ตอนที่ 386 ชิงโยวแห่งตระกูลเฟิง โดย ProjectZyphon
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน!
คำว่า ‘ไอ้โง่’ ของหลินสวิน ด่าออกมาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ประโยคต่อมายิ่งเป็นการพูดอย่างเลิศล้ำ นำความของผู้นั้นย้อนใส่ตัวเขาเอง ดุดันเด็ดเดี่ยว งดงามคล่องแคล่ว
ฝูงชนอดแสดงสีหน้าประหลาดออกมาไม่ได้ หลินสวินผู้นี้ก็กล้าเสี่ยงเสียจริง!
ฉู่ไห่ตงพลันหน้าเขียว กัดฟันกรอดจนฟันแทบหัก กล่าวว่า “นี่เจ้าต้องการเป็นศัตรูกับตระกูลฉู่ของข้าหรือ”
หลินสวินยิ้มกล่าว “นั่นก็ต้องดูท่าทีของพวกเจ้าแล้ว”
“ดี ดีมาก! วันนี้ข้าจะดูว่า ด้วยความสามารถของเจ้าจะสามารถผ่านการรับรองปรมาจารย์สลักวิญญาณได้หรือไม่!”
ฉู่ไห่ตงสูดหายใจลึก ควบคุมตัวเองไว้ไม่แสดงความเกรี้ยวกราดออกมา แต่ใช้น้ำเสียงเย็นเยียบพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เมื่อผลออกมา ก็จะพิสูจน์ได้ว่าใครกันแน่ที่โง่งมไม่รู้ความ และใครกันแน่ที่เป็น…ไอ้โง่!”
สองคำสุดท้ายนั้นเหมือนเค้นลอดไรฟันออกมา
คำพูดนี้แสดงชัดถึงความแข็งกร้าวและการดูถูก หมายใช้วิธียุติธรรมมาพิสูจน์ความไม่เหมาะสมและความจองหองของหลินสวิน
ที่ฉู่ไห่ตงมั่นใจเช่นนี้ เพราะเดิมทีก็ไม่เชื่ออยู่แล้วว่า เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีอย่างหลินสวินจะสามารถผ่านการทดสอบรับรองคุณสมบัติปรมาจารย์สลักวิญญาณ
อย่างไรเสียการทดสอบของเก้าศิลาประตูมังกรก็ซับซ้อนยุ่งยากยิ่งนัก หลายร้อยปีมานี้มีเพียงเฟิงชิงโยวผู้เดียวที่เคยเข้าสอบด้วยอายุเพียงสิบเจ็ดปีแล้วผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้
นอกจากเฟิงชิงโยวแล้วก็ไม่มีใครทำได้ถึงขั้นนี้อีก!
ในสถานการณ์เช่นนี้ ฉู่ไห่ตงย่อมไม่คิดว่าหลินสวินจะทำได้เช่นเดียวกับเฟิงชิงโยว สามารถสร้างสถิติและปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยมีมาก่อนได้อีกครั้ง
ดังนั้นเขาจึงมั่นใจอย่างยิ่งว่าเมื่อผลออกมาหลินสวินจะต้องอับอายขายขี้หน้า และได้ลิ้มรสความเสียหายจากเรื่องที่ตนก่อเอง!
ไม่เพียงฉู่ไห่ตงผู้เดียวเท่านั้น นักสลักวิญญาณมากมายที่นั่นก็แคลงใจว่าหลินสวินไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำถึงขั้นนี้ได้อยู่แล้ว
แต่หลินสวินกลับสีหน้าสงบนิ่ง ยิ้มพลางพูดว่า “วางใจเถอะ ไม่ใช่ข้าแน่”
“หึ!”
ฉู่ไห่ตงไม่พูดอะไรอีก ต่อล้อต่อเถียงกับหลินสวินก็รังแต่จะถูกวาจาร้ายกาจของอีกฝ่ายทำให้โมโห ไม่คุ้มเอาเสียเลย
เพียงใช้ความจริงเท่านั้นจึงจะกำราบความถือดีของหลินสวินให้สิ้นได้!
นักสลักวิญญาณตระกูลฉู่เหล่านั้นล้วนมีสีหน้าถมึงทึง มีท่าทีว่าอีกเดี๋ยวจะให้หลินสวินได้เห็นดีกัน
โดยเฉพาะฉู่อวิ๋นคงที่ผมหงอกขาวผู้นั้น เขาเพิ่งถูกหลินสวินด่าทออย่างสาดเสียเทเสีย โมโหจนแทบคลั่ง เวลานี้ในใจกำลังแอบวางแผนอยู่ว่า รออีกครู่หลังหลินสวินไม่ได้รับการรับรอง จะเยาะเย้ยเจ้าเด็กนี่อย่างไร้ความปราณีอย่างไรดี
ความชุลมุนครั้งนี้ใกล้ปิดฉากลง แต่บรรยากาศในห้องโถงกลับเงียบเชียบ
ทุกคนต่างรู้ว่าความแค้นระหว่างหลินสวินและฉู่ไห่ตงนั้น น่ากลัวจะปะทุขึ้นโดยพลันหลังจากการทดสอบ!
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ที่เรือนหรูหรางามสง่าอีกหลังหนึ่งในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ
มีจอภาพม่านแสงปรากฏขึ้น แสดงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโถงทดสอบระดับปรมาจารย์เมื่อครู่นี้อย่างหมดสิ้น
ผู้ชราหกเจ็ดคนที่รูปลักษณ์เครื่องแต่งกายแตกต่างกันไปนั่งตัวตรงอยู่ตรงข้ามจอภาพ
คนสูงวัยเหล่านี้ มีทั้งอวี๋เป่ยโต้วประธานภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ เฉิงจิ่งปรมาจารย์สลักวิญญาณชั้นสูงแห่งสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ เสิ่นทั่วหัวหน้าคณาจารย์แห่งเรือนสลักวิญญาณสำนักศึกษามฤคมรกต…
ทุกคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคนสำคัญชั้นแนวหน้า! มีชื่อเสียงยิ่งในจักรวรรดิ ได้รับความเคารพบูชาจากนักสลักวิญญาณนับไม่ถ้วน
ที่พิเศษก็คือ เบื้องหลังเสิ่นทั่วหัวหน้าคณาจารย์แห่งเรือนสลักวิญญาณสำนักศึกษามฤคมรกต ยังมีเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน ผมสีดำขลับยุ่งเหยิง ท่าทางเฉื่อยชา ทว่ารูปลักษณ์งดงามผุดผ่องผู้หนึ่งยืนอยู่
ดวงตาสดใสของนางราวภาพฝัน ตื่นตะลึงเหม่อลอย ท่าทางเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หากมีศิษย์จากสำนักศึกษามฤคมรกตอยู่ตรงนี้ ต้องจำได้แน่นอนว่านางก็คือเฟิงชิงโยวที่ในศาสตร์สลักรอยวิญญาณได้รับการเรียกขานว่า ‘เด็กสาวอัจฉริยะ’!
นางมาจากตระกูลเฟิงหนึ่งในสามตระกูลใหญ่นักสลักวิญญาณ บิดาของนางเป็นหัวหน้าตระกูลเฟิง และตอนนี้นางยังกลายเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของหัวหน้าเรือนสลักวิญญาณ!
พูดได้ว่าฐานะของสตรีผู้นี้ก็สูงส่งมีเกียรติถึงที่สุด
“หลินสวินคนนี้ปากคอร้ายกาจไปแล้ว ถึงคำพูดของฉู่อวิ๋นคงผู้นั้นจะลำเอียง แต่อย่างไรก็เป็นผู้อาวุโสกว่า หลินสวินเพียงอดกลั้นสักนิด ความวุ่นวายนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”
เวลานี้เมื่อได้เห็นทุกอย่างที่ฉายบนจอภาพ อวี๋เป่ยโต้วก็อดส่ายหัวต่อว่าไม่ได้
“เหอะๆ เรื่องนี้เข้าใจได้ง่ายนัก หลินสวินผู้นี้ถ้าใจไม่กล้า จะกล้าทำร้ายลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลซ่ง หรือถึงกับกล้าประลองกับฮวาอู๋โยวได้อย่างไร”
เฉิงจิ่งหัวเราะเบาๆ
บุคคลสำคัญคนอื่นๆ ก็อดหัวเราะไม่ได้ ก็จริง หลินสวินคนนี้เป็นคนที่รับมือได้ยากนัก ในนครต้องห้ามแห่งนี้คงไม่มีใครกล้าได้อย่างเขา ไม่ทันไรก็ไปมีเรื่องกับขุมอำนาจชั้นสูงสองตระกูลเสียแล้ว
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีอยู่ดีมีสุข ทั้งไม่ได้ประสบหายนะใด พาให้คนสงสัยเสียจริง
“ข้าว่าเจ้าหมอนี่เป็นอันธพาลตัวน้อย”
เฟิงชิงโยวหยอกเย้าขึ้นมา การกระทำเมื่อครู่ของหลินสวินนางก็ได้เห็นกับตา โดยเฉพาะตอนที่หลินสวินด่าฉู่ไห่ตงว่า ‘ไอ้โง่’ นั้น นางแทบกลั้นขำไว้ไม่อยู่ ผู้ที่ด่าคนอื่นออกไปตรงๆ เช่นนี้มีเสียที่ไหน หลินสวินนี่ยังเป็นถึงเจ้าแห่งภูเขาชำระจิต ปากคอร้ายกาจไปแล้ว
“พอพูดขึ้นมา หลินสวินผู้นี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกันนะ ถึงได้กล้ามาทดสอบรับรองฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณ”
มีคนสงสัยขึ้น
คนใหญ่คนโตอื่นๆ ล้วนนิ่งไป นั่นสิ เจ้าเด็กนี่อายุเพิ่งสิบกว่าปี แม้จะเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกปราณ แต่เด็กหนุ่มอ่อนวัยพรรค์นี้จะไปเข้าใจศาสตร์สลักรอยวิญญาณได้อย่างลึกซึ้งทะลุปรุโปร่งได้อย่างไร
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินรายงานจากข้ารับใช้ว่า หลินสวินผู้นี้เมื่อตอนอยู่เมืองหมอกอำพรางก็ผ่านการรับรองนักสลักวิญญาณชั้นต้นแล้ว คิดดูแล้วเขาเองก็มีพรสวรรค์ในศาสตร์สลักวิญญาณอยู่นะ”
อวี๋เป่ยโต้วพึมพำ
“นักสลักวิญญาณระดับต้น?”
คนใหญ่คนโตไม่น้อยประหลาดใจ ไม่คิดว่าหลินสวินจะประสบความสำเร็จในด้านการสลักวิญญาณด้วย
“ถึงเป็นเช่นนี้ก็ยังน่าขันเกินไป เป็นเพียงนักสลักวิญญาณชั้นต้นเท่านั้น นักสลักวิญญาณชั้นกลางหรือชั้นสูงรึก็ไม่ใช่ เขายังจดจ่อกับการเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณในเร็ววันหรือ เห็นชัดว่าโอหังไม่ประมาณตน ใฝ่สูงเกินตัว”
คนใหญ่คนโตบางคนส่ายหัว
แน่นอนว่าการที่หลินสวินคิดจะรีบประสบความสำเร็จในเร็ววันเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
โดยเฉพาะในศาสตร์สลักรอยวิญญาณ ไม่เคยมีความสำเร็จภายในชั่วพริบตาเดียวให้เห็น
“เจ้าเด็กนี่อาจจะมาลองเล่นสนุกก็เป็นได้ แค่อยากลองดู เกรงว่าขนาดตัวเขาเองคงไม่คิดว่าตนจะผ่านการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้”
เสิ่นทั่วเอ่ยปากวิเคราะห์และได้รับความเห็นพ้องไม่น้อย นี่เป็นการสันนิษฐานที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
“เฮอะ มาเพื่อเล่นสนุกงั้นหรือเจ้าคะ ข้าว่าเขามาก่อกวนล่ะสิไม่ว่า เจ้าคนนี้ดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่จริงใจ”
เฟิงชิงโยวเม้มปาก พูดพลางหัวเราะคิกคัก เสียงอ่อนหวานรื่นหู เผยให้เห็นความน่ารักไร้เดียงสาที่มีเฉพาะในเด็กสาว
“ช่างเถอะ ประเดี๋ยวผลทดสอบออกมาก็รู้เองนั่นล่ะ”
อวี๋เป่ยโต้วกวักมือเรียกข้ารับใช้ผู้หนึ่งแล้วสั่งการว่า “ไป ไปบอกลิ่งหูซิวว่าเริ่มการทดสอบได้แล้ว”
ข้ารับใช้ผู้นั้นพลันรับคำสั่งแล้วจากไป
……
โถงใหญ่ทดสอบปรมาจารย์
บุรุษวัยกลางคนในเสื้อผ้าหรูหรา ใต้คางไว้เคราสามสายคล้ายใบหลิว ท่าทางสง่าผ่าเผย เยื้องย่างไปบนเวทีประตูมังกร
บุคคลผู้นี้มีนามว่าลิ่งหูซิว เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่ดำรงตำแหน่งในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณเช่นเดียวกัน!
เมื่อเห็นเขาปรากฏตัว บรรยากาศในโถงพลันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง เงียบเชียบไร้เสียง ดวงตาทุกคู่พากันจับจ้องไปที่ร่างของลิ่งหูซิว
“ให้ทุกท่านรอเสียนานเลย การทดสอบจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ วันนี้ผู้ที่ลงชื่อเข้าร่วมทดสอบมีทั้งสิ้นห้าคน ได้แก่ ฉู่ไห่ตง หูหลินชวน โหลวคุน เยวี่ยเผิง…และหลินสวิน”
ลิ่งหูซิวเอ่ยปาก เสียงกังวานกระจ่างชัดดังก้องไปทั้งโถง
เมื่ออ่านถึงชื่อหลินสวิน หลินสวินรู้สึกได้ฉับไวว่าดวงตาลิ่งหูซิวผู้นี้กวาดมองมาทางตนอย่างไม่ตั้งใจ เหลือบมองครั้งเดียวแล้วถอนสายตากลับไป
นี่ทำให้หลินสวินอดตะลึงไม่ได้ หรือว่าเจ้าคนนี้จะรู้จักตน?
เพียงแต่เมื่อหลินสวินสังเกตดูอีกครากลับไม่พบเรื่องผิดปกติอะไร ไม่นานจึงไม่คิดมากอีก
ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณแห่งนี้ ต่อให้ตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลฮวาส่งคนมาก็ไม่อาจทำร้ายตนได้แน่ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นถึงสถานที่สำคัญของจักรวรรดิ ได้รับการคุ้มครองโดยราชวงศ์แห่งองค์จักรพรรดิ!
“คิดว่าทุกท่านที่นี่คงรู้กฎดีแล้ว ผู้น้อยจะไม่อธิบายให้มากความอีก การทดสอบจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้ สหายร่วมศาสตร์ทั้งห้าที่เข้าร่วมการรับรองไม่ต้องยึดติดกับลำดับ ใครมีความมั่นใจก็สามารถขึ้นเวทีประตูมังกรเป็นคนแรก รับการทดสอบเก้าศิลาประตูมังกรได้เลย”
ลิ่งหูซิวพูดจบก็ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง รอคอยเงียบๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้แซ่หูคนนี้ก็ไม่เกรงใจล่ะ”
ชายชราผมเทาผู้หนึ่งพูดพลางลุกขึ้น กระโจนร่างออกไปแล้วพุ่งขึ้นเวทีประตูมังกร จากนั้นสูดหายใจลึก นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นโดยหันหน้าเข้าหาแท่นศิลาโบราณทั้งเก้า
หูหลินชวน!
เมื่อได้เห็นเขาปรากฏตัวขึ้น นักสลักวิญญาณในที่นั้นล้วนเผยสีหน้าแฝงความนัยอย่างอดไม่ได้ หูหลินชวนผู้นี้เป็นนักสลักวิญญาณชั้นสูงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในนครต้องห้าม
ที่ชื่อเสียงเขาโด่งดังเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะครอบครองความรู้ความสามารถด้านการสลักรอยวิญญาณที่ล้ำลึก แต่เพราะเขาเข้าร่วมทดสอบรับรองปรมาจารย์สลักวิญญาณมาแล้วหลายสิบครั้ง แล้วก็ล้มเหลวทุกครั้งไปต่างหาก
แต่เขายังไม่ยอมแพ้ แม้อายุจะมากก็ยังคงยึดติดกับสิ่งนี้ ดังนั้นถึงทำให้นักสลักวิญญาณมากมายล้วนรู้จักคนโดดเด่นเช่นเขา
“นี่เป็นครั้งที่สามสิบแปดแล้วกระมัง”
“เหอะๆ ประมาณนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าหูหลินชวนคนนี้จะดวงขึ้นผ่านการทดสอบครั้งได้หรือไม่”
“ยาก ยากเกินไป พรสวรรค์เขามีจำกัด ศักยภาพก็ดึงมาใช้จนหมดสิ้น อยากเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
“เฮ้อ เจ้าหมอนี่…จริงๆ ก็น่าสงสารยิ่ง”
เมื่อได้ยินฝูงชนแสดงความเห็นเสียงเบา หลินสิวนถึงได้รู้ว่าชายชราผมเทาที่ขึ้นเวทีไปคนแรกนี้เคยเข้าทดสอบมาหลายครั้งขนาดนี้แล้ว
เห็นเงาร่างผอมกะหร่องที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเวทีประตูมังกรของอีกฝ่ายแล้ว ในใจหลินสวินก็มีความชื่นชมก่อตัวขึ้นอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
หนทางยากลำบากแต่จิตใจแน่วแน่ ต่อสู้พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่เอ่ยยอมแพ้ก็เพียงพอให้ผู้คนเคารพยกย่องแล้ว!
วู้ม~
ฉับพลันบนเวทีที่ครอบคลุมพื้นที่ร้อยจั้งก็พลันปรากฏคลื่นโบราณคลุมเครือสะท้อนไปทั่ว
ทันใดนั้นพื้นผิวแท่นศิลาลายพร้อยที่ประหนึ่งตั้งตระหง่านอย่างเงียบงันผ่านเดือนปีมาเป็นเวลานานทั้งเก้า ก็เต็มไปด้วยประกายแสงเทพมหัศจรรย์ราวภาพฝัน พวยพุ่งโอบล้อม
ส่วนร่างของหูหลินชวนที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้นก็ถูกประกายแสงเทพแวววาวเข้าปกคลุม
ในชั่วพริบตาเท่านั้น ฝูงชนโดยรอบก็มองเงาร่างของหูหลินชวนได้ไม่ชัดเจนอีก เห็นเพียงลำแสงพวยพุ่งออกมาลำแสงหนึ่ง กับแท่นศิลาโบราณเก้าแท่นที่ราวกับถูกปลุกขึ้นจากห้วงนิทรา
การทดสอบเริ่มขึ้นแล้ว!
หลินสวินจ้องตาไม่กะพริบ สลัดความคิดวุ่นวายทั้งหมดทิ้ง รวบรวมสมาธิมองไปยังเวทีประตูมังกร ทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายมหัศจรรย์ไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูด พาให้เขาอดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้