ว่าสุดท้ายจะทำไม่สำเร็จ แต่อีกฝ่ายก็ดูจะพอใจกับผลลัพธ์มาก เลยตบเงินมาให้ฉันอีกสามแสน! ฉันไม่รู้ว่าเงินนั่นใครเป็นคนโอนมา จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าใคร! มาคิดๆ ดูแล้วอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่อยากให้ฉันเข้าไปวุ่นวาย…”

 

 

เฉินฝานซิงกลืนน้ำลายหนืดลงคอไปอย่างยากลำบาก กรอบตาเธอกลายเป็นสีแดงจางๆ อีกทั้งนัยน์ตาสุกใสนั้นยังขึ้นสีแดงก่ำ

 

 

ย่ำยีเธอได้สำเร็จ? จะให้เพิ่มอีกห้าแสน?

 

 

ที่แท้ชีวิตของเธอมีค่าแค่เศษเงินห้าแสน!

 

 

โหดร้ายมาก!

 

 

อํามหิตที่สุด…

 

 

เธอรู้สึกถึงเพียงความร้าวระทมตรงกลางอก เพลิงโทสะที่ถูกสุมอยู่ตรงนั้นแผดเผาเธอไปทั้งตัว สมองของเธอกรีดร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างที่ไม่อาจจะทานทน

 

 

แผลเป็นในอดีตถูกเปิดออกใหม่อีกครั้ง บาดแผลนั้นอัปลักษณ์เสียจนน่าหวาดกลัว

 

 

โสโครก น่าสะอิดสะเอียน!

 

 

เธอหายใจหอบถี่ สองขาอ่อนยวบจนซวนเซไปพิงเข้ากับตู้ตัวข้างๆ

 

 

“แล้วนาย…เป็นอะไรกันหลินเฟยเฟย”

 

 

เฉินหยินเซินหน้าชาไปพลันรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉัน…”

 

 

“นายคิดว่าทำไมวันนี้นายถึงมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้! ฉันได้ยินที่นายกับหลินเฟยเฟยคุยกันหมดแล้ว! ขืนนายยังคิดจะโกหกฉันอีก รับรองว่าฉันจะไม่ปล่อยนายไปแน่!”

 

 

ราวกับเธอคำรามออกมาจนสุดแรง

 

 

“ฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเธอ…”

 

 

เฉินฝานซิงส่งสายตาเย็นยะเยือกมายังเขาพร้อมสีหน้าที่ไม่น่ามองนัก เฉินหยินเซินรีบเสริมขึ้นอีกครั้ง “ฉันเป็นหลานชายของน้องสาวปู่เธอ เรานับได้ว่าเป็นญาติกันห่างๆ…พวกเธอจะไม่รู้ก็ไม่แปลก”

 

 

เฉินฝานซิงเงียบไปเพียงครู่ จากนั้นจึงเค้นหัวเราะเสียงเย็น “งั้นก็เป็นญาติกันสินะ”

 

 

เธอยืนขึ้นก่อนจะคว้าโทรศัพท์เข้ามาเก็บไว้ ดึงกระดาษเช็ดหน้าที่อยู่อีกด้านหนึ่งออกมาแล้วก้าวเดินเข้าไปใกล้เฉินหยินเซิน เธอจัดการกับคราบเลือดที่ติดอยู่บนหน้านั้นให้เขา ก่อนจะคว้าตัวเขามาจับเอาไว้แน่น

 

 

“ห้องของหลินเฟยเฟยอยู่ตรงข้ามนี่ใช่ไหม”

 

 

เฉินหยินเซินเย็นวาบไปทั้งตัว หนังศีรษะเริ่มจะชายิบ เขามองเฉินฝานซิงด้วยความตกใจ!

 

 

ตอนนี้ทุกๆ คนกำลังสนุกกันอยู่ในห้องจัดเลี้ยง คนที่มาในโรงแรมก็มีเพียงพวกเขาไม่กี่คน แถมเฉินฝานซิงยังเข้ามาคนแรก ไม่มีเหตุผลเลยที่เธอจะรู้เลขห้องของหลินเฟยเฟยได้ทันที?

 

 

เฉินฝานซิงแค่นหัวเราะเสียงเย็นอีกครั้ง “ฉันไม่ใช่แค่รู้ว่าเธออยู่ห้องตรงข้ามนะ ฉันยังรู้อีกว่ากล้องวงจรปิดทุกตัวของโรงแรมในคืนนี้เสียหมดแล้ว! หึ…แต่บางทีถ้าพวกเขาเหลือกล้องวงจรเอาไว้ ฉันว่า นั่นแหละยิ่งน่าปวดหัว!”

 

 

จากนั้นเธอหันหน้ากลับไปมองป๋อจิ่งชวนแล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ฉันยังยกเขาให้คุณไม่ได้นะ”

 

 

เขาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ตามสบาย”

 

 

เฉินหยินเซินกลืนน้ำลายลงคอ เขาเผชิญหน้ากับบุคคลทั้งสองที่นิ่งสนิทด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!

 

 

พวกเขาราวกับพวกวิปลาสที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว แต่ก็ยังมีสติและเฉลียวฉลาด

 

 

พวกมีสติ คือพวกวิปลาสที่ฆ่าคนได้อย่างรวดเร็ว!

 

 

ทว่าไม่ทันที่เขาจะได้คิดไปไกลกว่านั้น สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นเห็นคีย์การ์ดที่เปิดได้ทุกห้องที่เขาเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้โดนเธอยึดไปแล้ว จากนั้นเธอก็ได้หยิบขวดเล็กๆ บางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วฉุดเขาขึ้นจากพื้นก่อนจะลากเขาไปนอกห้อง…

 

 

“เธอจะทำอะไร!” เฉินหยินเซินผวาไปทั้งตัว

 

 

“ก็ให้นายได้สนุกให้พอไงล่ะ!”

 

 

……

 

 

เมื่อเห็นว่าเฉินฝานซิงลากเฉินหยินเซินออกไปไกลแล้ว ป๋อจิ่งชวนก็ยกโทรศัพท์ของเขาขึ้นกดหาอวี๋ซง

 

 

“เรื่องที่ฉันให้สืบไปถึงไหนแล้ว”

 

 

“คุณผู้ชายครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณหนูเฉินสืบมาตลอดสามปี จนถึงตอนนี้ก็ยังสาวไปไม่ถึงตัวเฉินเชียนโหรวครับ เรื่องส่วนใหญ่ถูกสกุลเฉินปิดข่าวไปจนหมด แต่ตอนนี้ผมดันขุดเจออีกเรื่องหนึ่งเข้าให้แล้ว อย่างช้าที่สุดพรุ่งนี้ผมจะจัดการให้เรียบร้อยแล้วส่งไปที่มหาวิทยาลัยครับ”

 

 

“อืม”

 

 

 

 

 

 ตอนที่ 340 ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่

 

 

ห้านาทีต่อจากนั้น เฉินฝานซิงก็กลับมาถึงห้องเป็นที่เรียบร้อย

 

 

เมื่อเห็นป๋อจิ่งชวน เธอก็พลันนึกไปถึงฉากความรุนแรงและนองเลือดที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไปหมาดๆ ทำเอาความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขาลดหายลงไปเล็กน้อย

 

 

“เมื่อกี้…”

 

 

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ผมก็นึกว่าคุณจะใจกล้ากว่านี้ซะอีก”

 

 

เฉินฝานซิงลอบเลียริมฝีปาก “การฆ่าคนตายต้องชดใช้ด้วยชีวิต แต่ฉันไม่ได้อยากจะเอาชีวิตไปชดใช้ให้กับคนพรรค์นั้น”

 

 

เมื่อนึกถึงคำที่ป๋อจิ่งชวนพูดออกมา เธอก็ได้กำชับเขากลับไปอย่างกังวลใจอีกครั้งว่า “คุณเองก็ห้ามไปฆ่าใครเด็ดขาด เข้าใจรึเปล่า ยิ่งเป็นคุณแล้ว หากจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตมันไม่ได้คุ้มค่ากันเลย!”

 

 

ป๋อจิ่งชวนกระตุกมุมปากขึ้นบางๆ จนแทบไม่อาจสังเกตเห็น แล้วถามเธอกลับ “แล้วจะเอายังไงต่อ”

 

 

เฉินฝานซิงเก็บกวาดห้องไปพลางพูดขึ้น

 

 

“คืนนี้การเล่นดนตรีของเฉินเชียนโหรวหยุดชะงักลงกลางคัน อันที่จริงนอกจากจะทำให้ฉันขายหน้าแล้วเธอยังตั้งใจจะให้ฉันฟิวส์ขาด ไม่ยอมรับ พยายามอธิบายและคลุ้มคลั่ง เพราะถ้าฉันยิ่งตอบโต้รุนแรงแค่ไหน มันก็จะยิ่งทำให้ฉันยิ่งดูแย่ลงเท่านั้น!”

 

 

ป๋อจิ่งชวนตีคิ้วขรึมฟังเธออยู่เงียบๆ

 

 

“จะว่าไป คงเพราะบทเรียนหลายๆ ครั้งก่อนหน้านี้ วันนี้เฉินเชียนโหรวถึงได้ใช้สมองวางแผนทุกอย่างได้เป็นดิบดี เธอคิดจะป้ายสีว่าฉันกับเฉินหยินเซินคบชู้กัน เพื่อตอกย้ำเรื่องที่ว่าฉันไปให้ท่าเฉินหยินเซินในปีนั้น หยิบเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เทเกลือซ้ำลงบนปากแผล คงกะจะให้ฉันเจ็บแสบจนกระอักตายลงท่ามกลางคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คน เพื่อชดใช้ในทุกๆ ครั้งที่โดนฉันทำให้ปวดใจ เธอเลยตบท้ายด้วยการเหยียบฉันซ้ำให้จมดิน…”

 

 

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเสียงปิดประตูของห้องตรงข้ามก็ดังขึ้น

 

 

นัยน์ตาเธอพลันทอประกาย เธอกระตุกมุมปากขึ้นแล้วหันไปมองป๋อจิ่งชวน ก่อนจะยิ้มพลางพูดว่า

 

 

“แต่ฉันกำลังคิดอยู่ว่า หากคืนนี้เฉินเชียนโหรวหาเพื่อนร่วมทีมที่แสนดีของเธอไม่เจอ เธอจะยอมออกโรงเองรึเปล่า ในเมื่อคืนนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยาก คุณอยากเห็นเฉินเชียนโหรวกำกับละครในคืนนี้ไหม”

 

 

ป๋อจิ่งชวนเบนสายตามองเธออย่างเงียบงัน 

 

 

เฉินฝานซิงมองท่าทางของเขา เธอขำขึ้นมาพลางเดินไปหยุดลงตรงหน้าเขาแล้วแบมือขอ “ยืมโทรศัพท์หน่อย”

 

 

 

 

เวลาห้าทุ่มสี่สิบนาที ประตูห้องของเฉินฝานซิงถูกเคาะขึ้นอย่างเร่งร้อน

 

 

ตามมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนของเฉินเชียนโหรวแว่วเข้ามาจากหน้าประตู “ พี่ พี่คะ พี่อยู่ในนั้นรึเปล่า”

 

 

เฉินฝานซิงเหลือบมองป๋อจิ่งชวนด้วยดวงตาที่สุดแสนจะเอือมระอาและเย้ยหยัน

 

 

เวลาผ่านไปหลายนาทีเธอก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เฉินเชียนโหรวจึงได้เคาะประตูขึ้นอีกครั้ง

 

 

“พี่ พี่คะ อยู่ในนั้นไหม เปิดประตูหน่อย…ไม่ได้การแล้ว ผู้จัดการจาง รบกวนคุณช่วยเปิด…”

 

 

ในขณะที่ผู้จัดการได้เดินถือคีย์การ์ดที่เปิดได้ทุกห้องเข้ามาหวังจะเปิดประตู จู่ๆ ประตูก็ถูกกระชากเปิดออกจากคนที่อยู่ด้านใน จากนั้นเฉินฝานซิงในเสื้อคลุมอาบน้ำก็ได้ก้าวออกมาจากห้อง

 

 

เมื่อเห็นเฉินเชียนโหรว คิ้วของเธอก็ขมวดเข้าพลางรวบเสื้อคลุมอาบน้ำบนร่างกายเข้าด้วยกัน

 

 

“มีอะไร” เธอถามเสียงเข้ม หลังจากที่เดินออกมาก็ไม่ลืมจะดึงประตูให้ปิดตามลงมาด้วย

 

 

สายตาแข็งกร้าวกวาดมองไปยังเฉินเชียนโหรวและซูเหิง

 

 

เฉินเชียนโหรวกะจะแกล้งทำเป็นเคาะประตูสักสองสามครั้งแล้วค่อยเปิดประตูเข้าไปเพื่อพบกับภาพของเฉินฝานซิงและเฉินหยินเซินที่กำลังกอดกันนัวเนีย แต่สุดท้ายเธอคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจู่ๆ พี่สาวของเธอจะเป็นคนเปิดประตูออกมาในเวลานี้

 

 

แต่เมื่อเฉินเชียนโหรวเห็นท่าทีที่เฉินฝานซิงรวบเสื้อคลุมอาบน้ำแล้วรีบปิดประตูลง ความร้ายกาจก็พลันผุดขึ้นจากเบื้องลึกของนัยน์ตา

 

 

“ฝานซิง เธออยู่ที่นี่จริงๆ?”

 

 

ซูเหิงขมวดคิ้วถาม ในน้ำเสียงนั้นอัดแน่นไปด้วยความสงสัย

 

 

“ฉันอยู่ในห้องตัวเองแล้วมันน่าแปลกนักรึไง” เธอว่าพลางหันไปมองเฉินเชียนโหรวด้วยดวงตาจิกกัดเบาๆ “หรือจะบอกว่าห้องของฉันดันไปเข้าตาแม่แฟนสาวแสนดีของนายอีกล่ะ”

 

 

ซูเหิงชักสีหน้าที่เคร่งขรึมและในขณะเดียวกันเฉินเชียนโหรวก็รีบแก้ตัวอย่างรีบร้อน

 

 

“พี่คะ เข้าใจผิดแล้วค่ะ ฉันได้ยินว่ามีคนเห็นผู้ชายมาทำท่าลับๆ ล่อๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของพี่ ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่ ก็เลยรีบตามมาดู!”