ในตอนนั้นเอง เสียงแผ่วเบาจากด้านข้างก็พูดกับเธอ
“คือ ท่าน…คุณหนูลอมบาร์เดีย”
“เรียกแค่คุณหนูก็ได้ค่ะ”
“อ๊ะ ค่ะ! คุณหนูลอมบาร์เดีย!”
เด็กผู้หญิงที่ดูอ่อนแอคนนี้ นางคือเด็กหญิงเจ้าของเรือนผมสีแดงและรอยกระจางๆ บริเวณจมูกนั่นเอง
“ข้ามาจากทางตะวันออก มีนามว่า ทิลเลียน่าคีทอเวลค่ะ”
อ๊ะ คีทอเวล?
ในขณะที่เธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด เมื่อได้ยินชื่อตระกูลที่ทำให้นึกถึงข้อมูลหลายเรื่องเชื่อมโยงปะติดปะต่อเข้าด้วยกันได้ในทันทีทิลเลียน่าก็ถามด้วยใบหน้าแดงระเรื่อเพราะความขวยเขิน
“หากไม่เป็นการรบกวน จะช่วยสอนวิธีการทักทายตามแบบราชวงศ์อย่างที่ทำเมื่อครู่ให้ข้าหน่อยได้มั้ยคะ”
มันไม่ใช่คำขอร้องที่ยากเย็นอะไรนัก แต่ว่า
“เรื่องแบบนั้น เอาไว้เดี๋ยวหัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าก็น่าจะช่วยสอนให้ทั้งหมดอยู่แล้วนี่คะ”
“นั่นก็ใช่ค่ะแต่… ไม่รู้ทำไมการทักทายของคุณหนูลอมบาร์เดียมันดูสง่าและงดงามมากเลยน่ะค่ะ…”
เรื่องนั้นน่าจะเป็นเพราะได้อิทธิพลมาจากชานาเนสละมั้ง
ต่อให้เป็นการทักทายแบบเดียวกัน บรรยากาศและท่วงท่าก็ยังแตกต่างไปตามแต่ละบุคคลอยู่ดี
“ถะ ถ้าหากลำบากใจ ก็ไม่เป็นไรนะคะ แต่ถ้าได้ก็…รบกวนด้วยค่ะ”
ถึงจะลังเล แต่ทิลเลียน่าก็กำหมัดแน่นเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะพูดขึ้น
“ในงานเปิดตัวครั้งนี้ ทุกคนในครอบครัวต่างก็จะเดินทางจากทางตะวันออกอันแสนห่างไกลเพื่อมาที่พระราชวังน่ะค่ะ… ข้าเลยอยากให้พวกเขาได้เห็นภาพลักษณ์ที่ดีของข้าค่ะ”
มันไม่ใช่ข้ออ้างข้างๆ คูๆ แต่ดูเหมือนทิลเลียน่าจะพูดจากใจจริง
แรกเริ่มนิสัยก็ดูไม่เหมือนคนที่พูดจาให้ดูสวยหรูไปอย่างนั้นเสียด้วย
“ขะ ข้าจะเลี้ยงของอร่อยนะคะ! ”
“ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้น”
เธอไม่ได้ตอบตกลงเพราะเห็นแก่กินหรอก
ก็แค่ตั้งใจจะช่วยสอนให้อยู่แล้ว จริงๆ นะ
ในขณะที่เธอกับทิลเลียน่ากำลังสนทนากันต่ออีกหลายประโยค กลุ่มคุณหนูริมหน้าต่างก็เดินเข้ามาใกล้พวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“คุณหนูลอมบาร์เดีย”
เมฟ คาโพเลีย หญิงสาวที่เมื่อครู่ก้าวเท้าออกมากล่าวทักทายหัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้านั่นเอง
ตระกูลคาโพเลียเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตระกูลของนางยังเป็นสมาชิกสภาขุนนางอีกด้วย
และล่าสุดมานี้คุณหญิงคาโพเลียก็เริ่มสนิทสนมกับจักรพรรดินีราวีนี่ เรียกได้ว่าพวกเขากลายเป็นตระกูลที่เริ่มเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลในแวดวงสังคม
“อย่ามัวแต่อยู่ตรงนั้นเลยค่ะ มาสนทนากับพวกเราทางด้านนี้สิคะ”
เมื่อครู่นี้ยังระแวงไม่ชอบขี้หน้าเธออยู่เลยไม่ใช่หรือไง
“ริมหน้าต่างแสงแดดส่องเข้ามาอบอุ่นมากเลยนะคะ”
เมฟ คาโพเลีย ไม่แม้แต่จะเหลือบมองทิลเลียน่า นางเมินเฉยตัดทิลเลียน่าออกจากวงสนทนา
เธอเหลือบมองทิลเลียน่าเล็กน้อยทิลเลียน่าเพียงแค่ยิ้มกระอักกระอ่วนใจ หลุบตาก้มหน้ามองโต๊ะว่างเปล่าเท่านั้น
ถึงแม้จะแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้สึกอะไร
เธอส่งยิ้มให้เมฟ คาโพเลีย ก่อนจะพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“…คะ”
คุณหนูคาโพเลียมีสีหน้าตกใจจริงๆ
คงคิดว่าเธอจะลุกขึ้นจากที่นั่งเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับพวกนางในทันทีละมั้ง
ถึงแม้เธอจะไม่มีประสบการณ์ในแวดวงสังคมเท่าไหร่ แต่เธอไม่ใช่คนใสซื่อขนาดนั้นหรอกนะ
ต่อให้เธอทิ้งทิลเลียน่าแล้วไปรวมกลุ่มกับทางฝั่งนั้น เธอก็ไม่มีทางแทรกตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มคุณหนูที่รู้จักฐานะและสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กได้อยู่แล้ว
“พอดีไม่สบายง่ายน่ะค่ะ นั่งตรงนี้น่าจะดีกว่า”
จะไม่สบายง่ายจริงๆ ได้ยังไง
เอสทีร่าของเธอพร่ำส่งสมุนไพรที่ดีต่อร่างกายมาให้มากตั้งเท่าไหร่
แต่การปฏิเสธอ้อมๆ ด้วยวิธีนี้ มันเป็นวิธีสนทนาที่พวกชนชั้นสูงเขาใช้กัน
เหมือนอย่างที่เมื่อครู่นี้คุณหนูคาโพเลียใช้ ‘แสงแดด’ มาเป็นข้ออ้างยังไงล่ะ
“ตายจริง คงไม่ใช่โรคร้ายแรงนะคะ”
บนใบหน้าของคุณหนูคาโพเลียที่กล่าวเช่นนั้น เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ทรมานป่วยเป็นไข้สักสัปดาห์ แล้วก็ทำงานเลี้ยงเปิดตัวล่มไปเสีย!’
แต่เธอแสร้งทำเป็นเหมือนคนที่สังเกตความนัยไม่ออก ยิ้มหวานในขณะที่ตอบกลับไป
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ คุณหนูคาทารีนา”
พอเธอจงใจเรียกชื่อผิด มุมปากของคุณหนูคาโพเลียที่ยกยิ้มอยู่นั่นก็กระตุกในทันที
เด็กน้อยเอ๋ย คิดจะเอาชนะพี่สาวคนนี้ ยังอีกไกลนะจ๊ะ
เธออาจจะเพิ่งเข้าสู่แวดวงสังคมเป็นครั้งแรกก็จริง แต่ไม่ได้เพิ่งอายุ 12 ปีเป็นครั้งแรกเสียหน่อย
* * *
แคทเธอรีนเดินเข้ามาแจ้งข่าวกับเฟเรสที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวน
“เจ้าชาย มีแขกมาพบเพคะ”
“ข้าสั่งแล้วไม่ใช่หรือว่าวังโฟอิรัคไม่ต้อนรับแขกสักระยะ”
เฟเรสต้องรับมือกับผู้คนที่จักรพรรดินีเที่ยวส่งมาแทบทุกวี่ทุกวัน เสียงของเขาจึงเย็นชาเป็นอย่างมาก
“ลองพบดูสักครั้งเถอะเพคะ”
คำตอบที่ไม่สมกับเป็นแคทเธอรีนเลยแม้แต่น้อย ทำให้เฟเรสละสายตาจากหนังสือ แล้วเงยหน้าขึ้นมองนาง
“แขกที่ว่าคือใครกัน”
“หัวหน้านางกำนัลประจำพระราชวัง พอนต้า อิมพีกร้าค่ะ”
ตอนนี้เฟเรสเริ่มเข้าใจแล้วว่า ในพระราชวังแห่งนี้ ใครเป็นคนของจักรพรรดินี ใครเป็นคนของจักรพรรดิ
ในบรรดาคนเหล่านั้น หัวหน้านางกำนัลพอนต้า อิมพีกร้า เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับจักรพรรดินี
“ให้เข้ามาได้”
ไม่นานหลังจากนั้น พอนต้า อิมพีกร้าก็ใช้ไม้เท้าพยุงร่างชราเดินเข้ามา ก่อนจะถวายบังคมด้วยความนอบน้อม
และหญิงชราก็เอาแต่มองเฟเรสโดยไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่
ราวกับนึกถึงใครบางคนที่นางแสนจะอาลัยผ่านใบหน้าของเฟเรส
และในที่สุดหัวหน้านางกำนัลพอนต้า อิมพีกร้า ก็เปิดปากพูดราวกับตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
“หม่อมฉันขอบังอาจยื่นขอเสนอให้แก่เจ้าชายลำดับที่สองเพคะ”