ตอนที่ 849-850

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 849+ 850 โดย Ink Stone_Romance

 

บทที่ 849 เจ้าเป็นชายชาญทำตัวกระเง้ากระงอดไปเพื่อการใด

เยี่ยนเฉินมองอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยชม “ยอดเยี่ยม! ซีจิ่ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วย! ช่างน่าเลื่อมใส!”

เชียนหลิงอวี่ที่อยู่ด้านข้างก็ตาลุกวาว “ข้าจะเอาด้วย! ซีจิ่ว เจ้าออกแบบให้ข้าด้วยสิ!”

เยี่ยนเฉินเตะเขาออกไปทันที “รังสุนัขของเจ้าจัดแจงดีแล้วมิใช่หรือ? แสงทองวาววับเสียดตาคน…”

“ซีจิ่วดูแล้วบอกว่าไม่เหมาะนี่ บอกว่าแบบนี้จะก่อเป็นแสงอะไรสักอย่างเป็นภัย ทำให้ข้าไม่เติบโต ดังนั้นข้าจะออกแบบใหม่! ซีจิ่ว เจ้าออกแบบให้ข้าใหม่ได้ไหม?” เชียนหลิงอวี่เข้าไปกระตุกแขนเสื้อกู้ซีจิ่วทันที

ใกล้หมึกย่อมเปื้อนหมึก เขาเห็นจิ้งจอกน้อยกระตุกแขนเสื้อกู้ซีจิ่วเช่นนี้ประจำ จากนั้นไม่นานก็ทำให้นางใจอ่อนได้…

ดังนั้นเขาจึงทำหน้าหนาเลียนแบบดู

เยี่ยนเฉินทนมองสิ่งนี้ไม่ได้จริงๆ เอ่ยหยามเขา “เจ้าเป็นชายชาญทำตัวกระเง้ากระงอดไปเพื่อการใด?!”

ทั้งสี่คนเอะอะมะเทิ่งกันอยู่ภายในห้อง แต่เห็นได้ชัดเจนยิ่งนัก ว่าสี่คนนี้เข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ

หลงซือเย่ค่อนข้างนั่งไม่ติดอยู่บ้าง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าศัตรูความรักของตนดูเหมือนจะมิใช่ตี้ฝูอีเพียงคนเดียว เยี่ยนเฉินกับเชียนหลิงอวี่ที่อยู่ในห้องก็อันตรายมากเช่นกัน

โดยเฉพาะเชียนหลิงอวี่ หลายวันมานี้เจ้าเด็กนี่แทบจะวอแวกู้ซีจิ่วอยู่ตลอด

แต่ผู้อื่นเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอ แถมยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันด้วย อยู่ด้วยกันทุกวันก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจตำหนิได้

วินาทีนั้นหลงซือเย่รู้สึกว่า ถ้าตนเป็นอาจารย์ของกู้ซีจิ่วย่อมมิอาจเข้าใกล้ได้ดั่งศาลาใกล้สายชลมักได้ชมจันทร์ก่อน สู้เป็นสหายร่วมชั้นของเธอไม่ได้…

เขาอดไม่ได้ที่จะมองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง คนผู้นี้ปกติแล้วกระทำการใดล้วนไร้ขีดจำกัดล่าง ทำตามอำเภอใจ แต่ก็เก็บซ่อนความคิดได้มิดชิด เขานั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้น สีหน้าเฉื่อยชาอยู่ตลอด มองอะไรไม่ออกเลย

หลงซือเย่ไม่เชื่อว่าคนผู้นี้จะยอมปล่อยมือจากกู้ซีจิ่วจริงๆ น่าจะวางแผนอะไรอยู่…

เมื่อลงมือย่อมออกกระบวนท่าใหญ่เป็นแน่!

เด็กทั้งสี่ในห้องนั้นครึกครื้นนัก ยามนี้เหมือนจะเริ่มเล่นทายนิ้ว[1]กันแล้ว

ในเมื่อกู้ซีจิ่วเคยเป็นนักฆ่ามาก่อนเธอย่อมคุ้นเคยกับเกมกรอกสุราเช่นนี้ยิ่งนัก แถมยังคอแข็งมากด้วย ยามเล่นทายนิ้วมักจะเล่นจนคนอื่นลงไปกองอยู่ใต้โต๊ะประจำ

ดังนั้นเมื่อเธอเล่นเล่นทายนิ้วกับเด็กน้อยสามคนนี้จึงชนะมากกว่าแพ้

ล้วนเป็นเป็นเด็กน้อยเยาว์วัยด้วยกันทั้งสิ้น พอเล่นขึ้นมาก็บ้าดีเดือดยิ่งนัก แม้แต่หลานไว่หูเผยออกมาเช่นกัน

ในบรรดาคนที่อยู่ที่นี่หลานไว่หูแพ้บ่อยที่สุด และคนแพ้ก็ต้องดื่มสุราบ้างทำการแสดงบ้าง จิ้งจอกน้อยค่อนข้างไม่ได้เรื่อง ดื่มสุราไม่กี่จอกก็เมาได้ง่ายๆ แถมนางยังแสดงไม่เป็นอีก

ด้วยเหตุนี้เยี่ยนเฉินจึงทำได้เพียงดื่มแทนนาง ความสามารถในการดื่มของเยี่ยนเฉินก็ธรรมดาทั่วไป ผนวกกับบทลงโทษของตัวเขาเองด้วย หลังจากดื่มไปสิบกว่าจอก ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็แดงก่ำแล้ว

จิ้งจอกน้อยปวดใจอยู่บ้าง หักใจให้เขาดื่มแทนตนไม่ได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงขอร้องกู้ซีจิ่ว เดิมทีกู้ซีจิ่วก็คิดจะดื่มแทนนางอยู่หลายจอก ทว่าจู่ๆ เชียนหลิงอวี่กลับเสนอความเห็นขึ้นมา “ซีจิ่ว เจ้าร้องเพลงได้ไม่เลวยิ่งนัก มิสู้เจ้าร้องออกมาสักเพลง?”

กู้ซีจิ่วก็เมานิดๆ แล้วเหมือนกัน อีกทั้งการร้องเพลงก็เป็นจุดแข็งของเธอ ดังนั้นจึงไม่ปฏิเสธ อ้าปากขับขานบทเพลง

เธอพยายามเลือกบทเพลงแนวโบราณ ด้วยเกรงว่าถ้าเลือกเพลงสมัยใหม่เกินไปพวกเขาจะเกิดความสงสัย

น้ำเสียงเธอใสกระจ่างกังวาน ขับขานอย่างชำนิชำนาญ อบอุ่นปานสายลมฤดูใบไม้ผลิ ทว่าแฝงความเยือกเย็นดั่งหิมะแรกฤดูใบไม้ผลิไว้รางๆ ด้วย

ฮวาอู๋เหยียนมองสามคนที่เหลือบนโต๊ะของตน พวกเขาล้วนเงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไร ตี้ฝูอีมิใช่คนพูดมากอยู่แล้ว แต่นิ้วมือข้างหนึ่งหลับเคาะหน้าโต๊ะเข้าจังหวะเบาๆ

หลงซือเย่แววตาวูบไหว หยิบขลุ่ยเลาหนึ่งขึ้นมาบรรเลงตามจังหวะนางอย่างสบายๆ

เสียงเพลงในห้องหยุดครู่หนึ่ง แล้วขับขานต่อ

————————————————————————————-

บทที่ 850 คอแห้งเสียแล้ว ไว้ค่อยร้องใหม่

เมื่อท่วงทำนองสิ้นสุดลง ฮวาอู๋เหยียนเอ่ยถามหลงซือเย่อย่างอดใจไว้ไม่ได้ “ที่แท้เจ้าสำนักหลงก็จับจังหวะดนตรีได้ยอดเยี่ยมนัก บทเพลงนี้ของแม่นางกู้ฟังดูประหลาดมาก ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แต่เจ้าสำนักหลงกลับสามารถบรรเลงตามนางอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้”

หลงซือเย่หัวเราะเบาๆ “ชมเกินไปแล้ว” เป็นเพราะเขากับเธอมาจากยุคเดียวกันเท่านั้น จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเพลงที่เธอร้องพวกนั้น

จากนั้นเขาก็เหลือบมองตี้ฝูอีอีกครั้ง เขารู้ว่าตี้ฝูอีก็บรรเลงเพลงขลุ่ยได้ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน สัมผัสด้านดนตรีก็ล้ำเลิศยิ่ง หากวัดกันตามระดับจริงๆ ทักษะดนตรีของตี้ฝูอีเหนือล้ำกว่าเขามาก

แต่ว่า ตี้ฝูอีเป็นคนที่ถือกำเนิดและเติบโตในยุคนี้ ต่อให้ความสามารถเขาล้นหลามปานใด ก็ไม่เคยได้ยินบทเพลงที่ใกล้กับเพลงในยุคปัจจุบันพวกนั้น ดังนั้นเวลานี้เขาจึงทำได้เพียงฟังอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้หลงซือเย่ที่อยู่ตรงนี้แสดงความสามารถด้านนี้ออกมา

เมื่อกู้ซีจิ่วร้องจบ เด็กน้อยอีกสามคนก็พากันร้องชมเชยพร้อมกัน หลานไว่หูเรียกร้องให้กู้ซีจิ่วร้องต่อสุดชีวิต

กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ “ถ้าเจ้าชนะข้าจะร้อง”

ด้วยเหตุนี้จิ้งจอกน้อยทุ่มเทสุดกำลัง เอาจริงขึ้นมาแล้ว!และอีกสองคนที่เหลือก็แค่อยากฟังกู้ซีจิ่วร้องเพลงอีก จึงพากันอ่อนข้อให้จิ้งจอกน้อย ดู้วยเหตุนี้ในที่สุดจิ้งจอกน้อยก็ชนะ

กู้ซีจิ่วพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น ร้องอีกเพลงจริงๆ หนนี้เพลงที่เธอร้องคือวัยเยาว์ที่ผันผ่าน บังเอิญว่าหลงซือเย่ไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน…

ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงร้องด้วยเสียงเปล่าๆ เธอเพิ่งจะร้องได้สองประโยค ก็มีเสียงพิณแว่วกังวานขึ้น เพียงพริบตาเดียวก็ไล่ตามจังหวะของเธอได้

เสียงเพลงของกู้ซีจิ่วหยุดลง หลานไว่หูที่กำลังฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม เมื่อเห็นเธอหยุดลงก็มองเธออย่างประหลาดใจ กู้ซีจิ่วยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง เอ่ยยิ้มๆ “คอแห้งเสียแล้ว ไว้ค่อยร้องใหม่”

ด้านนอกนิ้วมือตี้ฝูอีก็ละจากตัวพิณแล้ว เขาก็ดื่มน้ำชาอึกหนึ่งเช่นกัน รู้สึกว่าชานั้นเยียบเย็นและขมขื่นเล็กน้อย

ผ่านไปครู่หนึ่ง เชียนหลิงอวี่ที่อยู่ในห้องถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “โอ๊ะ ซีจิ่ว เครื่องดนตรีชิ้นนี้ของเจ้าคืออะไร?”

“กีต้าร์” กู้ซีจิ่วเอ่ยออกมาสองคำ เครื่องดนตรีชิ้นนี้เธอใช้ทักษะช่างไม้สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ถึงแม้จะเทียบชั้นกับกีต้าร์ในยุคปัจจุบันไม่ได้ แต่ตอนที่ดีดก็เกิดท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์

ดังนั้นเมื่อเธอดีดให้เกิดเสียง เด็กน้อยสามคนในห้องล้วนตกตะลึง

กู้ซีจิ่วโอบกีต้าร์ไว้ทำการร้องและบรรเลงด้วยตัวเอง เสียงกีต้าร์คลอด้วยเสียงร้องของเธอ เข้าจังหวะกับเสียงเพลงของเธออย่างน่าประหลาด

เครื่องดนตรีชิ้นนี้สำหรับโลกนี้ย่อมเป็นสิ่งพิเศษ เด็กสามคนที่อยู่ในห้องล้วนอยากรู้อยากเห็น

ผู้ใหญ่อีกสี่คนที่อยู่นอกห้องก็มีสีหน้าลุ่มลึกเช่นกัน

ฮวาอู๋เหยียนกับเชียนเยวี่ยหร่านสบตากันแวบหนึ่ง หลงซือเย่แววตาซับซ้อน เขาก็ไม่เคยคิดจะสร้างเครื่องดนตรีสักชิ้นให้ซีจิ่วเลย เพลงนั้นที่เธอร้องใกล้เคียงกับเพลงในยุคปัจจุบันอันที่จริงเมื่อผสมผสานกับเครื่องดนตรีของยุคปัจจุบันแล้วค่อนข้างได้อารมณ์

แน่นอนว่าเขาก็รู้สึกภูมิใจนิดๆ เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาใช้ขลุ่ยบรรเลงคลอไปกับกู้ซีจิ่ว ถึงแม้เสียงเพลงของกู้ซีจิ่วจะชะงักไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังร้องต่อ

แต่พอตี้ฝูอีใช้พิณบรรเลงคลอ ซีจิ่วกลับหยุดลงทันที ชัดเจนนักว่าเธอไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว

ดูเหมือนสิ่งที่ตนทำลงไปในยามนั้นจะถูกต้องแล้ว…

ขอเพียงให้เวลาสักหน่อย ซีจิ่วก็จะค่อยๆ ลืมตี้ฝูอีไป แล้วรับรักตัวเขาหลงซือเย่อย่างแท้จริง…

ความรักไม่มีก่อนหลัง ไม่มีถูกผิด ดังนั้นเพื่อให้ได้เธอมาครองเขาไม่ลังเลที่จะใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ อีก การใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ ในความรักล้วนเป็นความสำราญอย่างหนึ่ง

เดิมทีชาติก่อนซีจิ่วก็ชอบตนไม่ใช่หรือ?

ยามนั้นหากว่าตนใจกล้าสักหน่อย ไม่มีเรื่องที่ต้องพะวงมากมายปานนั้น บางทีตอนนั้นทั้งสองอาจกลสยเป็นสามีภรรยากันแล้ว ไหนเลยจะมีช่องให้ตี้ฝูอีมาแทรกได้อีก?

อันที่จริงยามนี้สานุศิษย์สวรรค์ทั้งสี่หารือกันเสร็จนานแล้ว หากเป็นยามปกติ ตี้ฝูอีคงจากไปนานแล้ว

แต่หนนี้ราวกับเขาจะลงหลักปักฐานที่นี่ นั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับ

————————————————————————————-

[1]  การเล่นทายนิ้ว คล้ายการเล่นเป่ายิ้งฉุบ แต่เป็นการทายว่าอีกฝ่ายจะออกกี่นิ้ว มักเล่นในวงสุรา ใครทายผิดจะถูกลงโทษให้ดื่มสุรา