ตอนที่ 195 เจียงซานอี้นักเรียบเรียงเพลงมือฉมัง อีกตัวตนหนึ่งของพระเอก

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

โดยปกติแล้วฉินหร่านไม่ชอบโพสต์อะไรในวีแชท

 

 

และไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่ามีข้อมูลของถนนบริเวณใกล้เคียงโผล่อยู่ใต้โพสต์ที่แชร์ในวีแชทด้วย

 

 

ซึ่งข้อมูลที่เป็นทางการมีแค่สามบทความเท่านั้นที่คล้ายกับข่าวความเคลื่อนไหวในฟีดวีแชท

 

 

สองวันนี้MVของเหยียนซียังถ่ายไม่เสร็จ

 

 

นอกจากอัดเพลงแล้ว เขายังต้องอดหลับอดนอนเพื่อปรับแต่งเนื้อเพลง

 

 

ข้อความวีแชทนี้เกิดจากตอนที่เขาเบื่อจากการเขียนเนื้อเพลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูจนไปเห็นโพสต์นั้นของฉินหร่านบนฟีดวีแชท

 

 

ที่อยู่ที่แสดงด้านล่างนี้คือที่อยู่ของสถานที่แห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ เหยียนซีจึงบันทึกชื่อถนนเส้นนี้ไปตรวจสอบบนแผนที่ในโทรศัพท์ พบว่าสถานที่แห่งนี้ห่างจากที่ที่เขาอยู่หนึ่งเส้นแม่น้ำ แต่ก็ไม่ถือว่าไกลมาก

 

 

เขาจึงส่งข้อความวีแชทไปให้อีกฝ่ายสองข้อความ

 

 

“เหยียนซี พรุ่งนี้ยังมีการถ่ายทำครั้งสุดท้ายในช่วงเช้านะ…” ผู้จัดการของเหยียนซีเคาะประตูอยู่ด้านนอก จากนั้นก็เข้ามาและเห็นเหยียนซีนั่งพิงกับโต๊ะ

 

 

เขาไม่ได้นอนและดูเหมือนจะไม่ได้เตรียมตัวเข้านอน

 

 

หาได้ยากที่จะเห็นเขาถือโทรศัพท์ กดคิ้วอย่างใจจดใจจ่อพลางจิ้มโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนในตอนนี้——

 

 

เหยียนซีเป็นคนทำเพลงที่ครอบคลุมเครื่องดนตรีเกือบทุกชนิด นิ้วคู่นั้นทั้งเรียวบางจนเห็นกระดูกข้อต่ออย่างเห็นได้ชัด

 

 

ท่าทางแบบนี้ เหมือน เหมือนกับ…

 

 

เหมือนกำลังรอใครบางคนตอบข้อความ?

 

 

ผู้จัดการรู้สึกประหลาดใจกับท่าทางของเหยียนซีจนกลืนประโยคสุดท้ายที่จะบอกว่า “นายเข้านอนเร็วๆ หน่อย” ลงไปในท้อง

 

 

เหยียนซีไม่ใช่คนที่ชอบสร้างภาพในวงการบันเทิงและไม่คิดจะเดินในเส้นทางนี้ แม้จะมีเวยป๋อส่วนตัว ผู้จัดการก็เป็นคนช่วยเขาดูแล นอกเสียจากว่าจะเป็นโฆษณาโปรโมทอัลบั้มใหม่

 

 

และตัวผู้จัดการเองก็ไม่ได้ช่วยเขาโพสต์เวยป๋อเพื่อสร้างภาพเช่นกัน

 

 

เหยียนซีใช้เวลาหลายปีกว่าจะมีที่ยืนในวงการบันเทิง ตอนนี้เขาจึงไม่จำเป็นต้องสร้างภาพเพื่อช่วยรักษาความนิยมให้ตัวเอง

 

 

เขาเป็นคนบ้าดนตรีมาก ในสายตานอกจากดนตรีก็มีแค่ดนตรีเท่านั้น

 

 

น้อยมากที่จะเห็นเขามีท่าทางแบบนี้เมื่อเล่นโทรศัพท์

 

 

ผู้จัดการนิ่งไปสักพัก จากนั้นก็ถามอ้อมๆ อย่างระมัดระวัง “เหยียนซี นายกำลังทำอะไรอยู่?”

 

 

หรือกำลังคุยกับสาวๆ อยู่?

 

 

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เวยป๋อคงจะระเบิดแน่ๆ

 

 

“เจียงซานก็อยู่ในเซี่ยงไฮ้ด้วย” เหยียนซีหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางเอื้อมมือเลื่อนดูโทรศัพท์ อีกฝ่ายยังไม่ตอบข้อความเขา

 

 

เดิมทีผู้จัดการยังคิดว่าเป็นพวกสาวๆ

 

 

แต่พอได้ยินที่เหยียนซีพูดก็นิ่งไปสักพัก เขายังสงสัยว่าเหยียนซีพูดผิด “นายบอกว่าใครนะ?”

 

 

“เจียงซานอี้ คนที่เรียบเรียงเพลงให้ผมไง” เหยียนซีเงยหน้ามองไปทางผู้จัดการ

 

 

ทุกคนในวงการบันเทิงต่างรู้ดีว่านักร้องผู้มีพรสวรรค์อย่างเหยียนซีมีเจียงซานอี้นักเรียบเรียงเพลงมือฉมังอยู่เบื้องหลัง การที่ตอนนี้เหยียนซีมาถึงจุดนี้ในวงการบันเทิงได้นั้น จะต้องยกย่องนักเรียบเรียงเพลงมือฉมังท่านนี้

 

 

เพลงร็อกแอนด์โรลสไตล์ดาร์คที่ได้รับความนิยมบนอินเทอร์เน็ตก็ถูกแต่งและเรียบเรียงเพลงโดยเจียงซานอี้

 

 

หากไม่มีเจียงซานอี้ก็ไม่มีเหยียนซีในวันนี้

 

 

แต่แค่ว่าเจียงซานอี้คนนี้ค่อนข้างลึกลับ

 

 

อย่าว่าแต่ชาวเน็ตจะดึงขนเขามาสักเส้น เพราะแม้แต่เหยียนซีก็ไม่รู้ข้อมูลของเจียงซานอี้แน่ชัดเท่าไหร่

 

 

ถึงจะบอกว่าเจียงซานอี้ไม่ใช่คนในวงการบันเทิงและไม่เผยโฉมหน้าค่าตามาก่อน แต่ก็ถือว่าเป็นบุคคลลึกลับที่สุดในแวดวงนี้!

 

 

บางคนถึงกับสงสัยว่าเจียงซานอี้เป็นเศรษฐีมีเงินที่คอยหนุนหลังเหยียนซี เพราะไม่อย่างงั้นทำไมเหยียนซีถึงไม่รับโฆษณาใดๆ แต่ก็ยังดังมาได้ขนาดนี้และยังไม่มีคนในวงการบันเทิงกล้าทำอะไรเขา?

 

 

แฟนคลับอีกมากมายและนักดนตรีต่างก็สงสัยกับความเป็นจริงเหล่านี้

 

 

มีบางคนถึงขนาดทุ่มเงินไปมากเพื่อซื้อตัวทีมงานที่ทำงานกับเหยียนซีเพียงเพื่อต้องการจะหาช่องทางติดต่อกับเจียงซานอี้

 

 

ตราบใดที่สามารถติดต่อเจียงซานอี้ได้ ก็อาจจะมีโอกาสได้เพลงที่เขาแต่งและเรียบเรียงเอง ซึ่งทุกคนต่างรู้ดีว่าแนวเพลงของเขาไม่มีเพลงไหนที่ไม่เป็นที่นิยม

 

 

เนื่องจากทุ่มเงินไปมาก ทีมงานก็เริ่มหวั่นไหว แต่น่าเสียดายที่พวกเขายังไม่เจอข้อมูลของเจียงซานอี้!

 

 

ถ้าเกิดเจียงซานอี้เปิดเผยตัวในวันนี้ จะต้องเป็นที่ฮือฮาพอๆ กับการเปิดเผยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเหยียนซีหรือฉินซิวเฉิน

 

 

ผู้จัดการของเหยียนซีรู้จักเจียงซานอี้แค่ในระดับปริศนาเท่านั้น เพราะอีกฝ่ายจะติดต่อกับเหยียนซีตามกำหนดเวลาเพียงครั้งเดียว

 

 

ตามปกติจะไม่ส่งข่าวสัพเพเหระใดๆ มาเลย

 

 

ระยะเวลานับจากที่เจียงซานอี้ส่งเพลงที่แต่งมาให้เหยียนซีครั้งล่าสุดยังไม่ถึงครึ่งเดือน ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ผู้จัดการก็ไม่คิดว่าเหยียนซีจะรอข้อความจากเจียงซานอี้

 

 

“ท่านเทพก็อยู่เซี่ยงไฮ้ด้วยเหรอ?” ผู้จัดการเอ่ยถาม

 

 

“อืม” เหยียนซีดูโทรศัพท์ อีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบกลับ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ผมนัดเขาให้ออกมาเจอกันหน่อย แต่เขาก็ไม่ตอบซักที”

 

 

ผู้จัดการกระตุกมุมปากเมื่อได้ยินที่เหยียนซีพูด “เหยียนซี ท่านเทพจะมาเจอนายได้ยังไง?”

 

 

ครั้งล่าสุดที่เจียงซานอี้อยากได้อัลบั้มเต็มของเหยียนซี เขาก็ให้เหยียนซีส่งไปที่อวิ๋นกวงกรุ๊ป

 

 

โดยให้แผนกต้อนรับส่วนหน้าเป็นคนรับไว้

 

 

เขาไม่เผยข้อมูลส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย

 

 

อย่างไรก็ตามเหยียนซียังคงจ้องวีแชทอย่างไม่ยอมตายใจเพื่อรอเจียงซานอี้ตอบข้อความเขา

 

 

รอกว่าหนึ่งชั่วโมง อีกฝ่ายก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว

 

 

**

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

 

คฤหาสน์ของกู้ซีฉือ ห้องของเฉิงเจวี้ยน

 

 

ห้องของเขาอยู่ชั้นสอง ฉินหร่านพักอยู่ชั้นสาม

 

 

หลังจากกลับมาจากห้องของฉินหร่าน เขาก็ยังไม่ได้เข้านอน แค่ยื่นมือออกไปเปิดหน้าต่างและพิงตัวกับขอบหน้าต่าง

 

 

แม้อุณหภูมิของเดือนธันวาคมในเซี่ยงไฮ้จะไม่ได้ติดลบ

 

 

แต่ลมใกล้เวลาเที่ยงคืนกลับเย็นเข้ากระดูก

 

 

เย็นพอที่จะดับความร้อนที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจเขา

 

 

ไฟในห้องไม่ได้เปิด เฉิงเจวี้ยนเอนครึ่งตัวพิงกับขอบหน้าต่าง

 

 

ปลายนิ้วกำลังคีบบุหรี่ มีแสงไฟริบหรี่อยู่ที่ก้นบุหรี่ ใบหน้าสะอาดสะอ้านอยู่ท่ามกลางกลุ่มควัน ยากที่มองออกถึงอารมณ์ความรู้สึก

 

 

หลังจากนั้นไม่นานก็เกือบจะถึงเวลาเที่ยงคืนแล้ว เขาจึงดับบุหรี่และปิดหน้าต่าง 

 

 

เดินไปที่สวิตช์เพื่อเปิดไฟ

 

 

หลอดไฟสว่างขึ้น สว่างไสวเป็นสีขาวไปทั่วทั้งห้อง

 

 

เฉิงเจวี้ยนยังปรับสายตาไม่ค่อยได้ เขาหรี่ตาลงแล้วเดินไปที่โต๊ะ จากนั้นก็เปิดคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในห้อง

 

 

คอมพิวเตอร์และข้าวของอื่นๆ ในบ้านกู้ซีฉือแทบจะเป็นสีดำทั้งหมด

 

 

การทำงานของเครื่องเร็วมาก ไม่ว่าจะเล่นเกมหรือเปิดหน้าเว็บไซต์อีกสักกี่หน้าก็ไม่สะดุด ลู่จ้าวอิ่งถึงขนาดบอกว่าถ้าได้กลับเมื่อไหร่จะเอาคอมพิวเตอร์ไปด้วย

 

 

หลังจากเปิดคอมพิวเตอร์ เฉิงเจวี้ยนก็ล็อกอินเข้าไอดีหนึ่ง

 

 

ไม่นานหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เปลี่ยนเป็นสีดำ หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงผลว่ากำลังเชื่อมต่อ

 

 

จากนั้นก็เชื่อมต่อกับหน้าจอวิดีโออย่างรวดเร็ว

 

 

อีกด้านหนึ่งของวิดีโอเป็นโต๊ะกลมสีดำขนาดใหญ่

 

 

มีคนสวมชุดสูทสีดำอยู่สองสามคนกำลังนั่งล้อมโต๊ะกลม

 

 

“พี่ใหญ่” ชายหนุ่มอายุราวๆ ใกล้จะสามสิบเห็นหน้าจอสว่างก็รีบเดินไปข้างๆ

 

 

เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า เขามองไปที่หน้าจอ “เฉิงหั่วล่ะ?”

 

 

“เขาไปจัดการฐานข้อมูลธุรกรรมที่สำนักงานใหญ่” ชายหนุ่มลูกครึ่งที่ชื่อเฉิงสุ่ยอายุสามสิบปี ดวงตาสีฟ้า ผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อยผงะไปชั่วขณะก่อนจะถามว่า “อาการบาดเจ็บของพี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉิงเจวี้ยนก็เอนตัวไปพิงข้างหลัง ดวงตาคู่นั้นปกคลุมไปด้วยความล้ำลึก เขาพูดเพียงว่า “มีคนอยู่ไม่สุข? ไม่ต้องห่วง ใช่แล้ว โอนเงินเข้าบัตรชายแก่สักก้อนนึง”

 

 

เขาสั่งด้วยความคุ้นเคย

 

 

ถึงเฉิงสุ่ยไม่ได้ถามก็รู้ว่าชายแก่คนนั้นคือใคร

 

 

เขาพยักหน้า “ยังเป็นหมายเลขเดิมใช่ไหมครับ?”

 

 

เฉิงเจวี้ยนตอบส่งๆ “อืม”

 

 

“ใช่แล้ว ไม่กี่วันก่อนเฉิงมู่ถามผมเรื่องข่าวของเฉิงหั่ว” พอพูดถึงตรงนี้ เฉิงสุ่ยก็มองเฉิงเจวี้ยนอย่างระมัดระวัง “พี่ใหญ่ พี่ยังไม่ได้คุยกับเฉิงมู่เหรอ?”

 

 

“ไม่ ไม่ต้องบอกเขา” เฉิงเจวี้ยนส่ายหน้าพร้อมกับกำชับอีกประโยค จากนั้นก็ยื่นมือไปปิดวิดีโอ

 

 

วิดีโออีกด้านหนึ่ง เฉิงสุ่ยพูดกับเฉิงเจวี้ยนเสร็จก็เดินออกจากประตูไปไม่กี่ก้าวแล้วสั่งให้คนโอนเงินให้องค์กรการแพทย์ด้วยความเคยชิน เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่ทำอยู่บ่อยๆ 

 

 

จากนั้นก็ไปหาเฉิงหั่ว

 

 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นไม่กี่ครั้ง

 

 

เขาก้มหน้าดูก็พบว่าเฉิงมู่ยังคงส่งข่าวบ้าๆ เกี่ยวกับคุณฉินคนนั้นในกรุ๊ปพวกเขา

 

 

เฉิงสุ่ยมองเฉิงมู่เหมือนคนบ้า เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว

 

 

คนในเมืองหลวงต่างก็คิดว่าเฉิงมู่คือคนที่เฉิงเจวี้ยนไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นเวลาไปไหนมักจะพาเฉิงมู่ไปด้วย…

 

 

แม้แต่เฉิงมู่เองก็คิดเช่นนั้น…

 

 

แต่ในความเป็นจริงแล้วพี่ใหญ่ของพวกเขาก็แค่ทนดูไอคิวของเฉิงมู่ที่ทั้งโง่และซื่อไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ส่งเฉิงมู่ไปลงมืออะไรสักอย่าง

 

 

ซึ่งเฉิงมู่เองก็ดูเหมือนจะไม่รู้ตัว ส่วนพี่ใหญ่ของพวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่ได้ให้เขาลงมือทำเรื่องจริงจัง…

 

 

น่าอนาถ ช่างน่าอนาถจริงๆ

 

 

**

 

 

บ้านกู้ซีฉือ ชั้นสาม

 

 

เจียงตงเย่เริ่มง่วงเหงาหาวนอน เขาเอามือรองคางเหมือนไก่จิกข้าว

 

 

พอเงยหน้าขึ้น กู้ซีฉือก็ยังง่วนอยู่กับเครื่องมือทดลองที่อยู่ตรงหน้า

 

 

เวลานี้ เสี่ยวเอ้อร์ก็ไปหาที่ชาร์จแบตให้ตัวเอง เจียงตงเย่จึงลงไปยกน้ำขึ้นมาสองแก้ว 

 

 

“พี่กู้ ทำไมพี่ยังไม่นอน?” เจียงตงเย่ยื่นแก้วน้ำให้กู้ซีฉือหนึ่งแก้วแล้วหาว

 

 

กู้ซีฉือรับน้ำมาดื่มอย่างลวกๆ “องค์กรการแพทย์จะออกแถลงการณ์พรุ่งนี้เช้า ฉันจะต้องจับเวลาทดลองอีกรอบ”

 

 

ทางด้านผลเวชศาสตร์คลินิกขององค์กรการแพทย์ออกมาแล้ว พบว่าไม่ต่างจากที่กู้ซีฉือคาดการณ์เอาไว้

 

 

เขาจะทำอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย คาดว่าผลจะไม่ออกมาจนกว่าจะถึงคืนวันพรุ่งนี้

 

 

“พี่ไม่เหนื่อยเหรอ?” เจียงตงเย่ง่วงมากจนตาแทบเปียก เขาหาวแล้วหาวอีก

 

 

กู้ซีฉือผู้ซึ่งอยู่ในระดับแนวหน้าด้านการแพทย์รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงการเกิดใหม่ของเนื้อเยื่อที่เขาทำวิจัยออกมา เขาจะง่วงได้อย่างไร?

 

 

“ไม่เหนื่อย ฉันยังมีเวลาอีกสักพัก” กู้ซีฉือเอื้อมมือม้วนแขนเสื้อขึ้น เนื่องจากไม่เจอแสงตลอดทั้งปี ข้อมือของเขาจึงขาวมาก 

 

 

คอมพิวเตอร์ในห้องทดลองสว่างขึ้นอีกครั้ง

 

 

กู้ซีฉือหันกลับไปรับสาย เมื่อเห็นใบหน้าที่อยู่บนวิดีโอปลายสาย เขาก็หยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงพร้อมกับพูดอย่างคลุมเครือ “อาจารย์ มาหาผมทำไมตอนนี้?”

 

 

หรือว่าผลทดลองทางการแพทย์ของวันพรุ่งนี้มีปัญหา?

 

 

หายากที่ชายแก่จะเผยรอยยิ้มให้กับกู้ซีฉือ “เสี่ยวฉือ นายไวมาก เพิ่งคุยกับนายจบยังไม่ถึงสองชั่วโมง ลูกพี่ใหญ่คนนั้นก็ส่งเงินมาแล้ว นายช่วยไปบอกเขาที ต่อไปถ้าเขามีปัญหาอะไร เรียกใช้พวกเราชาวองค์กรการแพทย์ได้ทุกเมื่อ”

 

 

องค์กรการแพทย์จนไปหน่อย แต่กลับเป็นถึงสมาพันธ์ทางการแพทย์ระดับนานาชาติ

 

 

ผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ต่างก็หวงแหนชีวิตของตน ใครจะอยากเป็นปฏิปักษ์กับองค์กรการแพทย์ของพวกเขา แต่อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์กรการแพทย์

 

 

หลังจากกู้ซีฉือฟังจบ นิ้วที่กำลังเคาะบนโต๊ะก็ชะงักทันที เขาหรี่ตามอง “อาจารย์ อาจารย์ว่าไงนะ?”

 

 

“ก็ลูกพี่ใหญ่คนนั้นโอนเงินมาแล้ว” ชายแก่ยังคงยิ้มตาหยี

 

 

ทางด้านเขาก็กำลังยุ่งกับงานแถลงข่าวของวันพรุ่งนี้เช่นกัน คุยกับกู้ซีฉือไม่เท่าไหร่ก็วางสายไป

 

 

หลังจากที่เขาวางสาย กู้ซีฉือก็กัดบุหรี่ ใบหน้าหล่อเหล่าดูสับสนเล็กน้อย “…”

 

 

เจียงตงเย่รู้จักกับลูกพี่ใหญ่สามคนที่อยู่เบื้องหลังกู้ซีฉือ ตอนที่ได้ยินจึงไม่ค่อยงงเท่าไหร่

 

 

พอเห็นท่าทีของกู้ซีฉือ เขาก็อดเลิกคิ้วถามไม่ได้ “พี่เป็นอะไรไป?”

 

 

“หือ” พอกู้ซีฉือรู้สึกตัวพลางส่ายหน้า “ฉันกำลังคิดอยู่ว่า….”

 

 

เขาอยู่ในห้องทดลองตลอด ดูเหมือนว่าเขายังไม่ได้ติดต่อกับลูกพี่ใหญ่คนนั้นเลยนะ ? !

 

 

งั้นที่ชายแก่เพิ่งพูดมาคืออะไร ? !

 

 

**

 

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น

 

 

เฉิงมู่ไปรับอาหารเช้าของทุกคนมาจากข้างนอกด้วยอารมณ์แจ่มใส

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ตัดกระแสไฟเอง จากนั้นก็เคาะประตูเรียกพวกเขาลงมาทานอาหารเช้า

 

 

พอฉินหร่านลงมาข้างล่างก็เจอหยางเฟยตื่นมาแต่เช้า

 

 

“สบายดีแล้วเหรอ?” เธอพูดถึงเรื่องที่เขาถูกวางยาเมื่อคืนนี้

 

 

หยางเฟยบีบข้อมือตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้น “ตอนที่ตื่นมาตอนเช้าก็เหมือนจะไม่ต่างอะไรจากเมื่อก่อน ยาที่คุณกู้ให้มาได้ผลดีมาก”

 

 

เขาค่อนข้างรู้สถานการณ์จึงไม่ได้ถามว่ากู้ซีฉือและคนเหล่านี้เป็นใคร

 

 

เมื่อวานตอนเย็นตอนที่เข้ามาในบ้านกู้ซีฉือ เขาก็ประหลาดใจมากแล้ว จึงทิ้งเรื่องนี้ไปและเปลี่ยนไปคุยเรื่องการแข่งขันเมื่อคืนที่ผ่านมากับฉินหร่าน

 

 

หยางเฟยก็ชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันเช่นกัน ตอนที่มีอัตราการต่อรองเป็น 9.9 ต่อ 1 เขาก็เทหน้าตักและยังชนะด้วยการวางเดิมพันถั่วกว่าร้อยล้านเม็ด

 

 

ทั้งสองคุยถึงเรื่องไพ่เทพ

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินหร่านบอกเขาเกี่ยวกับทักษะที่ซ่อนอยู่ในไพ่เทพทั้งหมดที่เธอใช้ในการแข่งขันเมื่อคืนนี้

 

 

พูดจนถึงตอนท้าย เสี่ยวเอ้อร์ก็ยกอาหารเช้ามาเสิร์ฟ ฉินหร่านยื่นมือไปหยิบนมขวด แต่กลับพบว่ามีอะไรแปลกๆ

 

 

เธอมองไปทางซ้าย

 

 

ไม่รู้ว่าเฉิงเจวี้ยนลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขานั่งดูพวกเขาสองคนคุยกันอยู่ไม่ไกล พอเห็นเธอเดินมาก็พิงไปข้างหลังพลางหัวเราะ

 

 

ฉินหร่านเก็บสายตา ก้มหน้าดื่มนม

 

 

กู้ซีฉือก็กำลังเดินหาวลงมาข้างล่าง

 

 

เจียงตงเย่เป็นคนเร่งให้เขาลงมา

 

 

เมื่อฉินหร่านเห็นเขามีสภาพแบบนี้ก็รู้แล้วว่าผลการทดลองครั้งสุดท้ายยังไม่ออกมา

 

 

ฉินหร่านก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นว่าเบราว์เซอร์และซอฟต์แวร์หลักกำลังทำการส่งรายงานทางการแพทย์ “การเกิดใหม่ของเนื้อเยื่อ” ของกู้ซีฉือ

 

 

ผลการทดลองของกู้ซีฉือยังไม่ออกมา

 

 

ฉินหร่านยังไม่สามารถกลับอวิ๋นเฉิงได้ชั่วคราวเหมือนที่เฉิงเจวี้ยนบอกไว้ก่อนหน้านี้จนถึงวันอังคาร เธอคิดได้สักพักก็เปิดวีแชทที่เป็นรูปเหยียนซี——

 

 

(ที่อยู่)