บทที่ 9 เดิมพันชีวิต (2) โดย Ink Stone_Romance
ฉู่หลิงอวิ้นหน้าดำหน้าแดง ถูกเขาใช้แววตามองอย่างหยาบคายเช่นนี้ รู้สึกราวกับเปลื้องผ้าในที่สาธารณะถูกผู้คนมองทะลุปรุโปร่งก็มิปาน ทั่วทั้งตัวสั่นอย่างควบคุมไว้ไม่ได้
คำพูดเหล่านั้นของจางอวิ๋นอี้ล้วนแต่แทงเข้าถูกจุดนาง
“ข้าบอกให้เจ้าไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าว ไม่ได้พูดอะไรโต้ตอบออกไป “หากเจ้าไม่ไป ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
“ไม่เกรงใจ? ข้ากลับอยากเห็นนักว่าเจ้าจะไม่เกรงใจกับข้าอย่างไร!” จางอวิ๋นอี้กล่าว ยกเสื้อคลุมขึ้นก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้อย่างไม่แยแสอะไร
ฉู่หลิงอวิ้นโกรธจนตาแทบจะถลน กัดฟันแน่นจนเลือดไหลออกมา ในใจปรารถนาอยากจะกินเขาทั้งเป็น จ้องมองเขาอยู่เนิ่นนาน จู่ๆ ก็กลับยิ้มขึ้นอย่างแปลกประหลาด
ใจของจางอวิ๋นอี้สะดุดไปเล็กน้อย อดระแวงขึ้นมาไม่ได้
ในเวลานี้ ด้านนอกเรือนกลับได้ยินเสียงดังอื้ออึงและเสียงฝีเท้ามากมายที่เร่งรีบเล็ดลอดเข้ามา
“พระชายาช้าหน่อยเพคะ ระวังเท้าด้วยเพคะ!” แม่นมกู้กล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน
ระหว่างที่พูด ด้านนอกคนแซ่เจิ้งที่พ่วงมาด้วยกลุ่มสาวใช้จำนวนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในเรือน
จางอวิ๋นอี้ขมวดคิ้ว ตอนที่กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ฉู่หลิงอวิ้นก็ค่อยๆ เดินช้าๆ ทีละก้าวไปหยุดอยู่หน้าประตู เงยมองดูสีท้องฟ้าพลางกล่าวอย่างเยือกเย็น “หากข้าหลอกใช้เจ้าแล้วอย่างไรเล่า? ตอนนี้หากเจ้าอยากจะถอนตัวก็ต้องถามข้าก่อนว่าข้าอนุญาตเจ้าหรือไม่! ข้าบอกให้เจ้าออกไปตอนนี้ มิฉะนั้น…ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!”
ในใจของจางอวิ๋นอี้เย็นเยียบ อดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียดขึ้นมา
ฉู่หลิงอวิ้นเป็นคนเสียสติที่กล้าทำได้ทุกอย่าง เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองได้กำจุดอ่อนของผู้หญิงคนนี้ไว้แล้วจึงกล้าบุกมากล่าวโทษถึงที่นี่ กลับลืมไปว่าจุดอ่อนของเขาก็ตกอยู่ในมือนางเช่นกัน
จางอวิ๋นอี้มีความขลาดเพียงไหนฉู่หลิงอวิ้นนั้นรู้ดี จึงกล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้าไปว่า “หากจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้ามักมากตัณหากลับ อย่าลืมนะว่า วันนี้เป็นเจ้าที่ยอมรับต่อหน้าผู้คนว่าจางอวิ๋นเจี่ยนพลัดตกน้ำ หากข้าชื่อเสียงป่นปี้เพราะเรื่องนี้ เจ้าก็ต้องถูกฝังเป็นรายต่อไปเช่นกัน ตอนนี้เจ้ากล้าบุกมาข่มขู่ข้าอย่างนั้นรึ?”
ขณะที่นางพูด ก็ยิ้มเยาะอย่างเสียดสี เบือนหน้าหันไปมองจางอวิ๋นอี้ แววตาก็ยิ่งประกายความอำมหิต กล่าวด้วยน้ำเสียงมืดมน “เจ้าก็มีความสามารถเช่นกันหรอกหรือ!”
จางอวิ๋นอี้หน้าซีดเผือด มุมปากกระตุกเป็นระยะ ในตอนที่ลังเลยังหาคำพูดที่เหมาะสมมาตอบโต้ไม่ได้ คนแซ่เจิ้งที่ใบหน้าครุกรุ่นไปด้วยความโกรธก็เดินเข้ามาจากด้านนอกแล้ว
นางประกายสายตาเย็นยะเยือกเหลือบมองไปที่จางอวิ๋นอี้ ยิ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทะมึน “เจ้าเห็นจวนอ๋องหนานเหอเป็นสถานที่แบบไหนกัน? บุกเข้ามาทางเรือนหลังเช่นนี้ จงใจทำลายชื่อเสียงจวนของข้าอย่างงั้นรึ?”
ในใจของจางอวิ๋นอี้เต็มไปด้วยความโกรธ แต่กลับถูกฉู่หลิงอวิ้นหยุดไว้ไม่ให้แสดงออกมา สายตาคู่นั้นที่แฝงด้วยความแค้นมองไปยังสองแม่ลูกตรงหน้าคู่นี้ ค่อยกล่าวอย่างตาต่อตาฟันต่อฟันกลับไป “แน่นอนว่าข้าคำนึงถึงชื่อเสียงของสกุล แต่ว่าเรื่องมาจนถึงปานนี้ จวนอ๋องหนานเหอของพวกท่านยังมีสิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงให้เชื่อถืออยู่หรอกหรือ?”
“เจ้ามันกำเริบเสิบสาน!” คนแซ่เจิ้งเพิ่งจะเคยโดนคนหนุ่มสาวแปลกหน้าสบประมาทครั้งแรกจึงตะโกนกร้าวออกไป ใบหน้าขึ้นสีแดงด้วยความโกรธ
ในเมื่อจางอวิ๋นอี้ไม่ได้พูดตามจริงออกไป นั่นก็หมายความว่าเขายังมีความกังวลอยู่บ้าง ดังนั้นฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจเขา นางส่งเสียงขึ้นจมูกเหอะยิ้มเยาะออกมา ก่อนจะหมุนกายประคองมือคนแซ่เจิ้งกล่าว “ท่านแม่อย่าเพิ่งโมโหเลยเจ้าค่ะ จางซื่อจื่อเพียงแต่ฟังข่าวลือด้านนอกมาเกิดโมโหไปชั่วขณะ ดังนั้นจึงมาหาลูกที่นี่ ตอนนี้ก็ได้คลี่คลายลงแล้ว ไม่มีเรื่องอันใดแล้วเจ้าค่ะ”
ขณะที่นางพูดก็เหลือบไปมองจางอวิ๋นอี้อย่างเหน็บแนม “ซื่อจื่อจึงยังรั้งรอที่จะดื่มชาใช่หรือไม่?”
จางอวิ๋นอี้ถูกนางมองก็รู้สึกราวกับนั่งบนกองไฟ ถึงแม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ยังกัดฟันยืนขึ้นกล่าว “ใช่แล้ว! แต่ก็เข้าใจผิดเพียงเรื่องนี้เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ หวังว่าท่านหญิงจะมีความสามารถไขความสงสัยให้กระจ่างอย่างเร็วที่สุดด้วย!”
ผู้หญิงคนนี้เป็นคนบ้าคนหนึ่ง ในเมื่อตัวเขาเองตกลงไปในกับดักแล้ว ตอนนี้จึงทำได้เพียงช่วยนางกลบเกลื่อนเท่านั้น ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งอารมณ์เสีย
คนแซ่เจิ้งไม่ได้ใช้สีหน้าที่ดีนักมองเขา ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาอาจจะรู้สึกอึดอัดใจ ทว่าขณะนี้จะอย่างไรก็ได้ แม้จะกล่าวลาก็ยังไม่เอ่ยปาก สะบัดเสื้อคลุมหุนหันออกไปทันที
ตอนที่ออกไปจากเรือนก็เจอกับจื่อซวี่ที่เข้ามาจากด้านนอกพอดี
จื่อซวี่พอมองเห็นเขา ในใจก็หวาดกลัวขึ้นมา รีบเร่งหลบไปด้านข้างเพื่อเปิดทาง
จางอวิ๋นอี้ชำเหลืองมองนางด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่คิดว่าเพิ่งจะออกจากประตูจวนอ๋องหนานเหอ ผู้ติดตามของเขาก็เข้ามาหาด้วยสีหน้ารีบร้อน “แย่แล้วขอรับซื่อจื่อ ข่าวลือด้านนอกถูกฮูหยินโหวรู้เข้า นางจึงเข้าไปเอะอะในวัง บอกว่าฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ต้องการให้ท่านหญิงอันเล่อชดใช้ชีวิตให้ท่านชายรองขอรับ”
จางอวิ๋นอี้เมื่อได้ฟัง ถึงกับเข่าอ่อนไปชั่วขณะ ดีที่มีผู้ติดตามคนนั้นพยุงกายไว้
เขาอยากจะเต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธ แต่เมื่อนึกได้ว่าที่นี่คือประตูจวนอ๋องหนานเหอ จึงจำใจต้องข่มเอาไว้ เพียงแต่คว้าแขนผู้ติดตามพลางกล่าว “เรื่องเกิดตั้งแต่เมื่อไร? เหตุใดเจ้าไม่รั้งนางไว้?”
“เกิดขึ้นสักพักแล้วขอรับ” ผู้ติดตามคนนั้นกล่าว ร้อนรนจนอยากจะร้องไห้ “ไม่ใช่ว่าบ่าวไม่อยากรั้งนะขอรับ แต่เรื่องของฮูหยินโหว บ่าวมีสิทธิ์สอดปากที่ไหนกันขอรับ? ซื่อจื่อ ท่านรีบไปดูดีกว่า หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกมา ก็จบเห่แน่ขอรับ!”
จางอวิ๋นอี้ในเวลานี้เสียใจก็ไม่ทันแล้ว…
เหตุใดเขาถึงหน้ามืดตามัวไปยั่วยุฉู่หลิงอวิ้นเข้า? มิฉะนั้นก็คงไม่ต้องกังวลที่เหตุผลไม่เพียงพอไปเป็นพยานเท็จแทนนาง เวลานี้ขึ้นหลังเสือ หากเขารบเร้าแม่ตัวเองไม่ได้ ด้วยนิสัยของฉู่หลิงอวิ้นแล้ว จะต้องลากเขาไปตายกับนางเป็นแน่
“ไป เข้าวัง!” กลืนน้ำลายลงสองอึกด้วยความหวาดหวั่นก่อนกล่าว ในขณะที่พูดก็สะบัดมือผู้ติดตามผู้คนนั้นออกห่าง เดินด้วยท่าทีไร้วิญญาณมุ่งตรงไปยังรถม้า
ทางฝั่งของฉู่หลิงอวิ้น คนแซ่เจิ้งนั้นมวลท้องเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ทว่าเวลานี้นางกลับไม่สนใจเรื่องที่จางอวิ๋นอี้ ไม่มีมารยาท เพียงแต่จับมือฉู่หลิงอวิ้น กล่าวด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล “อวิ้นเอ๋อร์ แม่เพิ่งได้ฟังมา ข่าวลือที่ครึกโครมอยู่ด้านนอกคงไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่?”
นางเป็นห่วงด้วยใจจริง ทว่าฉู่หลิงอวิ้นที่ถูกพูดฉีกหน้าเมื่อครู่คราหนึ่ง เดิมทียังแฝงไปด้วยความน้อยใจอยู่ เมื่อได้ฟังเช่นนี้สีหน้าจึงดูไม่ดีอยู่บ้าง เผยใบหน้าเรียบนิ่งขึ้นมาทันที ดึงมือออกจากคนแซ่เจิ้งกล่าวว่า “ท่านแม่หมายความว่าอย่างไร? แม้แต่ท่านก็ยังไม่เชื่อลูกสาวตัวเองใช่หรือไม่? หากลูกคิดเช่นนี้จริง ลูกก็คงไม่ตอบรับแต่งเข้าสกุลจางหรอก ลูกลำบากใจมากที่ได้แต่งเข้าไป แล้วตอนนี้จะเพื่ออะไรอีก? หรือเพื่อที่จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่หม้าย?”
ดังนั้นชื่อเสียงฉ่าวโฉ่ของฉู่หลิงอวิ้นจึงกลายเป็นเรื่องขำขันตั้งนานแล้ว หากนางชื่อเสียงไร้มลทิน อาศัยฐานะที่เป็นท่านหญิงของราชนิกุล ทั้งสามีก็ตายแล้ว ผ่านไปสามปี รอจนคำนินทาซาลงค่อยแต่งเข้าสกุลที่ต่ำลงมาเล็กน้อยก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทว่าสถานการณ์ของนางในตอนนี้…
พอจางอวิ๋นเจี่ยนตาย นางก็ถูกกำหนดให้เป็นหม้ายตลอดไป
เรื่องโง่เช่นนี้ ลูกสาวจะทำได้อย่างไร?
คนแซ่เจิ้งเมื่อได้ฟังเช่นนี้จึงค่อยเบาใจ นั่งลงคอยปลอบประโลมฉู่หลิงอวิ้นอยู่พักใหญ่
——————————–
วังบูรพา
ข่าวการตายของจางอวิ๋นเจี่ยนนั้นถูกส่งมาตั้งแต่เช้าแล้ว ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้สนใจอะไร เพียงแต่ถามไม่กี่ประโยคก็ปล่อยผ่านไป
ตอนบ่ายฮูหยินแซ่เหยาก็พาเหยาจิ่นเซวียนเข้าประตูมาขอโทษ ฉู่อี้อันเพียงแค่พบหน้าสองคนนั้นก็ให้พ่อบ้านเชิญตัวไปยังฮูหยินใหญ่ทางนู้น
นายใหญ่สกุลเหยาเคารพในกฎเกณฑ์เป็นอย่างมาก ดังนั้นธรรมเนียมของสกุลเหยาจึงค่อนข้างเข้มงวด
เหยาจิ่นเซวียนนั้นมึนเมานัก นอนสะลึมสะลืออยู่คืนเดียวก็ถูกนายใหญ่ลงโทษ หลังจากนั้นก็ตระเตรียมของเพื่อให้ลูกสะใภ้พาหลานมาขอขมา
ท่าทีของฉู่อี้อันนั้นไม่ค่อยยิ้มแย้มอยู่แล้ว ตอนที่ฮูหยินแซ่เหยาเจอเขาก็ตกใจจนเหงื่อเย็นท่วมกันเช่นกัน ดีที่
ฉู่อี้อันกล่าวแค่เพียงสองประโยคก็ไม่ได้ต่อว่ารุนแรงอะไรอีก
เมื่อถึงเรือนหย่าถิง ฮูหยินแซ่เหยาดื่มชาไปหนึ่งถ้วยจึงค่อยคลายความตกใจลงได้ กล่าวกับฮูหยินใหญ่ด้วยใบหน้าที่ละอาย “น้องหญิง ล้วนแต่เป็นเพราะเหยาจิ่นเซวียนเลิ่นเล่อ เมื่อวานจึงทำให้หนิงเอ๋อร์ลำบากใจ ทั้งยังเกือบทำให้สองสกุลขายหน้า วันนี้ข้าแทบจะไม่มีหน้ามาพบท่านแล้ว!”
เกิดเรื่องเช่นนี้ หากฮูหยินใหญ่บอกว่าไม่โกรธสักนิดนั่นก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ทว่าหลังจากไม่ได้นอนทั้งคืนเวลานี้ความโกรธจึงทุเลาลงไปบ้าง
“พี่สะใภ้อย่าพูดเช่นนี้เลย เรื่องราวทั้งหมดน้องล้วนถามจากหนิงเอ๋อร์มาหมดแล้ว ไม่ได้เป็นความผิดของจิ่นเซวียนแต่เพียงผู้เดียว” ฮูหยินใหญ่กล่าว นางและพี่สะใภ้ของพี่ชายนั้นรักษาความสัมพันธ์อันดีมาโดยตลอด จึงทอดถอนหายใจมองไปยังเหยาจิ่นเซวียนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้า กล่าวว่า “จิ่นเซวียนเด็กคนนี้ข้าเห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนเติบใหญ่ นิสัยใจคอของเขาข้าย่อมรู้ดี เพียงแต่เรื่องครั้งนี้ เจ้าก็ประมาทเกินไป คบค้าสมาคมกับคนพวกนั้นไยจึงไม่ระวัง?”
“ล้วนเป็นหลานที่ประมาทเลินเล่อ เกือบจะทำเรื่องเลวร้ายลงไป ข้า…” เหยาจิ่นเซวียนกล่าว คิดถึงเรื่องเมื่อวานยามค่ำก็ระอาทำตัวไม่ถูกขึ้นมา “ข้าทำผิดต่อน้องหญิงจริงๆ!”
——————————————-