เล่ม 1 ตอนที่ 181 หนทางไม่ราบรื่น

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ณ เมืองผิงคัง ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรจันทร์ประจิมนอกเหนือจากเมืองหลวง อยู่ห่างจากเมืองไตรวารีหลายแสนกิโลเมตร

ภายในเมืองผิงคังมีอาคารบ้านเรือนตั้งเรียงราย มีถนนตัดผ่านตั้งแต่เหนือจรดใต้ บนถนนมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ คึกคักมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง

สมาคมปรมาจารย์วิญญาณตั้งอยู่บนถนนที่มั่งคั่งที่สุดในใจกลางเมือง ผู้ที่มีพื้นที่อยู่บนถนนเส้นนี้ได้ล้วนเป็นขุมอำนาจที่จัดเป็นอันดับต้นๆ ของอาณาจักรจันทร์ประจิม ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีสมาคมใหญ่ทั้งหลายอยู่ด้วย

ตอนที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากสมาคมปรมาจารย์วิญญาณนั้นเป็นยามเที่ยงวันพอดี บนถนนมีผู้คนสัญจรไปมา คึกคักยิ่งกว่าเมืองไตรวารีเสียอีก

“เมืองนี้ช่างมีผู้คนมากมายเสียจริง!” เจ้าอ้วนชวีเห็นท้องถนนอันคับคั่ง โดยเฉพาะหญิงงามมากมายบนท้องถนนแล้วน้ำลายก็แทบจะไหลหกออกมา

“น้ำลายไหลยืดหมดแล้ว” เว่ยจือฉีตบศีรษะเขาทีหนึ่งแล้วหัวเราะหยอกล้อ

เจ้าอ้วนชวียกมือขึ้นเช็ดปากของตนโดยสัญชาตญาณ แต่กลับพบว่ามิได้มีน้ำลายแต่อย่างใด จึงรู้ว่าเว่ยจือฉีกำลังล้อเขาเล่น

“เจ้านี่! ล้อข้าเล่นอย่างนั้นหรือ” เจ้าอ้วนชวีชกหัวไหล่เว่ยจือฉีทีหนึ่ง

ไป๋อวิ๋นฉีเห็นเจ้าอ้วนชวีกับเว่ยจือฉีวิ่งไล่กันจึงตะคอกใส่พวกเขาว่า “พวกเจ้าสู้กันต่อเถิดนะ ข้าพาพวกเขากลับไปก่อนล่ะ ถ้าหากพวกเจ้าหาไม่เจอก็อย่ามาตำหนิพวกเราล่ะ!”

สองคนที่วิ่งไล่กันอยู่ตรงนั้นหยุดลงในทันใดแล้วกลับมายังข้างกายพวกเขา

“อวิ๋นฉี กลุ่มทหารรับจ้างนกนางนวลอยู่ไกลจากที่นี่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ไม่ไกลหรอก ผ่านถนนไปไม่กี่สายก็ถึงแล้วล่ะ” ไป๋อวิ๋นฉีพูด “บนถนนเส้นนี้นอกจากสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ สมาคมทหารรับจ้าง สมาคมนักฝึกสัตว์อสูร สมาคมนักหลอมยา และสมาคมนักหลอมวัตถุแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นร้านค้าของแต่ละขุมอำนาจ ขายยาวิเศษ ขายสัตว์อสูรวิเศษ ขายอาวุธวิญญาณ ทั้งยังมีของเบ็ดเตล็ดต่างๆ มีหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนบ้านพักอาศัยมิได้อยู่บนถนนสายนี้หรอก”

“มิน่าเล่าถนนสายนี้จึงได้คึกคักยิ่งนัก” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางพยักหน้า

“ผู้คนที่มาที่นี่ในแต่ละวันเรียกได้ว่าเป็นหลักหมื่น แค่บนถนนสายนี้เท่านั้นนะ” ไป๋อวิ๋นฉีพูด

“คึกคักจริงๆ เสียด้วย!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เพราะไม่ไกลนัก ดังนั้นพวกเขาจึงมิได้นั่งรถเทียมสัตว์อสูร แต่เลือกที่จะเดินไปแทน

ร้านค้าทุกร้านคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ด้านในมีลูกค้าเป็นจำนวนมาก ขณะที่เดินผ่านหน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ถูกประตูใหญ่ที่ปิดสนิทบานหนึ่งดึงดูดเอาไว้

“โรงอัปลักษณ์หรือ ชื่อนี้ช่างน่าประหลาดนัก!” เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์หยุดฝีเท้า คนอื่นๆ ก็หยุดลงเช่นเดียวกัน

“นี่มันสถานที่อันใดกัน เหตุใดจึงมีผู้คนเพียงน้อยนิดเช่นนี้เล่า” เว่ยจือฉีถาม

“นี่คือสถานที่ประมูล ที่นี่จะเปิดเฉพาะยามบ่ายและยามค่ำเท่านั้น ดังนั้นจึงยังเงียบอยู่น่ะ” ไป๋อวิ๋นฉีพูด

“ทำเฉพาะเวลาบ่ายและค่ำเท่านั้นหรือ โรงประมูลแห่งนี้ช่างพิเศษยิ่งนัก!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“นี่คือโรงประมูลที่ใหญ่โตที่สุดในดินแดนอี้หลิน มีสาขาไม่น้อยอยู่ทั่วทั้งสี่อาณาจักรใหญ่ ถึงแม้ว่ามันจะเปิดเพียงเวลาบ่ายและค่ำเท่านั้น แต่เงินที่หาได้ยังมากกว่าที่อื่นๆ เสียอีก” ไป๋อวิ๋นฉีพูด

“ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”

“แน่นอนอยู่แล้ว ที่นี่มีของที่ข้างนอกไม่มีตั้งมากมาย ดังนั้นผู้คนมากมายจึงได้พากันมาที่นี่ ยามปกติที่สถานแห่งนี้เปิดกิจการ จะจัดงานประมูลตอนต้น กลาง และปลายเดือนของทุกเดือน ถ้าหากมีสิ่งของประมูลที่สำคัญเป็นพิเศษ ก็จะจัดงานประมูลเพิ่ม”

“ตั้งแต่เล็กจนโตข้ายังไม่เคยเข้าร่วมงานประมูลมาก่อนเลย ไว้วันไหนพวกเราก็ไปลองสัมผัสกันดูสักครั้งหนึ่งเถิด” เจ้าอ้วนชวีถามพลางมองพวกซือหม่าโยวเย่ว์

“ได้สิ นับว่าไปเปิดโลกทัศน์สักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน” เว่ยจือฉีพูด

“อีกไม่กี่วันก็จะมีงานประมูลแล้ว ถ้าหากพวกเจ้าอยากเข้าร่วมก็รออีกสักสองสามวันค่อยมาร่วมก็ได้” ไป๋อวิ๋นฉีคำนวณเวลาอยู่ในใจครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

ซือหม่าโยวเย่ว์มองโอวหยางเฟยและเป่ยกงถังปราดหนึ่งก็พบว่าทั้งสองต่างก็มีความสนใจเช่นเดียวกันจึงพูดว่า “เช่นนั้นพวกเราก็รออยู่ที่นี่กันสักสองสามวัน รอให้งานประมูลสิ้นสุดลงก่อนค่อยไปก็ได้”

“ดีเลย”

พวกเขาเดินกันมาเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงจึงจะเดินมาสุดถนนสายนี้ ทุกคนคิดไม่ถึงเลยว่าถนนเส้นนี้จะยาวขนาดนี้ได้ เกือบจะเทียบเคียงได้กับเมืองขนาดเล็กหน่อยเมืองหนึ่งในอาณาจักรตงเฉินเลยทีเดียว

พวกเขาเดินมาถึงหัวถนนแล้วเลี้ยวครั้งหนึ่งก็พบว่าถนนเส้นนี้มีผู้คนบางตากว่าถนนสายเมื่อครู่ไม่น้อยเลย

“เดินถนนอย่างไรกัน ไม่มีลูกตาหรือ!”

พวกซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งเข้ามาสู่ถนนเส้นนี้ก็ได้ยินเสียงก่นด่าเสียงหนึ่ง

“ขอโทษด้วย ขอโทษนะขอรับ!” เสียงเด็กขอโทษขอโพยไม่หยุดปาก น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว

“เพียะ…”

“เพียะ…”

เสียงแส้ฟาดลงบนร่างกาย พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเด็กร้องไห้ดังขึ้นมา

“ลูกบ้านไหนเดินไม่ดูทางเช่นนี้ บังอาจมาชนคุณหนูเช่นข้าเสียได้ เจ้ามันรนหาที่ตายนัก!”

“ฮือๆ ขอโทษขอรับ ข้ามิได้ตั้งใจนะขอรับ! โอ๊ย…”

“มิได้ตั้งใจหรือ เจ้าบอกว่าไม่ตั้งใจก็ใช้ได้แล้วอย่างนั้นสินะ เจ้ากระแทกคุณหนูเช่นข้าเสียจนเจ็บก็ต้องได้รับการลงโทษสิ!”

“เพียะ…”

“เพียะ…”

แส้ฟาดลงบนร่างของเด็กน้อยครั้งแล้วครั้งเล่า แม้บนถนนโดยรอบจะเต็มไปด้วยผู้คน แต่กลับไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปขัดขวางเลย

“เจ้าเด็กผู้นี้ไปชนกับนางมารนั่นได้อย่างไรกัน”

“เฮ้อ…เจ้าเด็กผู้นี้ยังเยาว์วัยเช่นนี้อยู่เลย เกรงว่าคราวนี้คงจะเคราะห์ร้ายเสียแล้วสิ”

“ใครใช้ให้เขาไม่ยอมดูทางให้ดี ชนใครไม่ชน แต่ดันไปชนนางเข้า”

“เฮ้อ… สวรรค์ช่วยด้วย”

พวกซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ตรงหน้าฝูงชน ได้ยินเสียงฟาดและเสียงร้องไห้ดังลอยมา รวมทั้งเสียงกระซิบวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คน จึงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

“น่าชังนัก!” ไป๋อวิ๋นฉีได้ยินความเคลื่อนไหวด้านในจึงแหวกผ่านฝูงชนแล้วแทรกตัวเข้าไปด้านหน้า

พวกซือหม่าโยวเย่ว์ตามเข้าไปก็เห็นหญิงสาวอายุราวๆ ยี่สิบ สวมอาภรณ์งามหรูหราถือแส้เอาไว้ในมือพลางฟาดใส่เด็กวัยไม่กี่ขวบคนหนึ่งไม่ยั้ง

“หยุดนะ!” ไป๋อวิ๋นฉีเห็นเด็กน้อยถูกแส้ฟาดจนแทบจะหมดสติอยู่รอมร่อ จึงตะโกนเสียงดังลั่น “นางมารเช่นเจ้า มารังแกชาวบ้านสามัญบนท้องถนน เด็กเล็กเช่นนี้เจ้าก็ยังลงมือได้!”

ฉินหว่านที่กำลังฟาดอย่างสนุกมือได้ยินว่ามีคนประณามตนจึงหยุดการกระทำในมือครู่หนึ่ง แล้วมองมาทางด้านนี้

“ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นเจ้างั่งอย่างเจ้านี่เอง!” ฉินหว่านมองเห็นไป๋อวิ๋นฉีจึงเอ่ยว่า “เจ้ามิได้ตายอยู่ที่เทือกเขาสั่วเฟยย่า แล้ววิ่งกลับมายุ่งเรื่องที่ข้าตีคนอื่นทำไมกัน! วันนี้คุณหนูเช่นข้าไม่มีอารมณ์จะต่อสู้กับเจ้า ไสหัวไปเสีย!”

พอพูดจบนางก็ชูแส้ขึ้นอีกครั้ง สายตาเล็งจะฟาดลงบนร่างของเด็กน้อย

ไป๋อวิ๋นฉียังไม่ทันขยับเขยื้อน เงาร่างสายหนึ่งก็วิ่งจากด้านหลังเข้าไปคว้ามือของฉินหว่านเอาไว้

“เป่ยกง?”

เป่ยกงถังคว้ามือฉินหว่านเอาไว้แน่น ทำให้นางมิอาจฟาดแส้ในมือลงไปได้

“เจ้าเป็นนางแพศยามาจากที่ใดกัน ถึงกับกล้ามาขัดขวางคุณหนูเช่นข้า!” ฉินหว่านเห็นมือของตนถูกเป่ยกงถังคว้าเอาไว้จึงตะคอกใส่อย่างโมโห

“ปล่อยเด็กน้อยผู้นี้ไปเสีย!” เป่ยกงถังพูดอย่างเย็นชา

“ล้อเล่นหรือไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณหนูเช่นข้าคือใคร ถึงได้กล้ามาออกคำสั่งกับข้าน่ะ นางแพศยาไม่รู้จักตาย เด็กๆ จับตัวนางให้ข้าที! รูปโฉมงดงามถึงเพียงนี้ จะต้องเป็นนางจิ้งจอกยั่วยวนมนุษย์อย่างแน่นอน ทำลายใบหน้าของนางให้คุณหนูเช่นข้าเสีย!” เมื่อฉินหว่านเห็นรูปโฉมของเป่ยกงถังอย่างชัดเจน และเห็นว่านางถึงกับกล้าขัดขวางตน เพลิงโทสะก็ลุกโชนขึ้นในใจ จึงตะคอกขึ้น

คนสิบกว่าคนกรูกันเข้ามาจากด้านหลังของฝูงชนแล้วล้อมเป่ยกงถังเอาไว้

“นางมาร เจ้าช่างกล้านัก!” ไป๋อวิ๋นฉีตะโกนเสียงดังลั่น