โจวเสาจิ่นเป็นห่วงจี๋อิ๋งยิ่งนัก
ครั้งก่อนจี๋อิ๋งยังบอกว่าตระกูลเจียวต้องการคิดบัญชีกับนาง พวกเขาไปหังโจวจากคลองใหญ่จิงหัง ซึ่งคลองใหญ่จิงหังนี้ก็คืออาณาเขตของกลุ่มเดินสมุทรนั่นเอง
นางกลัวว่าจี๋อิ๋งจะถูกพวกเขาค้นพบ
ชุนหว่านยิ้มพลางกล่าวว่า “แม่นางจี๋อิ๋งกำลังนอนอยู่ในห้องเจ้าค่ะ! กล่าวว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนหลับดีๆ วันนี้จึงต้องนอนช่วงกลางวันสักหน่อยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
จี๋อิ๋งอาจจะกลัวถูกคนของกลุ่มเดินสมุทรค้นพบกระมัง!
ระมัดระวังตัวอยู่เสมอย่อมเป็นเรื่องที่ดี
ตกเย็น พวกเขาเปลี่ยนไปขึ้นเรือสำเภาสามเสาลำเล็ก
ที่กล่าวว่าเล็ก ความจริงแล้วเป็นเพราะไปเปรียบเทียบกับเรือสำเภาห้าเสาที่จอดเทียบท่าเรือเจิ้นเจียงเหล่านั้น
เรือสำเภาที่พวกเขาโดยสารมีขนาดยาวกว่าสี่ร้อยฉือ เสากระโดงเรือสูงตระหง่าน ใบเรือยาวเหยียด ราวกับยักษ์ตัวโตมโหฬารที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นแหงนมองเรือสำเภา พลางรู้สึกตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างมาก
กระทั่งนางขึ้นเรือแล้ว เห็นดาดฟ้าของเรือเคลือบเงาวาววับประหนึ่งพื้นผิวของกระจกเงา ห้องโดยสารก็ใหญ่กว่าห้องบนเรือสำราญเมื่อวานเป็นเท่าตัว ดวงตาจึงเบิกกว้างยิ่งขึ้นและกล่าวอะไรไม่ออกอยู่นานครู่หนึ่ง
ชุนหว่านและคนอื่นๆ ย่อมไม่อาจเก็บอาการตะลึงได้อย่างโจวเสาจิ่น พวกนางหลายคนประเดี๋ยวก็ลูบไล้โต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ที่ทำจากไม้หนานมู่ ประเดี๋ยวก็ลูบไล้ฉากกั้นห้องที่ฉลุลายเถาองุ่นเลื้อยพันกิ่งทับทิม พลางร้องชื่นชมอย่างห้ามไม่อยู่
ฝานหลิวซื่ออดกล่าวอย่างทอดถอนใจไม่ได้ว่า “หากว่าซือเซียงรู้เข้าล่ะก็ จะต้องเสียใจที่ไม่ได้ติดตามคุณหนูรองมาเห็นเป็นแน่ ข้าได้ตามคุณหนูรองออกเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้ด้วย แม้นสิ้นใจตายก็จะไม่เสียใจแต่อย่างใดแล้วเจ้าค่ะ”
“พูดจาเหลวไหล!” โจวเสาจิ่นไม่ชอบใจน้ำเสียงของฝานหลิวซื่อ ชีวิตในชาตินี้ของพวกนางจะต้องดีกว่าชีวิตในชาติก่อนแน่นอน ชีวิตของฝานหลิวซื่อก็ต้องดีด้วยเช่นกัน จะมีโอกาสได้ติดตามนางไปชมทิวทัศน์ต่างๆ มากยิ่งขึ้น และได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ มากยิ่งขึ้น
ฝานหลิวซื่อกล่าวอย่างสำนึกผิดว่า “ดูปากนี้ของข้าสิเจ้าคะ…”
ภายหลังเมื่อคุณหนูรองแต่งงานแล้ว หากนางติดตามคุณหนูรองไปด้วย ย่อมจะได้เดินทางไปสถานที่ต่างๆ มากยิ่งขึ้นเป็นธรรมดา
นางหัวเราะแหะๆ
ทางด้านปี้เถากลับร้องตกใจเสียงเบาว่า “พี่สาวชุนหว่าน ท่านดูสิเจ้าคะ! โต๊ะกับเก้าอี้เหล่านี้ล้วนติดอยู่กับพื้นเรือเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นกับฝานหลิวซื่อหันหน้าไปดู ก็เห็นชุนหว่านกำลังออกแรงผลักเก้าอี้มีเท้าแขนข้างหน้านาง “โอ้ มันติดอยู่กับพื้นจริงๆ ด้วย!”
“คงกลัวว่าพวกเราจะทำล้มระเนระนาดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ปี้เถาเอ่ยถาม
ฝานหลิวซื่อเอ่ยตอบว่า “ข้าได้ยินคนกล่าวกันว่า บางครั้งขณะที่เดินทางทางทะเลจะประสบกับคลื่นลมพายุใหญ่ ไม่ต้องเอ่ยถึงข้าวของในห้องโดยสาร แม้แต่คนก็ล้มกลิ้งจนหงายได้ เรือลำนี้ต้องเป็นเรือเดินสมุทรเป็นแน่”
“จริงหรือเจ้าคะๆ” ปี้เถาหันมองตรงนี้ที หันมองตรงนั้นทีอย่างตื่นเต้น พลางกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าเรือลำนี้เป็นเรือของตระกูลเฉิงหรือว่านายท่านสี่ไปขอยืมมานะเจ้าคะ”
“คงจะเป็นเรือของตระกูลเฉิงกระมัง” ชุนหว่านคาดเดาพลางกล่าวว่า “ข้าได้ยินพ่อบ้านข้างนอกบอกว่า ตระกูลเฉิงของพวกเรายังมีขบวนเรือด้วย”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม
ตระกูลเฉิงของพวกเรา…ตั้งแต่เมื่อใดกันที่พวกสาวใช้ที่นางพามาอยู่ด้วยต่างเรียกตนเองว่าเป็นคนของตระกูลเฉิงกันแล้ว!
นางเปิดหน้าต่างเรือออกไปเบาๆ เพียงครึ่งฉื่อ
รอบๆ ล้วนมีแต่เรือลำเล็กกว่าเรือของพวกนาง นางเหลือบเห็นได้อย่างง่ายดายว่าตรงข้ามกับข้างๆ หน้าต่างเรือที่เปิดแย้มเอาไว้นั้นมีหนุ่มสาวอยู่คู่หนึ่ง ทั้งสองคนกำลังยืนอิงหน้าต่างมองออกไปข้างนอกพลางสนทนากันอย่างอิงแอบแนบชิดกันไปด้วย
ดวงหน้าของนางขึ้นสีแดงเรื่อ รีบปิดหน้าต่างเรือ แล้วบอกชุนหว่านว่า “รีบจัดเก็บข้าวของให้ไว พวกเรายังต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีก!”
หีบสัมภาระต่างๆ ได้ยกขึ้นมาไว้บนเรือก่อนที่พวกนางจะขึ้นเรือนานแล้ว
ชุนหว่านกับคนอื่นๆ หัวเราะคิกพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” แล้วไปจัดเก็บสัมภาระอย่างคล่องแคล่วว่องไว
โจวเสาจิ่นล้างหน้าล้างตาใหม่อีกรอบ รอให้ชุนหว่านกับคนอื่นๆ เก็บข้าวของที่นางใช้ประจำไว้ในตำแหน่งประจำเรียบร้อยแล้ว ก็ออกไปดูข้างนอก เมื่อเห็นว่าบนดาดฟ้าเรือไม่มีผู้ใด โจวเสาจิ่นถึงได้ไปยังห้องโดยสารของฮูหยินผู้เฒ่ากัวพร้อมด้วยพวกสาวใช้
เฉกเช่นตอนที่อยู่บนเรือสำราญ เฉิงฉือพำนักอยู่หัวเรือ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพำนักอยู่กลางเรือ ส่วนโจวเสาจิ่นพำนักอยู่ข้างห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ค่อนไปทางท้ายเรือ เป็นห้องพักของบรรดาบ่าวรับใช้ของตระกูลเฉิง
ใครจะรู้ว่านางเพิ่งจะเดินเข้าห้อง ก็มีสตรีเข้ามาแจ้งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ฮูหยินของเฉินซู่หมิงผู้เป็นปลัดเจ้าเมืองเจิ้นเจียงมาขอคารวะท่านเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นรีบลุกขึ้นมา พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นข้ากลับห้องก่อนนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวค่อยมาสนทนาเป็นเพื่อนท่านเจ้าค่ะ!”
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับกวักมือเรียกนาง พลางกล่าวว่า “ไม่ต้องลำบากถึงเพียงนั้น เจ้าอยู่พบนางเป็นเพื่อนข้าก็แล้วกัน ฮูหยินเฉินผู้นี้กล่าวได้ว่าก็พอมีความสัมพันธ์กับตระกูลพวกข้าอยู่บ้าง บิดาของนางเป็นสหายร่วมราชสำนักกับนายท่านผู้เฒ่าของพวกข้ามาก่อน ตอนที่นางเป็นเด็ก ข้ายังเคยอุ้มนางในอ้อมอก เพียงแค่ตั้งแต่นายท่านผู้เฒ่าเสียชีวิตไป พวกข้าสองตระกูลก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก ตอนที่นางให้คนส่งเทียบเชิญมาให้เมื่อช่วงบ่าย เป็นสื่อมามาที่เตือนความจำให้ข้า ข้าถึงจำได้”
สาเหตุที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีกนั้นเป็นเพราะเมื่อคนจากไปแล้วน้ำชาจึงเย็นชืด[1] หรือเป็นเพราะเดิมทีทั้งสองตระกูลก็มีความสัมพันธ์กันเพียงผิวเผินกันนะ
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด แล้วอยู่รอพบฮูหยินเฉินพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินเฉินอายุราวสามสิบห้าถึงสามสิบหกปี รูปร่างสูงใหญ่อวบอิ่ม ผิวขาวเนียนละเอียดหมดจด สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าฝ้ายสีม่วงดอกติงเซียง ครั้นเห็นหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วขอบตาก็แดงเรื่อ พลางสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “ข้าอยากจะไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่ามานานแล้วเจ้าค่ะ แต่ด้วยเหตุที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปี ข้ากลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะจำข้าไม่ได้เสียแล้ว ข้าจึงไม่กล้าไปพบ คาดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ายังจดจำข้าได้อยู่…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางให้สื่อมามาประคองฮูหยินเฉินขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่ต้องเกรงใจ ข้าอายุมากแล้ว ความทรงจำไม่ดีนัก ไม่ได้ออกไปร่วมงานสังสรรค์ใดๆ แล้ว จึงไม่ทราบว่าตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ที่เจิ้นเจียง หลายปีก่อนได้ยินว่าบิดาของเจ้าตายจากไป มารดาของเจ้ายังสบายดีหรือไม่ ยังอาศัยอยู่บ้านเดิมหรือว่าติดตามพี่ชายของเจ้าไปประจำการอยู่ที่เมืองตงก่วนมณฑลก่วงตง ตอนนี้เจ้ามีบุตรกี่คนแล้ว อายุเท่าไรกันแล้ว เป็นคุณชายหรือว่าเป็นคุณหนู”
ถ้อยคำอบอุ่นและอ่อนโยน ประดุจสายลมอ่อนและฝนพรำ
นี่เป็นอีกด้านหนึ่งของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่โจวเสาจิ่นไม่เคยเห็นมาก่อน
นางตั้งใจฟังอย่างห้ามไม่อยู่
ฮูหยินเฉินผู้นั้นตอบทีละคำถาม ทั้งสองคนพูดคุยกันถึงเรื่องของวันวาน จวบจนท้องฟ้าเปลี่ยนสีเป็นมืดมัวลง ฮูหยินเฉินผู้นั้นก็เปลี่ยนคำเรียกฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นท่านป้าแทนเสียแล้ว และกล่าวอีกว่า “วันพรุ่งนี้ท่านอย่าเพิ่งไปเลยนะเจ้าคะ ให้ข้าได้แสดงน้ำใจของเจ้าบ้านสักหน่อย พาท่านไปเที่ยวชมเจิ้นเจียง เมื่อถึงเวลานั้นท่านค่อยออกเดินทางไปหังโจวก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ”
“อย่าเลย!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิเสธนางอย่างสุภาพ “ข้าไปเขาผู่ถัวเพื่อถวายธูปเทียน ไม่อาจล่าช้าได้”
ฮูหยินเฉินผิดหวังเป็นอย่างมาก
ฮูหยินของเกาเย่าผู้เป็นเจ้าเมืองเจิ้นเจียงมาเยี่ยมเยียนฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินเฉินรีบยืนขึ้นมา
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่ขยับตัวแต่อย่างใด
ความกระวนกระวายใจสายหนึ่งวาบผ่านดวงหน้าของฮูหยินเฉิน ชี้โจวเสาจิ่นคล้ายกับอยากจะเอ่ยถามอะไร ทว่าฮูหยินเกากลับเดินเข้ามาแล้ว
“ท่านป้าเฉิงเจ้าคะ!” ฮูหยินเกาทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างนอบน้อม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวค้อมกายเล็กน้อย และพยักเพยิดให้โจวเสาจิ่นออกมาคารวะทำความเคารพ
โจวเสาจิ่นรีบก้าวออกมาทำความเคารพฮูหยินเกา
ฮูหยินเกายังจำนางได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าก็ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกเดินทางเช่นนี้จะไม่มีผู้ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายได้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นคุณหนูรองตระกูลโจวที่ตามมาด้วยนี่เอง หากรู้แต่แรกเช่นนี้ ข้าจะพาเจ้าลูกอยู่ไม่นิ่งคนนั้นของพวกข้ามาพบเจ้าด้วย ให้นางได้รู้จักว่าอะไรคือหญิงสาวจากตระกูลใหญ่”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อพลางเอ่ยว่า “ไม่กล้าเจ้าค่ะ” อย่างขัดเขิน
ฮูหยินเฉินผู้นั้นถึงได้ชำเลืองมองโจวเสาจิ่นแวบหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วยออกหน้ามาพูดแทนโจวเสาจิ่นว่า “นางเป็นเพียงเด็กสาว หน้าบางยิ่งนัก เจ้าอย่าไปเย้าแหย่นางเลย นายท่านของพวกเจ้าเป็นสหายที่ดีของชายสี่ ข้าจึงถือดีนับเจ้าเป็นคนรุ่นลูกคนหนึ่งก็แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าต้องออกเดินทางแต่เช้า หากว่าเจ้าอยากจะเชิญข้าไปเป็นแขกที่จวนของเจ้าจริงๆ ล่ะก็ รอให้ข้ากลับจากผู่ถัวแล้วค่อยว่ากันใหม่”
ฮูหยินเกายิ้มร่า พลางกล่าวว่า “ท่านช่างร้ายกาจจริงๆ นะเจ้าคะ พูดจนข้าไม่อาจจะกล่าวปฏิเสธได้แม้ประโยคเดียว ในเมื่อท่านนับข้าเป็นคนรุ่นลูกของท่าน เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจท่านแล้ว รอให้กลับมาจากเขาผู่ถัว ข้าจะล้างฝุ่นดินให้ท่านอีกนะเจ้าคะ”
ฮูหยินเฉินที่อยู่ข้างๆ ยิ้มเจื่อน ไม่ง่ายเลยกว่าจะสบโอกาสทำความเคารพฮูหยินเกา
ฮูหยินเกาย่อมต้องรู้จักนาง ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ฮูหยินเฉิน” ทว่าสายตากลับจับจ้องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวแนะนำความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูล
ฮูหยินเกาจึงปฏิบัติต่อฮูหยินเฉินอย่างอบอุ่นขึ้นหลายส่วน
ฮูหยินเฉินดีใจอย่างลิงโลด ประจบประแจงฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินเกา จวบจนฮูหยินเกาขอตัวกลับ ฮูหยินเฉินถึงกับช่วยประคองฮูหยินเกาลงจากเรือ
โจวเสาจิ่นที่ออกไปส่งแขกแทนฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจยาวอย่างอดไม่ได้
ทันใดนั้นเสียงของเฉิงฉือก็ดังขึ้นข้างหลังนาง “เป็นอะไรไป รู้สึกเหนื่อยมากหรือ”
โจวเสาจิ่นสะดุ้งตกใจตัวโหยง รีบหมุนตัวกลับ ใครจะรู้ว่าเท้าไปเหยียบชายเสื้อคลุม ทำให้เชือกผูกเสื้อคลุมรัดคอ
นางรีบแก้เชือกผูกเสื้อคลุมออก ถึงหายใจออกมาได้ ทว่าเลือดทั้งหมดกลับพลุ่งขึ้นหน้าจนรู้สึกหน้าร้อนผะผ่าว
ดูเหมือนว่าเฉิงฉือจะไม่ทันสังเกตเห็น กล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “ดึกแล้ว รีบเข้านอนเถอะ! พรุ่งนี้อากาศสดใสอีกวัน หากตื่นนอนแต่เช้า ก็ไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่หัวเรือได้ แสงอาทิตย์จับขอบฟ้า เป็นทัศนียภาพคนละแบบกับการชมตะวันขึ้นบนขุนเขา”
โจวเสาจิ่นขานรับเสียงเบา
เฉิงฉือกลับห้องพักโดยสารของตน
โจวเสาจิ่นถึงค่อยหายใจหายคอคล่องขึ้น
พรุ่งนี้นางจะไปชมแสงแรกของวันดีหรือไม่นะ
โจวเสาจิ่นนึกถึงจี๋อิ๋งที่ตัดพ้อนางเรื่องที่ไม่ยอมไปดูปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่ทะเลสาบถังหูแต่อยากจะไปงานวัดแล้ว จึงตัดสินใจชวนจี๋อิ๋งไปชมพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน
ไม่คาดคิดว่าจี๋อิ๋งกลับกล่าวว่า “พรุ่งนี้ข้าออกไปไม่ได้ เจ้าไปชมคนเดียวเถอะ!”
โจวเสาจิ่นค่อนข้างผิดหวัง แต่ก็พอเข้าใจนางได้ จึงกำชับจี๋อิ๋งให้ระวังตัว แล้วให้ชุนหว่านปลุกนางพรุ่งนี้เช้า
ชุนหว่านรับคำ
วันรุ่งขึ้นขณะที่ฟ้ายังไม่ทันสว่างนางก็ปลุกโจวเสาจิ่นแล้ว
โจวเสาจิ่นออกจากห้องพักโดยสาร ที่หัวเรือมีชายฉกรรจ์แปลกหน้าสองสามคน แต่งตัวคล้ายกับคนเรือบนเรือ
นางจึงไม่กล้าออกไป เปิดหน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก เห็นแสงสีขาวสายหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า จากนั้นอาทิตย์อุทัยก็สาดแสงออกมาอย่างช้าๆ และย้อมผืนฟ้าฟากฝั่งตะวันออกให้กลายเป็นสีแดงฉาน
มิน่าบรรดาบัณฑิตและกวีทั้งหลายถึงได้รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ชมแสงอาทิตย์เบิกฟ้าบนยอดเขาไท่ซาน หากว่าวันใดตนมีโอกาสไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เขาไท่ซานได้ก็คงดีไม่น้อย
โจวเสาจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก อากาศยามเช้าพกพาไอเย็นและความชุ่มชื้นในอากาศพกพาความสดชื่นมาให้หลายส่วน ทำให้นางเปลี่ยนเป็นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
***
ยามเฉินเจิ้ง[2] เรือสำเภาก็ถอนสมอเรือออก
โจวเสาจิ่นยืนอยู่หน้าหน้าต่าง มองดูท่าเรือเจิ้นเจียงค่อยๆ เล็กลง
ครั้นตกบ่าย ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้ปี้อวี้มาชวนนางไปเล่นไพ่ใบไม้
โจวเสาจิ่นรู้สึกอึดอัดใจยิ่ง แต่ไม่อาจปฏิเสธได้
คนส่วนใหญ่บนเรือเป็นสาวใช้ คงไม่อาจปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเล่นไพ่กับสาวใช้เหล่านั้นอยู่เรื่อยไปกระมัง
โจวเสาจิ่นทำใจฮึดสู้เล่นไพ่ไปตลอดช่วงบ่าย เสียเงินไปทั้งหมดเจ็ดเหลี่ยง
หรือว่าพอเห็นทิวทัศน์บนชายฝั่งละม้ายคล้ายคลึงกันหมด ผ่านไปสองวัน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ย้ายไปเล่นไพ่ใบไม้ในห้องเสียแล้ว
เป็นเช่นนี้ติดต่อกันหลายวัน โจวเสาจิ่นใช้เวลาช่วงบ่ายของทุกวันอยู่ข้างโต๊ะไพ่
ตอนที่รับประทานมื้อเช้า นางส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเฉิงฉือ
เฉิงฉือทำทีว่าไม่เห็น แล้วรับประทานอาหารด้วยท่าทางสงบ
โจวเสาจิ่นอดท้อใจไม่ได้
ตกบ่าย ขณะเล่นไพ่ไปได้ครึ่งทาง เฉิงฉือก็เดินเข้ามา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรีบทักเขาว่า “เจ้าทำธุระเสร็จหมดแล้วหรือ”
“ไม่ใช่ธุระเร่งรีบแต่อย่างใดขอรับ” เฉิงฉือกล่าวพลางเดินไปข้างๆ โจวเสาจิ่นอย่างสบายอารมณ์ ทันใดนั้น ก็เอ่ยขึ้นว่า “ทิ้งสามเหวิน ไพ่เช่นนี้เจ้าจะทิ้งหกสั่วได้อย่างไร!”
เหมือนกับคราวก่อน โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่นางก็ทิ้งไพ่สามเหวินไปโดยไม่แสร้งทำเป็นครุ่นคิดแต่อย่างใด
………………………………………………………………….
[1] คนจากไปแล้วน้ำชาจึงเย็นชืด (人走茶凉) เปรียบเปรยว่า เมื่อคนหมดอำนาจลงก็ไม่มีผู้ใดมาสนใจ
[2] ยามเฉินเจิ้ง ประมาณ 8 นาฬิกา