บทที่ 174 เจ้าช่วยข้าพันแผล

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

สู่อ๋องมีความสนใจเป็นอย่างยิ่งทว่าก็มีความกังวล “คนที่เจ้าพูดถึงคงมิได้อยู่บนภูเขาสูงหรือลำธารห่างไกลดอกนะ?”

ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “บุคคลผู้นี้อยู่ใกล้กับหวังเฉิง หากฝ่าบาทมีความสนใจ สามารถเชิญมาดูตัวได้”

“จริงรึ?” สู่อ๋องเพิ่งจะเกิดความสนใจในเด็กหนุ่มเพียงเล็กน้อย แน่นอนว่าจะไม่ปล่อยโอกาสตรงหน้าให้หลุดลอย

ซ่งชูอีอธิบายลักษณะภายนอกของหมิ่นฉืออย่างละเอียด เดิมทีหมิ่นฉือหน้าตาดีอยู่แล้ว กอปรกับการบรรยายที่เพิ่มน้ำมันเหยาะน้ำส้มสายชูไปหน่อย สู่อ๋องก็ยิ่งมีความสนใจเพิ่มขึ้น เขามีนิสัยทำอะไรฉับพลัน ในขณะนี้จึงรวบรวมกำลังทหารม้าหนึ่งหมื่นนายในบริเวณใกล้เคียงเพื่อออกตามหาแล้ว

ดังนั้น ซ่งชูอีจึงบอกทิศทางคร่าวๆ ด้วยความหวังดี

สู่อ๋องมีเป้าหมายใหม่ ซ่งชูอีฉวยโอกาสนี้ถอนตัวออกไปทันทีโดยบอกว่าจะไปชมทัศนียภาพในดินแดนแห่งสวรรค์

ครั้นออกจากพระราชวังสู่อ๋องแล้ว ซ่งชูอีก็แวะเอาของที่จุดพักม้าจากนั้นก็มุ่งตรงไปยังสถานที่ที่จี๋อวี่พำนักทันที

มันเป็นลานเล็กๆ ในมุมทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของหวังเฉิง ในลานเต็มไปด้วยวัชพืช ทว่ามีเพียงสามหลังเท่านั้นที่ดูเหมือนว่าเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ภายในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดูยังไม่เสื่อมโทรมท่ามกลางวัชพืชที่ขึ้นสูง

ซ่งชูอีเห็นว่าภายในลานมีเสื้อผ้าแขวนไว้ จึงมั่นใจว่าเป็นที่นี่และยกมือขึ้นเคาะประตู

ไม่ช้าจี๋อวี่ก็เดินออกมาจากในบ้าน ครั้นเห็นว่าเป็นซ่งชูอีก็อดที่จะเร่งความเร็วมิได้ “เหตุใดสีหน้าของท่านถึงขาวซีดเพียงนี้?”

หลังจากเดินเข้าไปแล้ว จี๋อวี่จึงเห็นว่าไรผมของซ่งชูอีเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดละเอียด เขารีบรับของที่อยู่ในมือของนางแล้วยื่นมือประคองนาง

จี้ฮ่วนและเว่ย์เจียงก็ตามออกมา เมื่อเห็นสถานกาณ์เช่นนี้แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบสาวเท้าเดินเข้ามา

“ข้าบาดเจ็บ เตรียมน้ำสะอาดแล้วช่วยข้าพันแผล” ซ่งชูอีสั่งเรียบๆ

“ข้าจะไปต้มน้ำ” จี้ฮ่วนรีบไปตักน้ำ

เว่ย์เจียงรู้สึกว่าซ่งชูอีน่าจะมีเรื่องส่วนตัวต้องการจะคุยกับจี๋อวี่ ตนอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก จึงไปช่วยจี้ฮ่วนตักน้ำแล้ว

ทั้งสองเข้ามาไปในบ้าน ทันทีที่นั่งลง จี๋อวี่ก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

“เมื่อคืนเจอมือสังหาร” ซ่งชูอีหลับตา ภายใต้บาดแผลที่สาหัสเช่นนี้ ตอนที่เข้าเฝ้าสู่อ๋องเมื่อเช้าก็ได้สูบพลังของนางไปจนหมดสิ้นแล้ว

จี๋อวี่เห็นความอ่อนล้าของนางก็ไม่ได้ถามให้มากความอีก

หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ จี้ฮ่วนหาบน้ำสองถังเข้ามา เมื่อเห็นว่าซ่งชูอีหลับตาเพื่อฟื้นฟูความสงบก็วางน้ำลง แล้วถอยออกไป

“ข้าจะไปตามเว่ย์เจียงมาพันแผลให้ท่าน” จี๋อวี่ลุกขึ้นเดินออกไป

ทันทีที่เขามาถึงข้างประตูก็ได้ยินเสียงอ่อนแรงของซ่งชูอีดังขึ้นจากด้านหลัง “เจ้ามาช่วยข้าพันแผล”

“ท่าน…” จี๋อวี่หันกลับมา เมื่อเห็นแววตาสงบนิ่งไร้คลื่นใดๆ ของซ่งชูอีก็กลืนคำปฏิเสธที่ติดอยู่ในปากลงไปแล้ว

ซ่งชูอียกมือขึ้นปลดสายรัดเอว ถอดเสื้อคลุมตัวนอกโยนไปด้านข้าง “อย่ามัวแต่พิรี้พิไร การล่วงเกินเล็กน้อยระหว่างชายหญิงเทียบกับชีวิตน้อยๆ ของข้ามิได้ หากเจ้าไม่เต็มใจก็ไปเรียกจี้ฮ่วนเข้ามา ข้าไม่เชื่อใจผู้อื่น”

จี๋อวี่เห็นว่าเสื้อตัวกลางของนางบัดนี้เปื้อนเลือดเป็นวงกว้างแล้ว คิ้วขมวดกันเล็กน้อย เดินไปคุกเข่าลงด้านหลังนาง

ครั้นเสื้อตัวกลางเลื่อนหลุดลงก็เผยให้เห็นผ้าที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงภายใน จี๋อวี่ใช้ดาบตัดแถบผ้าออกจากกัน แต่บางส่วนก็ติดอยู่ที่บาดแผลและไม่สามารถดึงออกได้เลย ส่วนใหญ่เป็นแผลที่ยังไม่ตกสะเก็ด ทว่าบางจุดเล็กๆ ทั้งตกสะเก็ดทั้งปริแตก ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

จี๋อวี่เอาผ้าที่ติดออกด้วยการทำให้ชุ่มน้ำ เขารู้ว่ามันเจ็บมาก จึงชวนคุยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของนาง “ท่านไม่รู้หรือว่าตัวเองไม่เหมือนกับคนอื่น? มีรอยแผลบนร่างกายเยอะเพียงนี้ ต่อไปจะทำเยี่ยงไร”

ที่เรียกว่า “คนอื่น” คงจะหมายถึงผู้ชายคนอื่นกระมัง ซ่งชูอีได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ อดที่จะหัวเราะเอ่ยมิได้ “จะมีผิวขาวที่ผุดผ่องไปเพื่ออะไรกัน? ใช้หน้าตาหากินไม่มีจุดจบที่ดีนักหรอก”

“ซื้ด…เจ้าเบามือหน่อย” ซ่งชูอีกัดฟัน เมื่อรู้สึกว่าจี๋อวี่เบามือลงแล้วก็พูดต่อ “อีกอย่าง ด้วยหน้าตาของข้าคงหากินได้ไม่อิ่มท้องเท่าไร”

“อืม” จี๋อวี่พ่นลมหายใจทางจมูกแผ่วเบา

ซ่งชูอีหันไปชำเลืองมองเขา “ข้าว่าคนอย่างเจ้ามีความเป็นมนุษย์อยู่บ้างหรือเปล่า ข้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้ว เจ้าปลอบประโลมข้าหน่อยไม่ได้หรือ?”

“หน้าตาของท่านก็นับว่าพอดูได้” จี๋อวี่กล่าว

ซ่งชูอีจิ๊ปาก “เอาเถอะ เจ้าเรียกนี่ว่าการปลอบประโลมรึ?”

“หากข้าบอกว่าท่านสุดยอดหาผู้ใดเปรียบ ท่านเชื่อหรือไม่?” จี๋อวี่พูดพลางดึงแถบผ้าที่อยู่บนบาดแผลออกอย่างรวดเร็ว เลือดไหลลงตามแผ่นหลังช้าๆ

ทว่าซ่งชูอีกลับไม่รู้สึกว่ามันเจ็บมากมาย เพียงรู้สึกจักจี้เมื่อเลือดไหลลงมาตามแผ่นหลัง

แสงของพระอาทิตย์ตกสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ตกกระทบอยู่บนตัวซ่งชูอี

แน่นอนว่าเธอมิใช่หญิงงาม ทว่าผิวพรรณกลับละเอียดอ่อนราวกับชั้นไขมัน ผิวกายที่มิได้พบกับแสงตะวันมาหลายปีนั้นขาวผุดผ่องกว่าใบหน้ามาก เมื่อผสมผสานเข้ากับเลือดทำให้เกิดความสวยงามแปลกตาภายใต้แสงอาทิตย์ยามสายัณห์

จี๋อวี่ไม่เคยรู้สึกว่าซ่งชูอีขี้เหร่เลย อย่างน้อยทุกส่วนบนใบหน้าของนางก็ได้สัดส่วนเป็นอย่างยิ่ง แม้จะมองแยกจากกันทุกอย่างก็โดดเด่น เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อรวมพวกมันเข้าด้วยกันแล้วกลับดูธรรมดาสามัญ ปกติแล้วนางมิใช่คนเกียจคร้าน ทว่ามีความมั่นใจและอิสระดั่งบัณฑิตทั่วไป ไร้ความอ่อนโยนเช่นกุลสตรีโดยสิ้นเชิง หากมองในมุมของสตรีผู้หนึ่งแล้วนับว่าเป็นความล้มเหลวอย่างยิ่งยวด

อย่างไรก็ดีเขากลับไม่รังเกียจสตรีเช่นนี้ ในทางตรงกันข้ามทั้งชื่นชมและสรรเสริญ อีกทั้งยิ่งได้คลุกคลีกันมากเท่าไรก็ยิ่งสามารถค้นพบคุณค่าในตัวนางได้มากขึ้นเท่านั้น

“มีสิ่งหนึ่งบางทีข้าไม่ควรถาม ทว่ารู้สึกสงสัยมากจริงๆ” จี๋อวี่เช็ดแผ่นหลังของนางจนสะอาด พลางใส่ยาพลางเอ่ยถาม

“หืม?” ซ่งชูอีบอกเป็นนัยให้เขาพูดต่อ

จี๋อวี่ตั้งใจฟังครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอกจึงเอ่ยถาม “ท่านเคยคิดถึงผู้ชายบ้างไหม?”

“เฮ้อ!” ซ่งชูอีจิ๊ปาก เอ่ยว่า “เรื่องความต้องการทางเพศ แม้แต่นักบุญยังตัดไม่ได้ ข้าจะไม่มีกิเลสได้อย่างไร?”

ทว่าซ่งชูอีสามารถแยกแยะเรื่องแง่นี้ได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่นไม่ว่านางจะชอบอิ๋งซื่อมากเพียงใดก็ทำได้เพียง “เฝ้าดู” เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นทำได้เพียงชกหน้าอกจี๋อวี่แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้ กับคนบางคน หากควรเป็นฝ่าบาทและขุนนางก็ต้องรักษาความสัมพันธ์ฉันท์ฝ่าบาทและขุนนาง ควรเป็นเพียงพี่น้องก็ไม่ควรจะล้ำเส้นไปมากกว่านี้ สำหรับเจ้าอี่โหลว…

จู่ๆ ซ่งชูอีก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้พบเขานานแล้ว เด็กที่เอาแต่ใจคนนั้นไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงจากไปกะทันหันโดยไม่บอกลาสักคำ

“เสร็จแล้ว” จี๋อวี่ยื่นเสื้อตัวกลางสะอาดตัวหนึ่งจากในบ้านให้นาง

ซ่งชูอีถูกพันทั้งตัวจนมองเห็นเพียงไหล่และไม่มีอะไรน่าปกปิด

“ท่านก็พักผ่อนให้เต็มที่เถิด ข้าจะไปทำอาหาร” จี๋อวี่ลุกขึ้นเก็บเศษผ้าเปื้อนเลือด แล้วปูที่นอนให้ซ่งชูอี

หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน บัดนี้ซ่งชูอีไร่ซึ่งเรี่ยวแรงแล้ว ปีนขึ้นไปบนเตียงสักพักก็ผล็อยหลับไป

ทางนี้นางนอนหลับสบาย ทว่าในหวังเฉิงกลับยุ่งเหยิง

กองทัพหนึ่งหมื่นนายมีความเคลื่อนไหว ราษฎรในหวังเฉิงนึกว่าจะมีสงครามแล้ว ต่างทยอยกันปิดประตูไม่กล้าออกมาจากบ้าน ใครจะไปคิดว่ามันเป็นเพียงการตามหาเด็กหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง?

บรรดาขุนนางรู้สึกนิสัยใจคอของสู่อ๋องเป็นอย่างดี รู้ว่าไม่ว่าจะโน้มน้าวอย่างไรก็ไร้ผล จึงรบเร้าให้ฮองเฮาไปพูด

น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะโน้มน้าวเยี่ยงไร ก็ไม่สามารถทำให้หัวใจของสู่อ๋องสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย ตรรกะของสู่อ๋องเป็นเช่นนี้ “หากเจ้าไม่มีความสามารถเป็นหญิงงามไร้ที่เปรียบได้ ก็เพียงทำหน้าที่ของตัวเองอย่างซื่อสัตย์ อย่ากระโดดออกมาจุ้นจ้าน”