ตอนที่ 282 การเริ่มต้นของการชิงเปลือก

พันธกานต์ปราณอัคคี

ประตูห้องถูกเตะออกดังตึง อูเย่ว์เดินสวบๆ เข้ามา มองดูมั่วชิงเฉินที่ผิวหนังย่นแดงดุจเด็กทารกเกิดใหม่หลังจากผิวดำลอกหมดตัวแล้ว ยิ้มอย่างพอใจ

 

 

มั่วชิงเฉินฝืนทนความเจ็บปวดไว้ แอบด่าวิปริตเสียงหนึ่ง นางไม่เชื่อหรอกนะว่ายายแก่บ้านี่ให้ตนดื่มของเหลวพวกนั้นเพื่อทำให้สภาพผิวดีขึ้น ต้องรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรสร้างรากฐานก็เพื่อระบายสารพิษในร่างกาย เป็นขั้นตอนการถอดรูปเปลี่ยนกระดูก หลังจากสร้างรากฐานสำเร็จ สีผิวของแต่ละคนมีดำมีขาว ทว่าล้วนเนียนลื่นละเอียดอย่างแน่นอน นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ว่าต่อให้รูปโฉมของผู้บำเพ็ญเพียรไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ดูแล้วกลับดูดีกว่าคนธรรมดามาก

 

 

อูเย่ว์ยื่นมือ จับข้อมือของมั่วชิงเฉินไว้ เตือนว่า “ยัยเด็กบ้า อีกสักครู่ไม่ว่าข้าจะทำอะไร เจ้าล้วนห้ามต่อต้าน จำได้หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินตกใจ หมายความว่าอะไร หรือว่านางจะชิงเปลือกแล้ว? เมื่อคิดๆ ดูกลับปฏิเสธการคาดเดานี้อีก ต่อให้นางทนไม่ไหวปานใด อย่างน้อยก็ต้องรอถึงตนเข้าสู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์กระมัง คิดได้ดังนั้นจึงพยักหน้าอย่างสงบ “รู้แล้ว”

 

 

เมื่อเปิดปากถึงพบว่าผ่านการทรมานเช่นนั้นมา เสียงได้อ่อนแออย่างมากแล้ว

 

 

อูเย่ว์พลิกตัวขึ้นเตียงหิน นั่งหันหน้าเข้าหามั่วชิงเฉิน จากนั้นประสานฝ่ามือทั้งสี่ เตือนอีกครั้งว่า “จำไว้ ห้ามต่อต้าน!”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากพยักหน้า ทันใดนั้นรู้สึกได้ถึงปราณมารสายหนึ่งพุ่งเข้าร่างกายจากกลางฝ่ามือ

 

 

พลังวิญญาณภายในกายออกไปขับไล่โดยจิตใต้สำนึก แล้วก็ได้ยินอูเย่ว์ตะคอกว่า “ผ่อนคลาย มิเช่นนั้นหากชีพจรหัวใจเจ้าขาดสะบั้นข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าไม่ดี กลังนางไม่ให้ความร่วมมือ จึงเอ่ยอีกว่า “วางใจ เจ้าเป็นร่างฮุ่นตุ้น ปราณมารเพียงเท่านี้ไม่ตายหรอก!”

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาลง ปล่อยให้ปราณมารสายนั้นอาละวาดตามอำเภอใจอยู่ในร่างกาย เหงื่อเย็นบนหน้าผากตกลงมาแล้ว แอบด่าว่า ร่างฮุ่นตุ้นบ้าบออะไร ตนเป็นแค่ของไร้ประโยชน์สี่รากวิญญาณเทียมชัดๆ หากไม่เพราะมีน้ำเต้าเซียนในมือ ดีไม่ดีบัดนี้ยังวนเวียนอยู่ระดับหลอมลมปราณอยู่เลย!

 

 

นึกถึงตรงนี้จู่ๆ เกิดคิดอะไรขึ้นมาได้ สุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าเซียนนั่นแม้ไม่มีปราณวิญญาณแม้แต่น้อย ดูแล้วไม่ต่างจากสุราธรรมดา กลับสามารถเร่งการเกิดหญ้าทิพย์ แม้แต่วานรเฒ่าที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ได้แล้วที่หุบเขาลั่วเยี่ยนก็อาลัยอาวรณ์มิรู้คลาย ต้องรู้ว่าในบางแง่มุมอสูรวิญญาณความรู้สึกไวกว่าผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์มาก มุ่งหาผลประโยชน์หลบเคราะห์กรรมเป็นสัญชาตญาณชนิดหนึ่ง หรือว่าสุราเลิศรสนี้ยังมีความอัศจรรย์อย่างอื่น? เช่น… เปลี่ยนสภาพร่างกาย?

 

 

แน่นอน นี่เป็นเพียงการคาดเดาของมั่วชิงเฉิน ถึงบัดนี้นางไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าตกลงร่างฮุ่นตุ้นมีความพิเศษอะไรกันแน่

 

 

อย่างรวดเร็ว ปราณมารสายนั้นก็กลบความคิดทั้งหมดของนาง ความเย็นเยียบเ**้ยมเกรียมกัดกินชีพจรไปทุกตารางนิ้ว เจ็บจนหายใจไม่ออก

 

 

ปราณมารที่มาจากผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณเผด็จการอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ ยึดตันเถียนของมั่วชิงเฉินไปอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณที่มีทั้งหมดถูกเบียดไปอยู่ที่มุมอับ

 

 

ยายแก่บ้านี่จะทำอะไรกันแน่? มั่วชิงเฉินกัดฟันคิด กลิ่นอายที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงของเต๋ามารทำให้นางทรมานเหมือนจมน้ำ โดยเฉพาะยามที่ในตันเถียนถูกอัดเต็มไปด้วยปราณมารอย่างช้าๆ ความรู้สึกไม่สบายตัวเช่นนั้นยิ่งนานยิ่งรุนแรง

 

 

ทว่าปราณมารพวกนั้นเมื่อยามเข้าใกล้ปราณเซียนมารสองกลุ่มที่อยู่ในตันเถียนก็จะหลบออกไปเอง ถึงไม่ได้ก่อให้เกิดการโต้กลับของปราณเซียนมาร มิเช่นนั้นเกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของมั่วชิงเฉินก็คงจบแล้ว

 

 

ในที่สุดอูเย่ว์ก็หดมือกลับ แล้วดีดโอสถเม็ดหนึ่งเข้าปากมั่วชิงเฉินเร็วเหมือนฟ้าแลบอีก จากนั้นใช้มือตบหลังนางทีหนึ่ง อีกทั้งจี้จุดอีกหลายสิบที ถึงหยุดมือ

 

 

มั่วชิงเฉินตะลึงแล้ว ผ่านการมองภายในนางสามารถเห็น โอสถที่กินเข้าไปเมื่อครู่เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็กลายเป็นปราณโอสถกลุ่มหนึ่งลอยเข้าตันเถียน จากนั้นเริ่มกัดกินปราณมารในตันเถียนขึ้นมา

 

 

ความเร็วแม้เอื่อยเฉื่อย ทว่าปราณมารพวกนั้นราวกับเด็กที่เชื่อฟังก็ไม่ปาน ไม่โต้กลับแม้แต่น้อย ก็ปล่อยให้ปราณโอสถกลุ่มนั้นกลืนกินไป

 

 

ในที่สุดปราณโอสถกลุ่มนั้นกลืนกินปราณมารที่มีจนหมด จนขยายใหญ่ขึ้นรอบหนึ่งแล้ว มันดิ้นไปมาไม่หยุดราวกับเคี้ยวอยู่ ประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืด ประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวขาว ดูแล้วประหลาดยิ่งนัก

 

 

มั่วชิงเฉินตกใจสงสัยยิ่งนัก กลับได้ยินอูเย่ว์หัวเราะแหะๆ ว่า “ไม่เลว ไม่เลว สมกับที่เป็นร่างฮุ่นตุ้น ไม่คิดว่าจะราบรื่นเช่นนี้”

 

 

“ตกลงเจ้าจะทำอะไรกันแน่?” ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ทนไม่ไหวถามขึ้น

 

 

“อีกไม่นานเจ้าก็รู้แล้ว” อูเย่ว์ยิ้มอย่างมีเลศนัย

 

 

ทันได้นั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกถึงกระแสปราณที่แหลมคมพุ่งตรงเข้าหัวใจ เจ็บจนนางร้องออกมา จากนั้นก็เห็นปราณโอสถกลุ่มนั้นแหวกช่องว่างออกช่องหนึ่ง ปราณวิญญาณทะลักออกจากช่องว่างนั้นออกมาไม่ขาดสาย

 

 

ชีพจรของนางถูกโอสถขยายชีพจรขยายออกตั้งนานแล้ว แม้ไม่รู้ว่าเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้วเป็นเช่นไร อย่างน้อยไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานจะเทียบได้แล้ว ต่อให้ปราณวิญญาณทะลักออกจากกลุ่มปราณโอสถไม่หยุดไหลไปที่ชีพจรทั่วร่าง กลับราวกับอัดอย่างไรก็ไม่เต็มอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ในที่สุดปราณโอสถกลุ่มนั้นก็ไม่มีปราณวิญญาณทะลักออกมาอีก หลังจากหดเล็กลงจนขนาดเท่าเล็บมือแล้วสลายไปอย่างไร้สุ้มเสียง

 

 

มั่วชิงเฉินอยู่ในสภาพตะลึงจนสุดขีดแล้ว เพียงทรมานเท่านี้ ไม่คิดว่าตบะที่เพิ่มขึ้นก็เกินที่นางบำเพ็ญเพียรหนึ่งปีภายใต้สถานการณ์ไม่ขาดโอสถ

 

 

“ฮ่าๆๆๆ…” อูเย่ว์หัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา “สวรรค์ช่างเป็นใจต่อข้าจริงๆ นางหนูคนดี โชคดีที่เจ้าเป็นร่างฮุ่นตุ้น สามารถรับปราณมารอัดร่างด้วยร่างของผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าได้ มิเช่นนั้นข้ายังต้องรออีกยี่สิบสามสิบปี กลับไม่มีความอดทนเช่นนั้นแล้ว!”

 

 

ปราณมารอัดร่าง? มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว แม้นางไม่รู้ว่าปราณมารอัดร่างคือวิชาลับอะไรทางมาร กลับรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่านี่จัดเป็นวิชายุทธ์นอกรีต

 

 

ตบะที่สำเร็จอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ต้องเหลือภัยแฝงไว้แน่นอน!

 

 

ทว่านางไม่มีทางเลือกแล้ว ขอเพียงมีชีวิตรอดจากเงื้อมมือยายแก่นี่ได้ ก็โชคดีเหลือล้นแล้ว

 

 

ก็เป็นเช่นนี้ ทุกสามวัน มั่วชิงเฉินก็จะประสบกับการทรมานที่ผิดมนุษย์มนาของปราณมารอัดร่างครั้งหนึ่ง แม้ตบะเพิ่มขึ้นอย่างโจนทะยาน ทว่าร่างกายกลับซูบผอมลงไปอย่างรวดเร็ว

 

 

นานๆ เหลือบมองเงาที่สะท้อนอยู่ในน้ำปราดหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะผอมเหลือแต่กระดูกแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินรู้ดี นี่ไม่เพียงแต่เพราะร่างกายตนต้องประสบกับการทรมานเจ็บปวดผิดมนุษย์ตลอดเวลา ที่สำคัญกว่ากลับเกิดจากการที่เพราะใช้วิชาลับนอกรีตฝืนเพิ่มตบะ อีกทั้งไม่เหมือนสมบัติฟ้าดินบางอย่างที่สามารถเพิ่มตบะซึ่งแฝงไว้ด้วยสารที่หล่อเลี้ยงร่างกาย ร่างกายยากจะแบกรับตบะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้

 

 

สามเดือนผ่านไป ตบะของมั่วชิงเฉินอยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์แล้ว พลังวิญญาณในกายใส่ไม่ลงแม้แต่อีกส่วนแล้ว นางรู้ว่า วันนั้นกำลังจะมาถึงในเร็ววัน นึกถึงตรงนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด กลับคาดหวังขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

ยามที่อูเย่ว์เดินเข้ามา เห็นมั่วชิงเฉินแย้มยิ้มนิ่งเรียบมองหน้าต่างอย่างเงียบๆ พอดี

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด นางรู้สึกเพียงว่ารอยยิ้มนี้ขัดหูขัดตาเหลือเกิน กวาดผ่านสองแก้มที่ตอบลงไปของสาวน้อยอีก แล้วขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ แอบว่ารอตนชิงเปลือกสำเร็จก่อน ต้องพักรักษาตัวให้ดี จะสิ้นเปลืองรูปโฉมที่ดีเช่นนี้ไม่ได้

 

 

“นางหนูน้อย คิดว่าเจ้าคงเดาได้ว่ายายมาทำอะไรแล้วสินะ?” อูเย่ว์เพ่งพิศสีหน้าของมั่วชิงเฉินพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เสียดายที่มั่วชิงเฉินท่าทางไม่สะทกสะท้าน ทำให้นางมองเงื่อนงำอะไรไม่ออก

 

 

นางหนูนี่ หรือว่ามีแผนสำรอง? อูเย่ว์คิดในใจ

 

 

เดิมทีมั่วชิงเฉินก็จิตใจกระจ่างอยู่แล้ว อีกทั้งยังอยู่กับมารร้ายเช่นหลัวอวี้เฉิงมานานหลายปี เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียดยิบของสีหน้าอูเย่ว์ก็เข้าใจความกังวลของนางในพริบตา ประกายในตามืดมนลงเงียบๆ เอ่ยด้วยหน้าไร้ความรู้สึกว่า “ตามใจเจ้า”

 

 

แล้วเปลี่ยนจากท่าทางไม่สะทกสะท้านในตอนแรกเป็นหมดอาลัยตายอยากในทันที

 

 

อูเย่ว์โล่งอก แอบด่าตัวเองเสียงหนึ่ง เพียงแค่นางหนูน้อยระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งเท่านั้น หรือว่ายังจะแหวกฟ้าออกไปได้หรืออย่างไร?

 

 

“นางหนูน้อย เดิมทียายคิดจะรอให้เจ้าก่อแก่นปราณก่อนค่อยว่ากัน ทว่าเห็นสภาพร่างกายเจ้ายามนี้กลับรอไม่ได้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ” พูดพลางยื่นมือไปที่มั่วชิงเฉิน

 

 

“ช้าก่อน” มั่วชิงเฉินหดตัวไปข้างหลัง

 

 

สายตาอูเย่ว์เย็นชาลงมา “เป็นอันใด เจ้ายังคิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบสูดลมเข้าอึดหนึ่ง เดิมนางนึกว่าหลังจากตนอยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์แล้วยายแก่บ้านี่จะเอาโอสถประหลาดหายากอะไรออกมาให้ตนฝืนก่อแก่นปราณเสียอีก ไม่คิดว่านางจะลงมือล่วงหน้าเสียแล้ว

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ เมื่อไรที่การชิงเปลือกเริ่มขึ้น ตนจะมีโอกาสชนะมากน้อยเพียงใดกันแน่นะ?

 

 

มั่วชิงเฉินใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว ปากถามว่า “เขาล่ะ?”

 

 

อูเย่ว์เข้าใจขึ้นมาทันที หัวเราะว่า “นางหนูน้อย เวลาเช่นนี้ยังคิดถึงคนรักของเจ้าอีกนะ?”

 

 

มั่วชิงเฉินกลับไม่สนใจความเยาะเย้ยในคำพูดนาง เพียงแต่เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ข้าจะพบเขา ข้าต้องรู้ว่าตกลงเขาเป็นเช่นไรแล้ว!”

 

 

“นางหนูน้อย เจ้านึกว่ายังต่อรองได้หรือ?” เสียงอูเย่ว์แหลมขึ้นมา

 

 

มั่วเชิงเฉินเชิดคาง เอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “ข้าไม่ได้ต่อรอง เจ้าฟังไว้ ข้าจำเป็นต้องพบเขา มิเช่นนั้นข้าก็จะระเบิดตันเถียนตนเองตาย ให้เจ้าตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำได้แต่ความว่างเปล่า!”

 

 

อูเย่ว์มือสั่นว่า “ได้ ได้ ยัยเด็กบ้า เจ้ายังช่างหลงงมงายในรักจริงๆ!”

 

 

พูดจบโบกมือทีหนึ่ง ก็ได้ยินความเคลื่อนไหวมาจากสระน้ำข้างนอก ไม่นานนัก ก็เห็นจิ้งจกมหึมาสองสามตัวแบกโลงผลึกแก้วใบหนึ่งเดินเข้ามา

 

 

อูเย่ว์โบกมือ ผลึกน้ำแข็งงก้อนใหญ่ที่ปิดโลงผลึกแก้วอยู่เคลื่อนออกมา ตะโกนว่า “ไปเถอะ ดูปราดหนึ่งจะได้ตายใจ!”

 

 

มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปอย่างลำบาก พยุงโลงผลึกแก้วมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง จากนั้นยื่นมือออกลองลมหายใจของเขา

 

 

ลมหายใจที่แผ่วเบาทำให้นางโล่งอก มองใบหน้าที่งดงามไร้มลทินของเยี่ยเทียนหยวนพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “ขอโทษ…”

 

 

ขณะที่หมุนตัว กลับแอบตบถุงอสูรวิญญาณของตน

 

 

“วางใจแล้ว?” เห็นมั่วชิงเฉินย้อนกลับมานั่งลงบนเตียงเงียบๆ อูเย่ว์หัวเราะ

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ส่งเสียง ริมฝีปากเม้มแน่นหน้าไร้ความรู้สึก ทว่าความหวาดหวั่นในแววตาที่พยายามปิดบังสุดกำลังกลับทำให้อูเย่ว์พอใจยิ่งขึ้น

 

 

ยันต์แผ่นหนึ่งตบลงบนหน้าผากมั่วชิงเฉิน นางตัวแข็งทื่อทันที สีหน้าซึมเซาลง ส่วนสิทธิ์การควบคุมร่างกายก็ถูกริบไปตามสติสัมปชัญญะที่ค่อยๆ หายไป

 

 

ความรู้สึกเช่นนี้อัศจรรย์มาก ตนเองมีสติอยู่ชัดๆ กลับไม่อาจสั่งการร่างกายได้ กระทั่งความรู้สึกตื่นตกใจ ตุ้มๆ ต่อมๆ ล้วนไม่อาจแสดงบนใบหน้าได้

 

 

ในเวลานี้ ดวงแสงสีแดงก้อนหนึ่งลอยออกจากกระหม่อมอูเย่ว์ ส่ายไปส่ายมาอยู่กลางอากาศ และหายเข้าไปในกระหม่อมมั่วชิงเฉินทันที

 

 

มั่วชิงเฉินสะดุ้งเฮือก กลับไม่ใช่ร่างกายนาง หากแต่เป็นดวงจิตที่แอบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของทะเลแห่งความตระหนัก[1]

 

 

ดวงแสงสีแดงมุดเข้าส่วนลึกทะเลแห่งความตระหนักของมั่วชิงเฉินอย่างรวดเร็ว มีดวงจิตอยู่ร่วมกันสองดวง ในนั้นคับแคบขึ้นมาทันที

 

 

มองดูดวงแสงเล็กกว่าตนมากที่หลบอยู่ที่มุมอับ ดวงแสงสีแดงที่มาจากข้างนอกตื่นเต้นขึ้นมา แยกเขี้ยวยิงฟันโถมเข้าไปฉีกทึ้งขึ้นมา

 

 

แล้วในเวลานี้เอง ถุงอสูรวิญญาณที่เอวของมั่วชิงเฉินเป็นประกายวาบขึ้น เงาดำเงาหนึ่งถลาตรงไปที่ร่างกายอูเย่ว์ที่ไม่ขยับเขยื้อน

 

 

 

 

——

 

 

[1] ทะเลแห่งความตระหนัก หมายถึง ความรู้ทั้งหมดที่เก็บไว้ในความทรงจำของทะเลแห่งความตระหนักของคนคนหนึ่งนั้นกว้างเท่าทะเล