สาวใช้จำได้ว่าเคยได้ยินคำพูดนี้มาก่อน
ตอนนั้นนายหญิงเคยถูกท่านชายโจวหกบังคับให้อยู่ที่บ้านตระกูลโจว นางเคยเสนอให้ไปขอความช่วยเหลือจากนายใหญ่จาง
แต่ทว่านายหญิงปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอก ข้ายังไม่ถึงคราวจนมุม”
นางพูดต่อ
“ข้าเพียงแค่ไม่ชอบนำความหวังไปฝากไว้กับผู้อื่นเท่านั้นเอง”
“อีกอย่าง ทุกสิ่งในตอนนี้ล้วนเป็นไปตามที่ข้าคาดหวัง”
อย่าบอกนะว่าทุกอย่างในตอนนี้เป็นไปตามสิ่งนางคาดการณ์ไว้
“คราวนี้ถือว่าได้ตอบโต้ไปแล้ว” สวีเม่าซิวพูดต่อ “เพียงแต่เกรงว่าคนพวกนี้จะไม่หยุดอยู่แค่นี้น่ะสิ”
ฟ่านเจียงหลินพยักหน้า
“โดยเฉพาะพวกเขาไม่ได้ทำเพื่อต้องการเงิน คิดว่าเบื้องหลังอาจจะมีคนตั้งใจให้มาหาเรื่อง” เขาเอ่ย
“ม้าดีโดนคนขี่ คนดีโดนคนแกล้ง ตอนที่อันธพาลพวกนั้นมาหาเรื่อง น่าจะตีให้ตายไปเลย!” สวีปั้งฉุยตะโกน ชูกำปั้นพลางถลึงตาด้วยใบหน้าแดงก่ำ “หากตอนนั้นข้าอยู่ คงต่อยพวกเจ้าจนตายไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่สาย ข้าว่าพวกเราไปหาอันธพาลพวกนั้น เล่นงานเอาให้ตายกันไปข้าง”
สวีปั้งฉุยเป็นคนหุนหันพลันแล่น วันนั้นเขาออกไปซื้อของกับน้องชายคนหนึ่ง พอกลับมาแล้วได้ฟังเรื่องราวก็พาลเดือดดาล เสียดายที่ตนไม่อยู่ จึงไม่ทันได้อัดหน้าเจ้าอันธพาลพวกนั้น
“ฝันไปเถอะ” สวีเม่าซิวถลึงตาใส่เขา พลางส่ายหัว “เจ้าไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ที่นี่คือเมืองหลวง ต่อยคนจนตายก็ต้องติดคุก เจ้าอยากทำลายร้านนี้หรืออย่างไร”
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุว่าว่าเหตุใดเขาถึงต้องพาสวีปั้งฉุยมาด้วยให้ได้ เพราะกลัวว่าหากมีคนมาหาเรื่องอีก สวีปั้งฉุยคงวิ่งเข้าหาปัญหาอย่างแน่นอน
“นั่นน่ะสิ ต้องติดคุกนะ” เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าพลางเอ่ย
สวีปั้งฉุยก้มหน้าก้มตาทำเสียงฮึดฮัดไม่พูดอะไร
“แต่ว่า พี่เจ็ดก็พูดถูก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
สวีปั้งฉุยเงยหน้าในทันใด สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นดีใจ
“ใช่ไหมน้อง ข้าพูดถูกใช่ไหม คนพวกนั้นน่ะ ต้องเอาให้ถึงตายถึงจะสิ้นเรื่อง” เขาตะโกน
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ใช่ เอาให้ถึงตายถึงจะสิ้นเรื่อง” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สวีปั้งฉุยเบิกตาโพลงมองเฉิงเจียวเหนียงครู่หนึ่ง เก็บอารมณ์ไม่อยู่
“น้องไม่ต้องปลอบใจพี่เลย” เขาก้มหน้าเอ่ย “จะไปต่อยตีคนตามอำเภอใจได้อย่างไรกัน”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาพลางขำ
“ท่านพี่ไม่กล้าหรือ” นางถาม
คำพูดนี้เกี่ยวโยงถึงศักดิ์ศรีของความเป็นชาย สวีปั้งฉุยเงยหน้าเบิกตาในทันใด
“ใครไม่กล้ากัน!” เขาตะโกน “คนอย่างสวีปั้งฉุยฆ่าโจรมาแล้วไม่รู้เท่าไร นับประสาอะไรกับอันธพาล!”
“เช่นนั้นก็ฆ่าเลยสิ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สวีปั้งฉุยได้ยินแล้วรู้สึกไม่ชอบมาพากล เบิกตามองเฉิงเจียวเหนียง
“น้องสาว พูดจริงหรือ” เขาถามอย่างลังเล
“ข้าไม่พูดโกหก” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบางพลางเอ่ย
สวีปั้งฉุยเบิกตาโพลง สวีเม่าซิวและฟ่านเจียงหลินสบตากันด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
ไม่ได้พูดตามน้ำเพราะอยากจะปลอบใจเขาหรอกหรือ
เพราะเหตุใดกัน
“พวกเราจะให้เรื่องนี้ถึงหูทางการไม่ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ดังนั้นเราต้องจัดการให้พวกเขารู้จักเสียบ้าง”
หากเรื่องถึงทางการ คงต้องถูกลากขึ้นศาลาว่าการ ศาลาว่าการคือที่ใดน่ะหรือ คุกคือที่ใดอย่างนั้นหรือ คดีความคดีหนึ่ง หากพวกเขาต้องการ จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตก็ย่อมได้ หรือจะทำให้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ทำได้เช่นกัน ตามที่พวกเขาต้องการ เสียทั้งเวลาและเงินทอง คนอื่นอาจจ่ายไหว แต่พวกเขาจ่ายไม่ไหว
แต่ว่าจะไม่ให้เรื่องถึงทางการ แต่จะให้ฆ่าคนเชียวนะ พูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
สวีเม่าซิวรู้สึกว่าหัวสมองของตนตามไม่ทัน สวนฟ่านเจียงหลินและสวีปั้งฉุยคงไม่ใช้หัวคิดเลยด้วยซ้ำ
“เช่นนั้น น้องสาวต้องการจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่อย่างนั้นหรือ” สวีเม่าซิวถามหยั่งเชิง
การฆ่าคนเทียบไม่ได้กับการทะเลาะวิวาทเลย ต้องเรื่องใหญ่แน่นอน
“ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม หากเปิดเผยต่อหน้าคนอื่นได้ ก็ย่อมไม่ต้องกลัวอะไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
แต่ว่า นั่นคือการฆ่าคนเชียวนะ
สวีเม่าซิวไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อ เขามองหญิงสาวตรงหน้า สาวน้อยอายุราวสิบสี่สิบห้าปี รูปร่างหน้างดงาม สุภาพอ่อนโยน ท่านั่งที่สง่างาม การเคลื่อนไหวและรอยยิ้ม ล้วนแต่ไม่เคยเสียกิริยาเลยสักครั้ง
แต่นางกำลังพูดถึงการฆ่าคน ราวกับพูดถึงดินฟ้าอากาศอย่างไรอย่างนั้น!
ฆ่าคนเชียวนะ!
ชั่วพริบตานั้นเอง สวีเม่าซิวอดนึกถึงครั้งแรกที่เจอนางไม่ได้
ไม่ใช่ตอนที่ฟื้นขึ้นมาแล้วเอ่ยขอบคุณ แต่เป็นยามที่ใกล้จะตายในยามค่ำคืน แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะดูเหมือนสะลึมสะลือ ขยับตัวไม่ได้ แต่ก็สามารถมองเห็นและได้ยินทุกอย่างชัดเจน อาจเป็นเพราะกำลังจะตายกระมัง
เขาได้ยินเสียงสะอื้นร่ำไห้ของพี่น้อง มองท้องฟ้าอันมืดมิดยามราตรี ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ทรมานเขาก่อนหน้านี้แล้ว บางทีตายไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน นี่ก็คือชีวิตใช่ไหม
‘นี่แค่เรื่องความเจ็บไข้ ไม่ใช่เรื่องถึงแก่ชีวิตเสียหน่อย รักษาไม่หายได้อย่างไรกัน’
มีคนยืนพูดตรงหน้าเขา
เสียงแหบแห้งไร้อารมณ์ของหญิงสาวนั้นราวกับทำลายความมืดมิดแห่งค่ำคืนนี้ในพริบตา
เขาเงยหน้าขึ้น มองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง ใบหน้าสดใสอ่อนโยน ภายใต้แสงไฟสี่ดวงในยามค่ำคืน
“เชิญน้องสาวพูดมาเถิด” เขาปรับสีหน้าก่อนจะเอ่ย
………………………
บ่ายวันต่อมา
เรือนตระกูลเฉิง ณ สะพานอวี้ไต้เงียบสงบ เฉิงเจียวเหนียงชอบนอนกลางวันมาโดยตลอด แม้ว่าจะยังไม่ถึงฤดูร้อน แต่ปั้นฉินที่นั่งเย็บปักถักร้อยอยู่บริเวณระเบียงประตูก็ง่วงเช่นกัน
นางหาว แล้วมองสาวใช้ข้างกาย
สาวใช้มองเหม่อพร้อมกับถือเข็มและด้ายในมือ
ปั้นฉินงุนงงเล็กน้อย ครั้นจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังปังสองที สาวใช้ที่เหม่อลอยตัวสั่น ใบหน้าฉายแววตื่นตระหนก
“ผู้ใดกัน” นางตะโกน เข็มหลุดจากมือ
“ข้าเอง ปั้นฉิน”
เสียงของหญิงสาวลอยออกมาจากนอกประตู
จินเกอร์ที่วิ่งมาจากป้อมยามไม่ได้งุนงงอีกต่อไป บนโลกนี้มีปั้นฉินทั้งหมดสามคน สองคนอยู่ที่บ้าน อีกคนหนึ่งอยู่ที่อื่น ตอนนี้เขาไม่สับสนอีกต่อไปแล้ว
“นายหญิงหลับแล้วหรือ”
หญิงสาวนั่งลงตรงระเบียง เอ่ยเสียงเบาพลางดันกล่องขนมเข้ามา
“ข้าทำขนมใหม่มาให้นางหญิงชิม”
อันที่จริงเรือนนี้ก็ทำเป็น…
ปั้นฉินรับมันด้วยรอยยิ้ม
“มาส่งให้ถึงที่เลย” นางเอ่ย
“ข้าจะไปที่อื่นกับนายใหญ่สองสามวัน จึงหาข้ออ้างมาหานายหญิง” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฟังนางพูดถึงตรงนี้ สาวใช้ที่กำลังเหม่ออีกด้านหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“นายใหญ่จะออกไปที่อื่นหรือ” นางถาม สายตาแฝงความตกตะลึง “จะไปที่ใดหรือ อีกกี่วันถึงจะเดินทาง แล้วไปหลายวันหรือไม่”
ปั้นฉินอีกสองคนกำลังมองมาที่นาง
“ใช่น่ะสิ” สาวใช้พูดพร้อมกับหยั่งเชิง “ท่านพี่ มีอะไรหรือเปล่า”
สาวใช้กลับไปนั่ง ท่าทางลับๆ ล่อๆ
“ไม่มี” นางส่ายหัวและพูด
ปั้นฉินอีกสองคนสบตากัน
“นายหญิงยังไม่ตื่น พี่ๆ ลองชิมก่อนว่าเป็นอย่างไร” สาวใช้ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย ก่อนจะเปิดกล่องขนมออก
ปั้นฉินไปชงชา ทั้งสามคนนั่งลงตรงระเบียง จินเกอร์ก็ได้ขนมไปชิมส่วนหนึ่ง ระหว่างที่พูดคุยหยอกล้อกันอยู่นั้น บรรยากาศดูผ่อนคลาย มีเพียงอารมณ์ของสาวใช้เท่านั้นที่ผิดแปลกไป
“ท่านพี่เป็นอะไรไปหรือ” หญิงสาวถามออกไปตรงๆ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
ราวกับไม่อยากให้นายใหญ่จางออกจากเมืองหลวง กลัวว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นแล้วไร้ที่พึ่งพาอย่างนั้นหรือ
สาวใช้ลังเลครู่หนึ่ง
“พวกเจ้า…เคยเห็น…คนฆ่ากันไหม” นางถามขึ้นโดยพลัน
ปั้นฉินและสาวใช้สะดุ้ง
ปั้นฉินส่ายหัว สาวใช้ก็ส่ายหัวตาม แต่ทว่าสีหน้าดูตกใจและหวาดผวาอยู่ไม่น้อย
ฆ่าคนอย่างนั้นหรือ…
เสียงฟ้าร้องพาดผ่านดังสนั่นในทันใด
ภาพคนไฟลุกสองคนท่าทางทุรนทุรายปรากฏขึ้นตรงหน้านาง
หญิงสาวกรีดร้อง พลางกุมหูไว้
เสียงร้องของนางทำให้ปั้นฉินและสาวใช้อีกคนต่างร้องตามไปด้วย สาวใช้ทั้งสามคนกอดกันกลมตรงระเบียง
“พวกเจ้าเป็นอะไรไป”
ยามเสียงฟ้าร้องเงียบสงบลง เสียงของเฉิงเจียวเหนียงก็ลอยมาจากในห้อง
สาวใช้สามคนหันไปมอง เห็นเฉิงเจียวเหนียงยืนอยู่หน้าประตู เสื้อคลุมปลิวไสว มองพวกนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
สิ้นเสียงคำรามจากเวหา ภายในเรือนกลับมาเงียบสงัดดังเดิม มีเพียงเสียงท่อนไผ่กระทบก้อนหิน
จินเกอร์ลุกขึ้นจากพื้น พร้อมกับปัดฝุ่นที่ติดเสื้อ ก่อนจะก้มเก็บขนมที่หล่นลงพื้น
“เด็กชะมัด แค่ฟ้าร้องก็ตกใจแล้ว!” เด็กหนุ่มตะโกนเสียงแหลม ปกปิดความอับอายที่ตกใจจนล้มลงไปเพราะเสียงกรีดร้องของเหล่าสาวใช้
……………………………………………………………..