ตอนที่ 32 ช่วยข้าด้วย
ผู้คนบนท้องถนนต่างยืนมุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“โอ้ เจ้านั่นคือคนที่ถูกรุมกระทืบหน้าบ่อนพนันใช่หรือไม่?”
“ช่างไม่เข็ดหลาบ ถูกกระทืบแล้วยังกล้าชักดาบที่ร้านของหวังเอ๋ออีก หาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ เชียว สงสัยคงอยากรนหาที่ตาย!”
“อืม ข้าว่าเจ้านี่คงไม่ใช่คนในละแวกนี้แน่…”
หยุนเชวี่ยแอบฟังสิ่งที่ชาวบ้านพูด ดูเหมือนว่าร้านก๋วยเตี๋ยวของหวังเอ๋อจะเป็นที่รู้จักของชาวบ้านในละแวกนี้
“พี่ชาย เมตตาข้าเถิด…ได้โปรด!” ชายผู้นั้นวิ่งออกนอกร้านตามมาด้วยเสี่ยวเอ๋อที่ถือไม้ในมือ
“ไอ้ขอทาน! กล้าดีอย่างไรถึงปลอมตัวเป็นนักพรต!” เสี่ยวเอ๋อขว้างเก้าอี้พร้อมคำรามด้วยความโมโห “อาสี่ จับไอ้คนลวงโลกที่หลอกกินบะหมี่ร้านข้าให้ที!”
ชายวัยกลางคนสูงราวแปดฟุต รูปร่างกำยำ ผิวคล้ำแดด เครารกรุงรัง ในมือของเขาถือมีดอีโต้เดินออกมาจากร้านขายเนื้อที่ตั้งห่างจากร้านบะหมี่ประมาณสิบฟุต
นักต้มตุ๋นวิ่งออกไปกลางถนนพร้อมตะโกนตัดพ้อ ก่อนหันหลังกลับและวิ่งไปทางเดิมอย่างสิ้นหวัง
“ธารน้ำและทะเลสาบนั้นห่างไกล เนินเขาเขียวไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นแม่น้ำได้ คนดีย่อม…”
ยังไม่ทันพูดจบ เขาได้ยินเสียง ‘ฟิ้ว’ ที่ข้างหู จากนั้นมีดเล่มใหญ่ก็ลอยไปปักอยู่ที่เสาไม้ด้านหน้า
“ทักษะการใช้มีดยอดเยี่ยมมาก” หยุนลี่เต๋อกล่าวชม
นักต้มตุ๋นตกใจกลัวจนก้าวเท้าไม่ออก จากนั้นหันหลังกลับไปมองเจ้าของร้านขายเนื้อพลางพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พะ พี่ชาย ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้…”
หยุนเชวี่ยหันไปกล่าวกับหยุนเยี่ยน “พี่สาว เชื่อหรือยังว่าข้าพูดถูก?”
“เขายังหนุ่มยังแน่น ร่างกายครบสามสิบสอง แต่กลับงอมืองอเท้าหลอกลวงผู้อื่นไปทั่ว เขาจะรู้หรือไม่ว่าการเปิดร้านอาหารไม่ใช่เรื่องง่าย” หยุนลี่เต๋อกล่าว
“พอแล้ว” เหลียนซื่อยกมือห้ามก่อนพาเด็กทั้งสามเดินออกไป “ต่อสู้กันด้วยมีดและไม้ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย กลับบ้านได้แล้ว!”
ระหว่างทางกลับหมู่บ้านไป่ซี
หยุนลี่เต๋อเดินถือหม้อใบใหญ่พร้อมกล่าวสั่งสอนบุตร “ในฐานะมนุษย์เราต้องไม่คิดคดโกง แม้จะยากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่ควรลักขโมยและหลอกลวงผู้อื่น เพียงแค่ตั้งสติให้มั่น ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ…”
สามพี่น้องพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
เหลียนซื่อยิ้มพร้อมกล่าวติดตลกว่า “แม้พ่อของพวกเจ้าเป็นคนแข็งกระด้าง แต่สิ่งที่เขาพูดมาล้วนเป็นความจริง และจากนี้เขาคงจะพูดเรื่องนี้ทั้งวันจนทั้งสามไม่กล้าคิดคดโกงแน่”
“ถูกต้อง!” หยุนลี่เต๋อระเบิดหัวเราะ “เด็ก ๆ เปรียบเสมือนต้นอ่อนของแตงกวา หากเราปลูกฝังด้วยตรรกะที่บิดเบี้ยว พวกเขาก็จะโตมาแบบผิด ๆ แต่หากเราสั่งสอนด้วยคุณงามความดี เด็กน้อยจะโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีอย่างไรล่ะ”
“ท่านพ่อพูดดีมาก! ดีกว่าหวังหลี่เจิ้งเสียอีก!” หยุนเชวี่ยประหลาดใจ ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นจะออกมาจากปากชายที่นิสัยน่าเบื่อเช่นนี้
“เอาพ่อของเจ้าไปเทียบหวังหลี่เจิ้งได้อย่างไร คนผู้นั้นเขาเป็นถึงบัณฑิต” เหลียนซื่อหัวเราะ
หยุนเชวี่ยนิยามรอยยิ้มของเหลียนซื่อว่า ‘รอยยิ้มแห่งความขมขื่น’ ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับเด็กสาวที่ได้เจอคนที่ตนปรารถนาและรอคอยมาเป็นเวลานาน ดังนั้นนางจึงส่งกลิ่นอายของความรักอันขมขื่นผ่านรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว” หยุนลี่เต๋อพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเหลียนซื่อ เขาเปรียบเสมือนหมีตัวใหญ่ที่เชื่อฟังภรรยาในทุกคำพูด
หยุนเชวี่ยใช้มือข้างหนึ่งจับมือของเสี่ยวอู่ ส่วนอีกข้างจับมือของหยุนเยี่ยนเอาไว้ นางตั้งใจชะลอฝีเท้าและรักษาระยะห่างกับบิดามารดาที่กำลังพลอดรักกันอยู่
“เชวี่ยเอ๋อเป็นอะไรไป? เหนื่อยแล้วหรือ?” หยุนเยี่ยนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อืม ข้าร้อนน่ะ!”
ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว ดังนั้นพระอาทิตย์จึงส่องแสงจ้าทำให้ทั้งสองข้างทางไม่มีร่มเงาให้พักร้อน
“ข้าขอถามอะไรสักอย่างสิ ตอบมาตามตรงนะ” เมื่อเห็นว่าบิดามารดาเดินไปไกลแล้ว หยุนเยี่ยนจึงกระซิบถามน้องสาว “เรื่องเมื่อคืน… เป็นเจ้าหรือไม่?”
“หืม? พี่พูดถึงเรื่องอะไรรึ?” หยุนเชวี่ยใสซื่อราวกับไม่เข้าใจคำถาม
“หลังจากที่ทุกคนหลับ… ข้าได้ยินเสียงเจ้าแอบเดินออกไปข้างนอก”
“เมื่อคืนข้าออกไปฉี่ ตอนที่ท่านอาตะโกนให้ช่วยพวกเราก็นอนหลับกันอยู่ไม่ใช่หรือ?” หยุนเชวี่ยแสดงท่าทีไร้เดียงสา “เหตุใดพี่สาวถึงสงสัยในตัวข้าเล่า?”
ใบหน้าของหยุนเยี่ยนเต็มไปด้วยคำว่า ‘ไม่เชื่อ’ “ไม่ใช่เจ้าจริง ๆ หรือ?”
“พี่สาว มองมาที่ข้า” หยุนเชวี่ยเหยียดแขนเรียวเล็กออกไปด้านหน้าและแกว่งไปมา “ข้าดูเหมือนคนที่เอาชนะท่านอาได้หรือ?”
เสี่ยวอู่เงยหน้ามองพี่สาวพลางหรี่ตาจนกลายเป็นเส้นตรงพร้อมครุ่นคิด ‘ไม่ใช่ไม่เหมือน แต่เจ้าทำจริง ๆ ต่างหาก!’
หยุนเยี่ยนมองเข้าไปในดวงตาอันใสซื่อของน้องสาวพร้อมครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจ “ไม่ใช่เจ้าก็ดีแล้ว อย่าไปยุ่งกับท่านอาเลย”
“รู้แล้วน่า” หยุนเชวี่ยเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ตัวของท่านอาคงเต็มไปด้วยมูลสัตว์ ข้าคิดว่านางต้องไม่กล้าสู้หน้าผู้ใดแน่นอน…”
ทุกอย่างเป็นจริงตามที่หยุนเชวี่ยคาดเดา
หยุนชิ่วเอ๋อขังตัวเองอยู่ในห้องมาพักใหญ่แล้ว แม้แต่ข้าวเย็นจูซื่อก็เป็นคนยกเข้าไปให้นาง
เวลาพลบค่ำ เหอยาโถวถือถุงกระดาษเดินเข้ามาหาหยุนเชวี่ย
“เชวี่ยเอ๋อ ข้าให้เจ้า”
“อะไรหรือ?” หยุนเชวี่ยเช็ดมือที่เปียกจากการช่วยเหลียนซื่อทำความสะอาดถ้วยชาม
“ขนมซูปิ่งน่ะ พี่รองของข้าซื้อมาให้ ไส้ถั่วหวานอร่อยมากเลย” เหอยาโถวพูดพลางเงยหน้ามองห้องด้านบน “ข้าได้ยินมาว่าอาของเจ้าตกลงไปในบ่อมูลสัตว์หรือ?”
“เจ้าได้ยินมาจากไหน?”
“ได้ยินจากอาสามของเจ้าน่ะสิ ทุกคนในหมู่บ้านรู้เรื่องนี้กันหมด ข้ายังได้ยินมาอีกว่านางตะโกนร้องไห้ด้วย…” เหอยาโถวตอบก่อนระเบิดหัวเราะ
หยุนเชวี่ยนิ่งอึ้ง…
เรื่องดี ๆ ไม่เคยรับรู้ แต่พอเป็นเรื่องไม่ดีกลับกระจายไปทั่วราวกับโรคระบาด
หยุนเชวี่ยสาบานได้ว่านางแค่อยากสั่งสอนและยั่วโมโหหยุนชิ่วเอ๋อเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจทำให้นางตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน!
“ส่วนหยุนอี้ก็ยังคงพูดแก้ต่างให้พ่อของนางไปทั่ว แต่ลองคิดดูสิว่านอกจากอาสามจอมเจ้าเล่ห์ของเจ้าแล้ว ใครจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้อีก?”
หยุนเชวี่ยหมดคำพูด…
ใครเป็นผู้ให้ท้ายหยุนลี่เซี่ยวจนมีนิสัยเกียจคร้านและคดโกงถึงเพียงนี้ แต่หากพูดกันตามตรงครั้งนี้เขาหาเรื่องใส่ตนเองต่างหาก
“ข้าว่าอาของเจ้าสมควรได้รับบทเรียนแล้วล่ะ เพราะนางมักรังแกเจ้ากับเยี่ยนเอ๋อเสมอ…”
“อย่าพูดเช่นนั้น” หยุนเชวี่ยหันมองห้องชั้นบน “หากท่านอาชิ่วเอ๋อกับท่านย่าได้ยินคงตำหนิข้าอีก ข้าเบื่อที่จะเป็นกระโถนระบายอารมณ์ของพวกนางเต็มทนแล้ว!”
หลังจากหยุนเชวี่ยพูดจบ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากห้องด้านบนทันที “ข้าว่าแถวนี้มีสุนัขที่เลี้ยงไม่เชื่อง ไม่สำนึกบุญคุณอยู่หนึ่งถึงสองตัว! ไม่ช้าก็เร็วพวกมันต้องตกนรกขุมที่ลึกที่สุดและไม่มีวันได้ผุดได้เกิดแน่!”
เหอยาโถวตบริมฝีปากตนเอง “เหตุใดย่าของเจ้าถึงชอบสาปแช่งผู้อื่น?”
“ท่านคงแข็งแรงเกินไปน่ะ” หยุนเชวี่ยคาดเดาว่าเวลานี้ท่านย่าของนางคงกำลังพักผ่อนหลังมื้ออาหาร
“นางปากจัดยิ่งกว่าท่านย่าของข้าเสียอีก”
“ข้าเห็นด้วย หากหมู่บ้านเราจัดการแข่งขันการว่าผู้ใดปากจัดที่สุด ครอบครัวของข้าต้องชนะเลิศเป็นแน่ ย่าของเจ้าและป้าฮวงคงแพ้ไม่เห็นฝุ่น”
ป้าฮวงคือหญิงปากตลาดที่ทุกคนในหมู่บ้านไป่ซีรู้จักกันดี นางเพิ่งสูญเสียลูกสะใภ้ไปได้ไม่นาน ชาวบ้านต่างเล่ากันปากต่อปากว่าป้าฮวงเป็นคนทำคุณไสยเพื่อฆ่าลูกสะใภ้
เหอยาโถวหัวเราะชอบใจจนตัวโยนราวกับแม่ไก่กำลังจะออกไข่
เหลียนซื่อส่ายศีรษะพร้อมถอนหายใจ “เชวี่ยเอ๋อ เหตุใดเจ้าถึงชอบพูดจาเหลวไหล? ข้ากำชับเจ้าหลายรอบแล้วไม่ใช่หรือ? หรือว่าเจ้าไม่จดจำคำสอนของข้า…”