แม้หมู่เฟยจะประทับที่ตำหนักหยาเสวียนแต่ที่นั่นก็มีคนจำนวนไม่น้อย
อีกทั้งยังมีคนที่จิตใจสกปรกอย่างเจียงหรูฉินอยู่ด้วย
บางทีอาจสบโอกาสทำเรื่องเลวร้าย
บางทีอาจถูกใครเสี้ยมสอนมา
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่น่าสงสัยที่สุดคือเจียงหรูฉินที่พยายามหาทางร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขา
“เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ละเอียด แต่อย่าทำให้เอิกเกริก”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลินขุยหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งหลงเทียนอวี้เอาไว้เพียงลำพัง ภายในห้องอ่านหนังสือจึงตกอยู่ในบรรยากาศอันแสนเจ็บปวด
“เจ้าแน่ใจว่าหลินขุยหายานั่นพบอย่างนั้นหรือ?”
ภายในตำหนักหลิวซิน หลินเมิ้งหยากับชิงหูกำลังเล่นหมากรุกที่ทำจากงาช้าง
“แน่นอน ข้าวางเอาไว้ข้างเตาปรุงอาหาร ต่อให้ตาบอดก็ย่อมหาเจอ”
ชิงหูเอ่ยออกมาด้วยความพึงพอใจ แต่ไม่ว่าเขาจะเดินหมากอย่างไร เขาก็เดินหมากออกจากวงล้อมของหลินเมิ้งหยาไม่พ้น
“เช่นนั้นก็ดี คราวนี้คนที่ต้องปวดหัวคือเขาแล้ว”
หลินเมิ้งหยาวางหมากอีกครั้ง ก่อนจะยกชาน้ำผึ้งที่ป๋ายจื่อชงมาให้ขึ้นจิบ
ความรู้สึกที่ได้รับจากการแอบขุดหลุมฝังผู้อื่นช่างสุขสำราญยิ่งนัก
“ไอหยา ข้าแพ้อีกแล้ว เอาใหม่ เอาใหม่”
ชิงหูมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่กระดานหมากรุก
อีกเดี๋ยวจวนอวี้จะต้องเกิดความวุ่นวายเพราะมารดาแท้ๆ วางยาบุตรชายตนเอง
คิดจะจับผู้หญิงโยนลงเตียงของลูกชาย เรื่องพวกนี้มิต่างอะไรจากละคร
เขากับเจ้าเด็กน้อยเฝ้ารอชมอะไรสนุกๆ ก็พอแล้ว
ความรู้สึกปวดหัวจนแทบคลั่งยกให้เป็นหน้าที่ของหลงเทียนอวี้
“จริงสิ เจ้าคิดจะทำอย่างไรกับเรื่องของหยุนจู๋?”
ชิงหูแย่งแก้วน้ำชามาจากหลินเมิ้งหยา ดื่มเข้าไปอึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถาม
“ทำอย่างไร? ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าเจ้ารู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วใช่หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยาพูดพลางมองดูชาแก้วนั้นด้วยความเสียดาย
หวานเกินไป อีกทั้งเมื่อครู่เพิ่งจะมีแมลงวันตกลงไป
“ข้ารู้เพียงว่าผู้ชายที่ทอดทิ้งนางชื่อว่าคุณชายกูซู เจ้ารู้จักเขาหรือ?”
ชิงหูดื่มด่ำกับรสชาติหวานละมุนของน้ำชา เขาคิดว่าสายตาของหลินเมิ้งหยาที่กำลังจ้องมองมาคงเพราะเสียดายที่ชาแก้วนี้ตกเป็นของเขา
“อืม รู้จักสิ เขาเป็นอาจารย์ของข้า”
นางตอบเสียงเรียบเรื่อย
“อึก…อาจารย์ของเจ้า? ตาแก่มอมแมมคนนั้นน่ะหรือ? เป็นไปไม่ได้ ชื่อเสียงของคุณชายกูซูลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง ข้าเองก็เคยได้ยินคำเล่าลือเรื่องความหล่อเหลาของเขา แล้วเขาจะกลายเป็นตาแก่คนนั้นได้อย่างไร?”
ชิงหูแสดงท่าทางไม่อยากเชื่อ หลินเมิ้งหยานึกว่าเขารู้แล้วว่าในแก้วชามีแมลงวันเสียอีก
“จะมีใครบ้างที่ไม่มีอดีต? แต่ที่ข้าเป็นห่วงในตอนนี้ก็คือหยุนจู๋ยังไม่ยอมละทิ้งอดีต ฉะนั้นนางจึงไม่ยอมเข้ารับการรักษาจากท่านอาจารย์ หรือพวกเราจะทำได้เพียงมองดูนางตายไปเช่นนี้?”
คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากันแน่น เมื่อครู่ท่านอาจารย์ส่งคนมาแจ้งข่าวว่าหยุนจู๋อาจอยู่ได้อีกไม่นาน หากยังปล่อยให้พิษกระจายออกไป คาดว่านางจะต้องตายอย่างแน่นอน
อันที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของนาง หากนางไม่พาหยุนจู๋ไปพบกับอาจารย์ เกรงว่าหยุนจู๋ก็คงไม่ตื่นตระหนกเช่นนี้
“เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนแก้พิษสิ ตาแก่นั่นเองก็บอกแล้วนี่ว่าเจ้าเองก็สามารถถอนพิษได้มิใช่หรือ?”
ชิงหูกลับไร้ความกังวล เขาเคยเห็นความสามารถของหลินเมิ้งหยามาก่อน
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ บางทีคงทำได้แต่เพียงเท่านี้
“ท่านอ๋องเสด็จ…”
อยู่ๆ เสียงของพ่อบ้านเติ้งพลันดังขึ้น
สาวใช้ทั้งสี่ที่กำลังหยอกล้อเสี่ยวป๋ายและเสือน้อยอยู่รีบกรูกันเข้ามาล้อมตัวหลินเมิ้งหยาเอาไว้
“วันนี้ท่านอ๋องครึ้มอกครึ้มใจอันใดจึงเสด็จมาที่นี่ได้หรือเพคะ?”
หลังจากผ่านค่ำคืนนั้นมา หลินเมิ้งหยาพยายามรักษาระยะห่างกับหลงเทียนอวี้
มือของนางดีขึ้นมากแล้ว
ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพันแผลอีกต่อไป
วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น นางจึงสวมเสื้อคลุมสีแดง
ในฤดูใบไม้ร่วง บรรยากาศค่อนข้างคึกครื้นเป็นพิเศษ
ยิ่งได้เห็นใบหน้านวลดั่งหยก
เขารู้สึกว่าคนในตำหนักหลิวซินกำลังโกรธและกล่าวโทษเขาอยู่
แต่วันนี้เขาอยากพบนาง
เมื่อเดินมาถึงศาลาเล็ก ก็เห็นเป็นอ๋องอวี้ที่เคยมีร่างกายแข็งแรงดูซีดเซียวลงเล็กน้อย
หลินเมิ้งหยาแอบถอนถอนใจ แต่ถึงกระนั้นก็มิได้ไล่เขาออกไป
“พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด เชิญนั่งเพคะ”
สาวใช้ทั้งสี่ไม่ยินยอม ทว่าหลังจากได้เห็นสายตาของหลินเมิ้งหยา พวกนางจึงยอมทำตามแต่โดยดี
“ชิงหู เจ้าเองก็ออกไปก่อน วางใจเถิด ไม่เป็นไรหรอก”
ชิงหูพ่นลมหายใจพรืด สายตาเย็นยะเยือก
เขาเดินห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่สายตายังคงจับจ้องคนในศาลาทั้งสอง
“ท่านอ๋องมาหาข้าด้วยเรื่องอันใดหรือเพคะ?”
มือสีขาวดั่งหิมะเทน้ำชาใส่ถ้วยสะอาด
แม้บาดแผลจะดีขึ้นแล้ว แต่ที่ฝ่ามือของนางยังคงปรากฏร่องรอยบาดแผลให้เห็น
“มือของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดสิ่งใดก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่หลงเทียนอวี้ทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าหญิงสาว
“ดีขึ้นมากแล้วเพคะ ท่านอาจารย์บอกว่าบาดแผลไม่ลึกถึงกระดูก”
บาดแผลอยู่ที่บริเวณฝ่ามือ ทุกครั้งที่นางกำมือเข้าหากัน มักจะรู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย
จะมีผู้หญิงคนใดอยากมีรอยแผลเป็นกันเล่า?
“ข้า…หาของบางอย่างเจอที่ตำหนักของหมู่เฟย”
ราวกับว่าเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะเอ่ยออกมา
แววตาเผยให้เห็นความโศกเศร้า ไร้ซึ่งเงาของท่านอ๋องอวี้ผู้เย็นชา
“ข้าไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของหมู่เฟยหรือไม่”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หมู่เฟยได้ครอบครองตำแหน่งสำคัญ
หากมิใช่เพราะหมู่เฟยพยายามสุดชีวิตเพื่อปกป้องเขา บางทีอาจจะไม่มีเขาในวันนี้
แต่เพราะเหตุใด แม้แต่คนสำคัญที่สุดในชีวิตอย่างหมู่เฟยก็ยังลอบวางยาเขา?
“เสือย่อมไม่กินลูกของตนเอง”
หลินเมิ้งหยาจ้องมองสายตาของหลงเทียนอวี้ ก่อนที่นางจะเอ่ยประโยคซึ่งมอบความหวังแก่เขา
ดูเหมือนว่าแม้แต่หลงเทียนอวี้ก็ไม่อาจยอมรับความจริงได้
สำหรับเขา พระสนมเต๋อเฟยคือคนที่ผูกพันลึกซึ้งที่สุด
ดวงตาของหลงเทียนอวี้เปล่งประกาย
ราวกับว่าได้รับความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
“เจ้าเองก็คิดเช่นนั้นใช่หรือไม่?”
เหตุเพราะความกระวนกระวาย หลงเทียนอวี้จึงยื่นมือเข้าไปกุมมือของหลินเมิ้งหยาไว้ก่อนจะรีบเอ่ยทันควัน
สบตาเขา หลินเมิ้งหยาคิดอยากบอกความจริง แต่ทำได้เพียงพยักหน้า
นางจะทำลายความหวังของเขาด้วยน้ำมือของตนเองได้อย่างไร?
“จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่เพคะ พระสนมเต๋อเฟยถูกปรักปรำ คนที่วางยาจะต้องเป็นคนอื่นอย่างแน่นอน”
ราวกับคนจมน้ำที่กำลังไขว่คว้าขอนไม้เพื่อเอาชีวิตรอด
ร่องรอยแห่งความหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของหลงเทียนอวี้
ทว่าเบื้องหลังของความหวังคือความขมขื่น
อันที่จริงเขารู้ทุกอย่างเพียงแค่ไม่อยากจะยอมรับเท่านั้น
จู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็รู้สึกว่าหลงเทียนอวี้น่าสงสารจับใจ
ทว่าในหมู่เชื้อพระวงศ์ล้วนมีสิ่งเลวทรามมากมายปกปิดไว้
พี่เยว่ถิงต้องตายอย่างทรมานเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น
มือของหลินเมิ้งหยากุมมือของหลงเทียนอวี้ สุดท้ายนางเลือกที่จะเปิดเผยความจริงอันแสนขมขื่น
“ท่านอาจารย์บอกว่ามีเพียงคนในวังเท่านั้นที่จะมีพิษชนิดนี้ หากพระองค์ต้องการสืบหาคนผิด เช่นนั้นเริ่มจากคนในวังเถิดเพคะ”
สุ้มเสียงแผ่วเบาทว่ากลับเป็นดั่งใบมีดที่กรีดลึกในหัวใจของหลงเทียนอวี้
ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม ดวงตาที่เคยเปล่งประกายเมื่อครู่พลันหม่นแสงลง
“ใช่แล้ว คนในวัง…คนในวัง…คนในวังเท่านั้นที่จะมี”
หลงเทียนอวี้ลุกขึ้นราวกับคนไร้วิญญาณ แล้วหมุนตัวเดินออกจากไปจากศาลาเล็ก
ริมฝีปากพึมพำแต่เพียงคำว่า “คนในวัง”
หลินเมิ้งหยามองตามร่างสูงสง่าที่เดินจากไป ยกมือทาบอกของตนเอง
เจ็บปวดเหลือเกิน
“เจ้าบอกเขาแล้วเหรอ?”
ชิงหูเดินเข้ามา ทว่าสายตามองตามหลงเทียนอวี้
หลินเมิ้งหยาพยักหน้า นนางวางมือลงข้างตัว เรื่องนี้เป็นเรื่องของพวกเขาสองแม่ลูก มิเกี่ยวข้องกับนาง
“รู้เร็วๆ ก็ดี จะได้เลิกเพ้อฝันหลอกตัวเอง”
ในโลกของชิงหู อย่าว่าแต่เรื่องนี้เลย
แม้แต่แม่ลูกห้ำหั่นกันเองก็เคยเจอมาแล้ว
เขาเคยเจอเรื่องราวน่ารังเกียจของครอบครัวผู้อื่นมามากมาย เขาจึงพูดออกมาโดยไม่รู้สึกอะไร
“ในราชวงศ์มีความรักที่แท้จริงเสียที่ไหน เพื่อให้ได้มาซึ่งบัลลังก์มังกร คนมากมายต้องตายลงเพราะการแก่งแย่งชิงดี ไม่ว่าพ่อลูกหรือพี่น้อง พวกเขาล้วนเป็นหนามยอกอกของกันและกัน”
ดวงตาปิดสนิทหลินเมิ้งหยาทำใจให้สงบ
เมื่อเปิดตาอีกครั้ง นางกลับมาใจเย็นดั่งเดิม
“ไปเถอะ พวกเราไปถวายคำนับพระสนมเต๋อเฟยกัน”
หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นจัดแต่งเสื้อผ้าของตนเอง ตอนนี้ถึงเวลาที่นางต้องไปทักทายผั่วผั่วแล้ว
“ได้ ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
ชิงหูเดินไปทางห้องของตนเอง แต่ราวกับว่าหลินเมิ้งหยาพบอะไรบางอย่างนางจึงตะโกนไล่หลังเขาไป
“เอ๋? แมลงวันในแก้วที่ข้าเลี้ยงเอาไว้หายไปไหนแล้วเล่า? รีบหาเร็วเข้า ข้าหามาไม่ได้ง่ายๆ เลยนะ”
ชิงหูผงะ มือจับขอบประตูแน่น สีหน้าขาวซีด สายตาหันมาสบกับหลินเมิ้งหยาที่กำลังหัวเราะคิกคัก
“เจ้าเด็กน้อย! หยุดเดี๋ยวนี้ เหยียจะฆ่าเจ้า”
ภายในตำหนักหยาเสวียน บรรยากาศกดดันกว่าปกตินัก
เหล่าข้าทาสบริพารที่กำลังทำงานของตนเองไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง
แม้จะเดินสวนกันไปมาแต่กลับมิกล้าเอ่ยทักทาย ทำได้เพียงส่งสายตามองกันเท่านั้น
“ขนาดวางยาแล้ว แต่เจ้าก็ยังทำไม่สำเร็จ หรือเจ้าจะให้เปิ่นกงจับอ๋องอวี้มัดเอาไว้กับเตียงให้เจ้า?”
ภายในห้อง พระสนมเต๋อเฟยกำลังตัดแต่งกิ่งต้นไม้ในกระถาง
คิ้วเลิกขึ้นสูง มองไม่ออกว่านางกำลังโกรธหรือดีใจ
“ท่านป้า ฉินเอ๋อร์เองก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่…แต่ท่านพี่…ไม่ยอมแตะต้องตัวฉินเอ๋อร์ เช่นนั้นจะให้ข้าทำอย่างไร”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจียงหรูฉินอดที่จะรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้
แม้นางจะยังไม่ออกเรือนแต่ท่านพ่อก็มีอนุภรรยามากมาย
เรื่องบางเรื่องนางก็พอจะรู้มาบ้าง
แต่ไม่ว่านางจะทำเช่นไร ท่านพี่ก็ไม่ยอมแตะต้องตัวนาง
แม้จะถูกวางยา ท่านพี่ก็ผลักนางออก
สะโพกของนางยังเจ็บแปลบมาจนถึงตอนนี้
ความเกลียดชังที่มีต่อหลินเมิ้งหยายิ่งเพิ่มทวีคูณ มิรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เอายาเสน่ห์ให้ท่านพี่อวี้กินหรือไม่ เหตุใดในสถานการณ์เช่นนั้นเขาจึงนึกถึงเพียงแต่นางผู้เดียว
“ทูลเหนียงเหนียง แม้จะไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ก็อย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยเพคะ”