ตอนที่ 191 ตำราการเล่นหมากล้อม

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

หลังจากนั้นจี๋อิ๋งอยู่ดูปี้อวี้ทำอีกหลายครั้ง ชี้แนะจุดที่ยังไม่ถูกต้องให้อีกหลายจุด แล้วก็ลุกขึ้นกล่าวขอตัว

โจวเสาจิ่นมาส่งนางออกจากห้องพักโดยสารด้วยตัวเอง กล่าวยิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ แม้แต่การนวดเพื่อรักษาอาการเมาเรือเช่นนี้ก็รู้ด้วย”

“เป็นนายท่านสี่ที่สอนข้า” จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ “บ้านเกิดของข้าอยู่ชังโจว หากเจ้าถามข้าว่าเวลาม้าป่วยแล้วต้องทำอย่างไรข้าย่อมรู้ แต่หากเจ้าถามข้าว่าคนเมาเรือแล้วต้องทำอย่างไร ข้าก็ไม่รู้อะไรเลยเหมือนๆ กับเจ้า นายท่านสี่เพียงต้องการยืมมือของข้านำวิธีการเหล่านี้ไปบอกปี้อวี้ก็เท่านั้น”

โจวเสาจิ่นจึงยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่

คิดไม่ถึงว่าแม้แต่เรื่องพวกนี้เฉิงฉือก็ทำเป็นด้วย…

จี๋อิ๋งอ้าปากหาวครั้งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือ ดูท่าทางเหนื่อยอ่อนยิ่งนัก อยู่บนเรือนอนไม่ค่อนหลับหรือ”

จี๋อิ๋งได้ยินแล้วก็ลอบกล่าวค่อนขอดอยู่ในใจว่า ไม่ว่าอยู่ที่ไหนนางก็นอนหลับสนิทได้ทั้งนั้น แต่เพราะเฉิงจื่อชวนต้องการให้นางเดินลาดตระเวนตรวจตราความปลอดภัยบริเวณที่พักของสตรีทุกคืน ส่วนกลางวันก็เสียงดัง นางจะไปนอนหลับสนิทได้อย่างไร

“ใช่!” นางอ้าปากหาวอีกครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องพวกนี้ให้โจวเสาจิ่นรู้ จะได้หลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่ายิ่งนางรู้มากก็จะยิ่งเป็นกังวลใจแทนนางมาก “ข้าขี่ม้าเป็นตั้งแต่อายุสามขวบ แต่อายุสิบแปดปีแล้วถึงได้นั่งเรือเป็นครั้งแรก”

โจวเสาจิ่นเข้าใจ รีบดันตัวนางให้รีบกลับไปพักผ่อน “ประเดี๋ยวกลางคืนตอนเรือเทียบท่าแล้วพวกเราค่อยมาคุยกัน”

จี๋อิ๋งเองก็ง่วงจนเบลอแล้วจริงๆ จึงพูดกับโจวเสาจิ่นอีกสองประโยคแล้วกลับห้องไป

โจวเสาจิ่นหมุนกายกลับไปที่ห้องพักโดยสาร

หลังจากที่สื่อมามาถูกโจวเสาจิ่นติเตียนอย่างไม่หนักและไม่เบาไปครั้งหนึ่งเมื่อครู่แล้ว อีกทั้งยังได้เห็นว่าคำพูดของนางมีน้ำหนักต่อหน้าเฉิงฉือ จึงไม่กล้าทำตัวฉลาดเล่นแง่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นอีก เล่าเรื่องที่โจวเสาจิ่นไปขอความเมตตาแทนเจินจูให้เจินจูฟัง เจินจูจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะลุกขึ้นมาโขกศีรษะให้โจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นรีบส่งสัญญาณบอกปี้อวี้ให้เจินจูเอนตัวลงนอน กล่าวขึ้นว่า “หากเจ้าอยากขอบคุณข้าจริงๆ ล่ะก็ ก็รีบหายป่วยเสีย ส่วนเรื่องมารยาทพวกนี้ก็อย่าได้กล่าวถึงเลย”

เจินจูเองก็ได้รู้จักกับนางมาแล้วช่วงหนึ่ง นึกถึงว่าในยามปกติแล้วนางไม่ค่อยพูดสักเท่าไร แต่พอถึงยามคับขันกลับยินดีออกหน้าช่วยเหลือตนเองอย่างกล้าหาญ คาดว่าคงจะเป็นคนแข็งนอกอ่อนในผู้หนึ่ง จึงไม่เกรงใจนางอีก จากนั้นเอนตัวนอนลงบนเตียง กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง บุญคุณใหญ่หลวงนี้ข้าจะจำใส่ใจไว้ และข้าจะนวดตามที่แม่นางจี๋อิ๋งบอกทุกวัน จะได้หายไวๆ เจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นไม่ใช่คนประเภทที่ชอบยกเอาความดีความชอบมาเป็นของตัวเอง

นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความคิดของท่านน้าฉือ เมื่อเจ้าหายดีแล้ว ก็อย่าลืมไปกล่าวขอบคุณเขาสักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”

เจินจูขานรับ “เจ้าค่ะ” ทว่าในใจกลับคิดว่า ไม่รู้ว่ามีคนกี่มากน้อยที่คิดจะขอร้องนายท่านสี่ และมีคนกี่มากน้อยที่ขอร้องนายท่านสี่ได้สำเร็จ กล่าวไปกล่าวมา เป็นเพราะนายท่านสี่เห็นแก่หน้าของคุณหนูรองอย่างท่าน คนที่นางต้องกล่าวขอบคุณด้วยจริงๆ จึงควรจะเป็นคุณหนูรอง

โจวเสาจิ่นเห็นอากาศภายในห้องพักโดยสารไหลเวียนปลอดโปร่ง เพื่อรักษาความสะอาดภายในห้องพักโดยสารแล้ว สาวใช้เด็กหลายคนใช้ฝาไม้ปิดข้าวของต่างๆ ที่เป็นประเภทอ่างน้ำของเจินจูเอาไว้ นางรู้สึกว่าตนก็ไม่มีอะไรให้ต้องบอกกล่าวอีกแล้ว จึงกำชับเจินจูว่าต้องพักผ่อนให้ดี จากนั้นกลับห้องไปพร้อมกับชุนหว่าน

สื่อมามาเองก็กล่าวขอตัวเช่นกัน แล้วนำความกลับไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากัว

นางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังอย่างละเอียด

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังแล้วก็ย่นคิ้วขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปหาเสาจิ่น จากนั้นเสาจิ่นไปหาชายสี่ ชายสี่จึงให้จี๋อิ๋งไปรักษาอาการเมาเรือของเจินจูอย่างนั้นหรือ”

สถานการณ์ตอนนี้เพียงดีขึ้นเท่านั้น

สื่อมามาไม่กล้ากล่าวเกินจริง

เพราะถ้ารักษาเจินจูไม่ได้จริงๆ เฉิงฉือได้กล่าวเอาไว้แล้วว่า จะให้เจินจูลงจากเรือยามเรือเทียบท่าที่ฉางโจว

นางรีบกล่าว “อาการดีขึ้นจากก่อนหน้านี้มากแล้วเจ้าค่ะ หากทำตามวิธีที่แม่นางจี๋อิ๋งบอกมา คาดว่าประมาณหนึ่งเดือนก็รักษาให้หายได้แล้วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยเสียง “อืม” ออกมาเสียงหนึ่งอย่างใจลอย

บุตรที่ตัวเองให้กำเนิดออกมา ตัวเองย่อมรู้จักดีที่สุด

บุตรชายคนเล็กนั้นดื้อรั้นมาตั้งแต่เด็ก อย่าได้มองว่าตอนนี้เขาเติบใหญ่ขึ้นมาแล้วมีท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ความจริงแล้วภายในกลับกระด้างเย็นชายิ่งนัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าเจียซ่านไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในการเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแต่ก็ไม่ยอมออกแรงไปให้การอบรมสั่งสอนรั่งเกอเอ๋อร์ของบุตรชายคนรอง…แต่ครั้งนี้ เขากลับยอมไปถวายธูปที่เขาผู่ถัวเป็นเพื่อนตน และยังอารมณ์ดีช่วยชี้แนะการเล่นไพ่ให้เสาจิ่น ตอนนี้ยังให้สาวใช้ข้างกายของตัวเองไปช่วยรักษาอาการเมาเรือให้เจินจูอีก…ก็ออกจะเป็นคนพูดง่ายเกินไปสักหน่อย!

อย่างที่เขาว่ากันว่า ความไม่ปกตินั้นเรียกได้ว่าอันตราย

หรือว่าทางด้านชายสี่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือว่าชายสี่จะมีแผนอะไรบางอย่าง?

เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีเรื่องไม่สบายใจ ก็เลยไม่มีอารมณ์เล่นไพ่แล้วเช่นเดียวกัน

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกไปครั้งหนึ่ง แต่กลับพบว่าเฉิงฉือใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งถือจอกชาอยู่บนตั่งหลัวฮั่นข้างหน้าต่างเรือ

เขาเองก็คงจะรู้สึกเบื่อหน่ายกระมัง

โจวเสาจิ่นคาดเดา นางลังเลอยู่สองวัน จากนั้นไปหาเฉิงฉือเพื่อเดินหมาก “เพียงฆ่าเวลาเท่านั้น…ยังคงเล่นหมากกระดานห้าแถวเหมือนคราวที่แล้วเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือมองนาง

ใบหน้าของโจวเสาจิ่นพลันแดงเรื่อ

นางรู้ว่าแผนนี้ของตนเป็นแผนที่ไม่ค่อยดีนัก แต่นอกจากหมากกระดานห้าแถวแล้ว นางก็ไม่มีวิธีอื่นมาล่อให้เขาเบิกบานได้แล้ว

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโตสีดำสลับขาวมองเฉิงฉือด้วยดวงตาที่เปี่ยมด้วยความคาดหวัง

ชั่วขณะนั้นเฉิงฉือก็เหมือนกับนึกถึงดอกไม้ไร้ชื่อดอกเล็กๆ ที่บานอยู่ข้างทางเส้นเล็กและส่ายไปมายามต้องลมในฤดูใบไม้ผลิขึ้นมา

เขาจึงตะโกนบอกให้ชิงเฟิงนำกระดานหมากเข้ามาตั้ง

โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่

ดวงตาที่ระยิบระยับนั้นโค้งงอจนเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยว ดวงหน้าเปี่ยมล้นด้วยความยินดี

เพียงตอบรับเดินหมากกับนางไม่กี่กระดานเท่านั้น ต้องดีใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

เฉิงฉือลอบครุ่นคิดอยู่ในใจอย่างไม่เข้าใจ ทว่าเสมือนกับได้รับอิทธิพลบางอย่างมาทำให้อารมณ์ดีขึ้นมากอย่างห้ามไม่อยู่ กระทั่งมุมปากของเขายกยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว

เช่นเดียวกับครั้งก่อน เฉิงฉือต่อให้โจวเสาจิ่นสองเม็ด พวกเขาเดินหมากไปสิบกระดาน

ผลลัพธ์ก็เหมือนกับเมื่อครั้งก่อน เฉิงฉือชนะเก้าครั้งแพ้หนึ่งครั้ง

โจวเสาจิ่นไม่ค่อยอยากยอมรับนัก แต่เวลานี้สายแล้ว นางจำต้องกล่าวขึ้นว่า “พรุ่งนี้พวกเราค่อยเล่นกันอีกนะเจ้าคะ!”

เฉิงฉือไม่กล่าวอะไร

โจวเสาจิ่นจึงถามเขาว่า “ท่านน้าฉือได้พกตำราการเล่นหมากล้อมมาด้วยหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะกลับไปศึกษาเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเคยเห็นคนที่ให้คู่ต่อสู้ยืมอาวุธแล้วจากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคู่ต่อสู้อย่างนั้นหรือ”

โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างกล้าหาญและมั่นใจว่า “แต่ว่าต่อให้ท่านน้าฉือจะให้ข้ายืมอาวุธของท่านแล้ว ข้าก็ไม่อาจเอาชนะท่านได้อยู่ดี เหตุใดท่านน้าฉือไม่ลองเปิดใจชี้แนะข้าดูเล่าเจ้าคะ และถ้าเอาชนะคนมีชื่อเสียงได้ ก็เป็นการช่วยให้การต่อสู้จบลงอย่างมีรสชาติมากยิ่งขึ้น นี่ก็นับได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนะเจ้าคะ!”

ดูไม่ออกเลยว่า เด็กที่ปกติมักจะดูเป็นคนอะไรก็ได้ ไม่ค่อยพูดอยู่ตลอดนั้น จะมีมุมที่กระตือรือร้นเช่นนี้อยู่ด้วย!

เฉิงฉือกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่มี! ข้าไม่ได้เอาตำราเล่นหมากล้อมมาด้วย”

โจวเสาจิ่นเดินไหล่ตกกลับห้องพักโดยสารไปอย่างผิดหวัง

หลังจากรับมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว จี๋อิ๋งมาเยี่ยมนาง โยน ‘ตำราการเล่นหมากล้อม’ ที่ออกโดยไป๋เฉ่าถังเล่มหนึ่งให้นาง กล่าวขึ้นว่า “ฉินจื่อผิงกล่าวว่าได้รับคำสั่งจากนายท่านสี่ให้ใช้ม้าเร็วส่งมาให้จากเมืองฉางโจว ม้าวิ่งเร็วจนเกือบจะตายไปเสียแล้ว เล่มนี้เป็นตำราการเล่นหมากล้อมที่ง่ายที่สุดที่พวกเขาหาได้ เจ้าอยากได้ตำราการเล่นหมากล้อมไปทำไมหรือ หรือว่าเจ้ายังคิดจะประลองฝีมือกับนายท่านสี่อีก?”

“เปล่าๆ!” โจวเสาจิ่นถือตำราการเล่นหมากล้อมเล่มนั้นเอาไว้ รู้สึกราวกับว่าตนถือมันเผาร้อนๆ หัวหนึ่งเอาไว้ก็ไม่ปาน พึมพำกล่าวว่า “ข้า…ข้าเพียงคิดว่า คราวก่อนท่านน้าฉือสอนข้าเล่นไพ่ใบไม้นั้น เพียงฟังข้าก็เข้าใจแล้ว…ก็เลยคิดว่าจะขอยืมตำราการเล่นหมากล้อมสักเล่มจากท่านน้าฉือได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าเพียงอ่านดูข้าอาจจะเข้าใจแล้วก็เป็นได้ จะได้ไม่ต้องไปขอให้เฉินต้าเหนียงสอนข้าบ่อยๆ ด้วย…”

จากคำพูดของนาง จี๋อิ๋งพอจะฟังออกว่านางไม่ค่อยสบายใจเท่าไร กระซิบถามเสียงเบาว่า “เฉินต้าเหนียงชักสีหน้าใส่เจ้าหรือ”

“จะเป็นไปได้อย่างไร!” โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “เป็นข้าเองที่ไม่ว่าอย่างไรก็ดูการเริ่มเล่นที่มุมไม่เข้าใจเสียที ทำให้เฉินต้าเหนียงไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว ข้าเองก็ไม่กล้าไปถามผู้อื่น…”

“นี่ไม่ใช่ว่าเจ้าหาเรื่องให้ตัวเองต้องไม่สบายใจหรือ” จี๋อิ๋งได้ยินแล้วก็เหลือบตามองบนใส่นางครั้งหนึ่ง กล่าวต่อว่า “เหตุใดเจ้าถึงอยากจะเดินหมากเป็นเพื่อนนายท่านสี่มากถึงเพียงนี้ด้วย”

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องที่สำคัญมากอยากจะขอร้องท่านน้าฉือ แต่ต้องได้รับความไว้วางใจจากเขาให้ได้ก่อน”

เมื่อกล่าวเช่นนี้จี๋อิ๋งจึงเข้าใจ

นางคิดตามว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ก็เลยไม่ได้ไล่เลียงถามรายละเอียดกับโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ตั้งใจศึกษาตำราการเล่นหมากล้อมเล่มนี้ให้ดีก็แล้วกัน! ข้าต้องไปเดินลาด…ข้าต้องกลับห้องแล้ว หากเจ้ามีเรื่องอะไรก็ให้ชุนหว่านไปเรียกข้าได้”

โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณไม่หยุด ศึกษาตำราการเล่นหมากล้อมอยู่ภายในห้องพักโดยสารกว่าครู่ใหญ่ ค้นพบว่าตำราเล่มนี้เป็นอย่างที่จี๋อิ๋งกล่าวเอาไว้จริงๆ ค่อนข้างง่าย อย่างน้อยก็ง่ายกว่าตำราการเล่นหมากล้อมที่เฉินต้าเหนียงให้นางดูพวกนั้น สุดท้ายนางก็พอจะเข้าใจวิธีการดูการเริ่มเล่นที่มุมที่อยู่ด้านหน้าสุดของตำราบ้างแล้ว

ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความยินดีอย่างห้ามไม่อยู่

เมื่อนึกถึงว่าท่านน้าฉือให้คนไปหาตำราเล่มนี้มาให้นาง ก็ยิ่งเกิดความสงสัยในใจ

พวกเขาอยู่บนเรือ รอบด้านล้วนแล้วแต่แวดล้อมไปด้วยน้ำ แล้วท่านน้าฉือให้คนไปหาตำราเล่มนี้มาให้นางได้อย่างไร

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก็คิดไม่ออก วันต่อมานางไปกล่าวขอบคุณเฉิงฉือ

เฉิงฉือไม่ยี่หระ ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าให้เจ้ายืมอาวุธไปแล้ว ทีนี้ก็คอยดูว่าเจ้าจะทำให้ข้ามีชื่อเสียงเลื่องลือออกไปและยังได้ประลองการเดินหมากอย่างมีรสชาติมากขึ้นได้อย่างไรบ้าง!”

โจวเสาจิ่นละอายไม่กล้ามองเฉิงฉือ ยอบเข่าทำความเคารพ แล้วหนีไปอย่างยอมแพ้

เฉิงฉือมองเบื้องหลังของนางที่บอบบางราวลูกกวางน้อยแล้ว ก็หัวเราะออกมา

เป็นเช่นนี้ไปสองวัน โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าใบหน้าของตนไม่ได้เห่อร้อนขนาดนั้นแล้ว จึงไปหาเฉิงฉือเพื่อเดินหมาก

เฉิงฉือไม่กล่าวอะไร ให้ชิงเฟิงตั้งกระดานหมาก ยังคงเล่นหมากกระดานห้าแถวและต่อให้นางสองเม็ดเช่นเดิม

ผ่านไปสิบกระดาน โจวเสาจิ่นแพ้เก้ากระดานชนะหนึ่งกระดาน

นางมองเฉิงฉืออย่างตกตะลึง

สีหน้าของเฉิงฉือสงบ ค่อยๆ เก็บหมากบนกระดานทีละเม็ด

โจวเสาจิ่นไม่ยอมแพ้ ยังคงไปหาเฉิงฉือเพื่อเดินหมากอีก

ผลลัพธ์ยังคงเป็นเก้าต่อหนึ่ง

โจวเสาจิ่นไม่ใช่คนโง่

นางลุกขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำราวท้องฟ้ายามเช้า ปรารถนาเหลือเกินให้มีรอยแยกที่พื้นสักที่ให้นางได้มุดศีรษะลงไป ก้มหน้ากล่าวเสียงหนึ่งว่า “ข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ” แล้วมุ่งหน้าเดินออกไปข้างนอก

เฉิงฉือส่ายศีรษะไม่หยุด กล่าวเสียงหนึ่งว่า “กลับมา”

โจวเสาจิ่นหยุดฝีเท้าลง ก้มศีรษะต่ำจนเกือบจะถึงหน้าอกอยู่แล้ว หมุนตัวกลับมาอย่างหม่นหมอง

เฉิงฉือถอนหายใจ กล่าวขึ้นว่า “แพ้ให้ข้ามันน่าอายนักหรือ”

“ย่อมไม่ใช่เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “เป็นเพราะข้าเอง…”

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” เฉิงฉือไม่รอให้นางกล่าวจนจนก็กล่าวขัดคำพูดของนางเสียก่อน กล่าวต่อว่า “คนจะกินให้อ้วนท้วนได้ในหนึ่งคำหรืออย่างไร แค่เจ้าเล่นหมากกระดานห้าแถวแพ้ข้าไม่กี่กระดานก็รับไม่ได้แล้ว หากมีคนเดินมาสามคน ย่อมต้องมีสักคนที่เป็นครูของเจ้าได้ แม้แต่วิสัยทัศน์นี้เจ้าก็ไม่มี แล้วจะเรียนเล่นหมากล้อมให้ดีได้หรือ เจ้ากลับไปคิดทบทวนคำพูดของข้าให้ดี”

ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะเรียนเล่นหมากล้อมเสียหน่อย

โจวเสาจิ่นค่อนขอดอยู่ในใจพลางเดินออกจากห้องพักโดยสารไป

ลมที่อยู่ตรงหน้าพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนาง พลันทำให้หัวสมองของนางแจ่มใสขึ้นไม่น้อย

คำพูดของท่านน้าฉือก็มีเหตุผล

หากแม้แต่ท่านน้าฉือนางก็ยังยอมพ่ายแพ้ให้ไม่ได้ จะพูดถึงเรื่องเรียนเล่นหมากล้อมให้ดีได้อย่างไร

ตอนที่กลับมามีชีวิตอีกครั้งนั้น ไม่ใช่ว่านางตัดสินใจแล้วหรือว่าจะแก้ไขความขี้ขลาดและข้อด้อยของตัวเองก่อนหน้านี้ให้ได้

อย่างไรก็ตาม การต้องเสียหน้าต่อหน้าท่านน้าฉือเช่นนี้ นางก็รู้สึกยากจะทำใจได้จริงๆ

โจวเสาจิ่นให้ตัวเองโมโหอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้กำหมัดขึ้น หมุนกายเลิกผ้าม่านของห้องหนังสือขึ้น แล้วกล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ พรุ่งนี้พวกเราค่อยเล่นกันใหม่อีกครั้งเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็วิ่งหายไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มองเฉิงฉือเลยสักครั้ง

***************************