ตอนที่ 240 ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร

แม่สาวเข็มเงิน

กงจี้ตีหน้าขรึม “คิดอะไรอยู่ในหัวทั้งวัน ? โตขนาดนี้แล้วอยากหนีออกจากบ้านก็หนี ท่านย่าอายุมากแล้วแต่ยังต้องมาร้อนใจเรื่องเจ้าทุกวัน ตอนนี้เจ้าหายป่วยและเล่นจนพอแล้ว ข้าให้เจ้ากลับไปทำตัวกตัญญูต่อท่านยา แต่กลับกลายเป็นว่าคนอื่นกล่าวหาเจ้าทำให้เจ้าต้องกลับบ้านงั้นรึ ? เจ้าอายุก็ไม่น้อยแล้ว ทำไมยังไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรอยู่อีก ?”

ช่างชือจื่อตกตะลึงเพราะคำพูดของกงจี้ นางอยากมุดลงพื้นดินให้รู้แล้วรู้รอด

พี่ชายกง ไม่คิดว่าพี่ชายกงจะมองนางเช่นนี้ ใจร้าย!

พี่ชายกงบอกว่า… นางไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรอย่างนั้นรึ ?

ในที่สุด ตอนนี้สติของช่างชือจื่อก็กลับมา นางตระหนักได้เรื่องหนึ่งคือนางไม่มีคุณสมบัติที่จะเย่อหยิ่งเพราะได้รับความโปรดปรานจากกงจี้

ถึงอย่างไร นางก็เป็นคนที่ออกมาจากบ้านหลังใหญ่ ต้องทำตัวให้สูงส่งเข้าไว้

ช่างชือจื่อเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็วและพูดขึ้นอย่างน้อยใจ “พี่ชายกง พี่ไม่ต้องโมโหแล้ว เมื่อสักครู่จื่อเอ๋อร์คิดเป็นอย่างอื่นเองเจ้าค่ะ”

กงจี้ส่งเสียงออกมาทางจมูกอย่างเย็นชา

อันที่จริง ท่าทีที่กงจี้มีต่อช่างชือจื่อนั้นถือว่าดีมากแล้ว เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นแล้วมากวนอย่างไม่มีเหตุผลกับเขา ไหนจะยังพาดพิงถึงเจียงป่าวชิงแบบนี้อีก เกรงว่ากงจี้คงลงไม้ลงมือตั้งนานแล้ว

เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไรมาตลอด

กงจี้เห็นเสื้อคลุมบนไหล่ของเจียงป่าวชิงไถลลงมามากกว่าครึ่ง เขาพยายามอดกลั้นแต่อดกลั้นไม่เท่าไหร่ก็ทนไม่ไหว เดินเข้าไปดึงเสื้อคลุมให้เจียงป่าวชิงด้วยการกระทำที่ป่าเถื่อนเล็กน้อย

กงจี้เหน็บแนมอย่างเย็นชา “เจียงป่าวชิง ที่เจ้าไม่ทะนุถนอมร่างกายตัวเองแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าอ้างว่าป่วยเพราะอยากอู้งานหรอกใช่ไหม ?”

เจียงป่าวชิงหลุบสายตา นางขดสองมือด้วยสีหน้าราบเรียบเพื่อซ่อนบาดแผลในฝ่ามือที่ถูกเศษหินแทงจนเลือดออกจาง ๆ “ที่คุณชายกงพูดก็ถูก ข้าจะต้องฟื้นฟูร่างกายให้ดี ๆ และจะไม่ขี้เกียจอย่างแน่นอน”

นางพูดได้อย่างเกรงใจทว่าก็ดูห่างเหินเช่นกัน

กงจี้ใจร้อนจนอยากฆ่าคน

ส่วนช่างชือจื่อ เมื่อนางเห็นกงจี้ห่อเสื้อผ้าให้เจียงป่าวชิงก็รู้สึกริษยาทันที นางตั้งใจพูดอย่างน้อยใจด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พี่ชายกง อันที่จริงที่ข้าสงสัยหมอหญิงเจียงเมื่อสักครู่ก็เพราะหมอหญิงเจียงจงใจกระตุ้นข้า” จากนั้นช่างชือจื่อก็นำเสื้อผ้าที่นางกอดไว้ในแขนซ้ายให้กงจี้ดูด้วยท่าทางน้อยใจ

กงจี้ไม่สนใจเสื้อผ้าและวัสดุของมัน แต่เสื้อผ้าชุดนี้ เขากลับรู้สึกคุ้นกับมันมาก

นี่คือเสื้อผ้าบางส่วนที่เจียงป่าวชิงให้คนนำไปคืนเขา แต่ถูกเขาส่งกลับมาไม่ใช่รึ ? ประกอบกับเมื่อสักครู่เขาเห็นว่ามีกระถางไฟที่เผาไหม้อยู่ในลานบ้านอีกหนึ่งกระถาง

กงจี้ที่เฉลียวฉลาดคิดได้แทบจะในทันทีว่าเจียงป่าวชิงกำลังทำอะไรอยู่ เขายับยั้งไม่ให้ฟันตัวเองกระทบกันจนเกิดเสียงดังไม่ได้เลยจริง ๆ

ผู้หญิงคนนี้… นางอยากตัดความสัมพันธ์กับเขาขนาดนี้เลยรึ ?!

สีหน้าของกงจี้อึมครึมจนน่ากลัวมาก แม้จะอยู่ในตอนกลางคืน ช่างชือจื่อยังคงเห็นได้อย่างชัดเจน นางรู้สึกหวาดกลัวในใจและอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังเล็กน้อย

นี่มัน… น่ากลัวเกินไป

พี่ชายกงในสภาพนี้เหมือนต้องการฆ่าคนอย่างไรอย่างนั้น

ช่างชือจื่อบังคับตัวเองให้ระงับความอยากที่จะหันหลังกลับและวิ่งหนีไป น้ำเสียงของนางสั่นคลอน

กงจี้ไม่ได้สนใจช่างชือจื่อและไม่ได้มองเจียงป่าวชิง เขาทำเพียงหมุนตัวจากไป เขากลัวว่าถ้าเขามองเจียงป่าวชิงก็จะเกิดความอยากบีบไหล่ของนางให้แหลกละเอียดคามือ

คืนนี้มีหลายคนที่นอนไม่หลับ รวมถึงเจียงป่าวชิง

……

รุ่งอรุณวันต่อมา ตอนที่เจียงหยุนชานมาเยี่ยมเจียงป่าวชิง เขาก็ตกใจมาก ตาสองข้างของเจียงป่าวชิงบวมจนดูแทบไม่ได้

เจียงหยุนชานทั้งตกใจทั้งร้อนรน “ป่าวชิง นี่เจ้าเป็นอะไร ?”

เจียงป่าวชิงไม่ต้องดูก็รู้ว่าตอนนี้สภาพของตัวเองคงดูแย่มาก นางไม่ได้โกหก ทำเพียงยื่นมือออกไปให้เจียงหยุนชานดูบาดแผลที่ฝ่ามือของตัวเอง จากนั้นก็พูดจริงบ้างไม่จริงบ้าง “เมื่อคืนข้าไม่ทันระวัง หกล้มในลานบ้านจึงกลับมาจัดการกับแผลนิดหน่อย แต่มันเจ็บมาก ข้านอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเลยเจ้าค่ะ”

เจียงหยุนชานเห็นบาดแผลตรงฝ่ามือของเจียงป่าวชิง ดูก็รู้ว่านางถูกเศษหินในลานบ้านบาดมา เขารู้สึกปวดใจทันที “อ้าว ทำไมเจ้าถึงไม่ระวังแบบนี้ล่ะ ?”

เจียงป่าวชิงหาเหตุผลมาตบตาเจียงหยุนชานอย่างขอไปที

เจียงหยุนชานเป็นห่วงน้องสาวมาก เขาตัดสินใจว่าถ้านางยังไม่หายป่วยไข้ ก็จะไม่อนุญาตให้ออกไปอีกแล้ว “เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าอยากรับแสงแดดก็นั่งตรงใกล้หน้าต่าง ไม่ต้องออกไปที่ในลานบ้านแล้ว เจ้ายังไม่หายป่วย ถ้าหากว่าหกล้มอีก…”

เจียงป่าวชิงว่านอนสอนง่ายมาก แต่นางมีความกลุ้มใจอยู่เล็กน้อย “โธ่พี่! แบบนั้นก็อึดอัดตายพอดีสิเจ้าคะ”

เจียงหยุนชานโอ๋น้องสาว “ยังไงก็นึกถึงบ้านในภูเขาของเราไว้เถอะ ถ้าหากเจ้าไม่ออกไป ไม่กี่วันเราก็จะได้กลับไปแล้ว เจ้าอดทนอีกหน่อยเถอะนะ”

เจียงป่าวชิงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ก็ได้ ข้าจะอดทนนะเจ้าคะ”

สองพี่น้องพูดคุยพลางหัวเราะกัน ทั้งสองยังคงเข้ากันได้ดีเหมือนเดิม

ผ่านไปสักครู่ เจียงหยุนชานก็กลับไปอ่านหนังสือที่ห้อง แต่กลับมีแขกที่ไม่ค่อยมาบ่อยมาหาเจียงป่าวชิง

สีหน้าของไป๋จีขาวซีดไปเล็กน้อยแต่เขาลงจากเตียงได้แล้ว เจิ้งหนานคอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ เขา ทั้งสองพากันมาที่บ้านของเจียงป่าวชิง

เจียงป่าวชิงพิงหมอนพลางรู้สึกแปลกใจ “ไป๋จี ร่างกายเจ้าดีขึ้นมากแล้วหรือ ?”

ไป๋จีพยักหน้า เขาพูดขึ้นยิ้ม ๆ “แม่นางเจียง เจ้าดูสิว่าบังเอิญไปไหม ก่อนหน้านี้ที่ข้ารักษาตัวนอนอยู่บนเตียงเจ้าเป็นคนมาเยี่ยมข้า ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าแม่นางนอนอยู่บนเตียงแล้วข้ามาเยี่ยมแม่นางแทนซะอย่างนั้น”

เจิ้งหนานยกเก้าอีกมาให้ไป๋จี “พี่ไป๋ พี่อย่าโอ้อวดเลยดีกว่า นั่งคุยเถอะขอรับ”

ไป๋จีรู้สึกจนปัญญา เขาพูดกับเจียงป่าวชิง “หึ ๆ แม่นางเจียงดูสิ น้องชายข้าเข้มงวดมากเห็นไหม ?”

เจียงป่าวชิงพยักหน้า “ก็ควรเป็นแบบนั้น ไป๋จี ที่เจ้าฟื้นฟูร่างกายได้เร็วแบบนี้ คิด ๆ ดูแล้วเจิ้งหนานก็มีความดีความชอบเช่นกัน”

เจียงป่าวชิงพูดไปแบบนี้ เจิ้งหนานก็หน้าแดงเล็กน้อย เขายืนอยู่ข้างไป๋จีแต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อทักทายกันเสร็จ ไป๋จีก็พูดขึ้นอย่างลังเล “แม่นางเจียง มีบางคำพูดที่ข้าไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือเปล่า ?”

เจียงป่าวชิงได้ยินไป๋จีเปรยมาแบบนี้ก็รู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย เปรยมาเช่นนี้ ส่วนใหญ่คำพูดที่กำลังอยากจะพูดมักไม่ควรพูดออกมา

แต่ในเมื่อพูดออกมาขนาดนี้แล้ว ส่วนใหญ่คือคนพูดอยากพูด และถ้าไม่ให้พูดก็เกรงว่าจะเป็นการทำให้อึดอัดเปล่า ๆ

เจียงป่าวชิงจึงพูดขึ้น “ถ้าข้าบอกว่าไม่ควรพูด เจ้าก็จะไม่พูดอย่างนั้นสิ ? มีอะไรพูดมาตรง ๆ เถอะ”

“แม่นางเจียงช่างเป็นคนง่าย ๆ ดีจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดตรง ๆ แล้วกัน” ไป๋จีชะงักไปเล็กน้อย ราวกับกำลังเรียบเรียงคำพูด ผ่านไปสักครู่เขาถึงพูดขึ้นอย่างพิจารณาว่า “เมื่อสักครู่ข้าไปที่บ้านของนายท่านและพบว่าสีหน้าของนายท่านกลัดกลุ้มมาก… พอข้าพูดถึงแม่นางเจียงโดยไม่ตั้งใจ นายท่านก็เปลี่ยนสีหน้าทันที ไม่ทราบว่าช่วงนี้นายท่านกับแม่นางเจียงมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่า ?”

เจียงป่าวชิงรู้อยู่แล้วว่าคำพูดประมาณว่า ‘ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือเปล่า’ นี้ นางไม่ควรให้ฝ่ายตรงข้ามพูดออกมาตั้งแต่แรก

นางก้มหน้ามองผ้าห่มผ้าไหมที่คลุมอยู่บนขาของตัวเอง “มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรซะที่ไหน ข้ากับคุณชายกงจะเข้าใจผิดอะไรกันได้ล่ะ ?”

ไป๋จีชะงักไปเล็กน้อย เขาเห็นเจียงป่าวชิงมีท่าทีเหมือนไม่อยากพูดก็รู้สึกสงสัย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป

นั่ง ๆ ต่อไปสักพัก ไป๋จีก็ต้องกลับแล้ว เพราะถึงอย่างไรร่างกายเขายังไม่หายเป็นปกติ เขาต้องให้ความสำคัญกับการพักผ่อนไว้ก่อน

เจียงป่าวชิงลุกขึ้นหยิบเสื้อมาคลุมกาย เตรียมตัวไปส่งไป๋จีกับเจิ้งหนานที่หน้าประตู

ตอนที่ใกล้จะออกจากบ้าน เจิ้งหนานลังเลอยู่สักครู่ สุดท้ายเขาแอบหมุนตัวไปกระซิบกับเจียงป่าวชิงว่า “แม่นางเจียง ตอนเช้าของวันนี้คุณหนูช่างถูกส่งขึ้นรถม้าทั้งน้ำตา ต่อไปนี้แม่นางคงอยู่อย่างสงบได้แล้วล่ะ”

เจียงป่าวชิงเองก็พูดกับเจิ้งหนานด้วยเสียงเบา “อื้ม สองสามครั้งนี้ข้าต้องขอบใจเจ้าด้วย ขอบใจเจ้ามากนะ”

ก่อนหน้านี้ที่กงจี้มาที่นี่อย่างกะทันหัน เขาก็เห็นเจิ้งหนานแล้ว เจียงป่าวชิงไม่ใช่คนโง่ นางเดาได้ว่าใครเป็นคนเรียกกงจี้มาที่นี่

เจิ้งหนานหน้าแดงก่ำ เขาไม่กล้ามองเจียงป่าวชิง เพียงพยักหน้าเบา ๆ และรีบจากไปพร้อมกับไป๋จี