ตอนที่ 207 ของขวัญชิ้นใหญ่

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

ไม่มีทั่วป๋าซู่เยวี่ยและพวกอนุภรรยาที่ขัดหูขัดตาไม่กี่คนนั้น จวนของตระกูลซั่งกวนก็ดูสะอาดตาและเงียบสงบขึ้นมา หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่จำเป็นต้องจัดการเรื่องยุ่งยากอะไร ทุกวันเอาแต่คิดว่าจะบำรุงอะไรให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดี โดยมีอนุภรรยาหวังช่วยเสนอความคิดอยู่ด้านข้าง หากมีของที่รู้สึกว่าเหมาะสมก็จะไปถามจากซินหรัน พอซินหรันผงกศีรษะ ก็จะให้ซั่งกวนจิ่นไปจัดการ ทำให้เขางานยุ่งแทบจะล้นมือ

แต่เรื่องที่เรือนไร้เดี่ยวและเรือนมีคู่ก็มีมากมายเช่นกัน

เซียงเสวี่ยเป็นบุตรสาวบุญธรรมของอินหงหลันแล้ว ไม่เหมาะที่จะอยู่รับใช้ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ทั้งได้ย้ายเข้าไปที่เรือนใต้ เรือนที่อินหงหลันอยู่ทั้งครอบครัวโดยเฉพาะ แต่ทุกวันเช้าตรู่ก็จะเข้ามาหา พอฟ้ามืดแล้วก็ค่อยกลับไป นางยุ่งอยู่กับการขัดเกลาติงเอ๋อร์ให้รับใช้ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้เป็นอย่างดี งานฝีมือของติงเอ๋อร์นับว่าดีอย่างมาก การหวีเผ้าเกล้าผมก็ไม่ด้อย เพียงแต่การแต่งหน้ายังไม่ค่อยชำนาญและไม่สะสวยไปบ้าง ส่วนความประณีตแทบไม่ต้องพูด ทั้งยังฉลาดมีไหวพริบ ไม่ชอบพูดมาก สามารถอบรมบ่มเพาะดีๆ ได้

ช่วงเวลาที่ช่าจื่ออยู่ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์เริ่มนานขึ้นเรื่อยๆ หลายๆ เรื่องก็สามารถรับหน้าเพียงคนเดียวได้แล้ว ม่านเหอค่อยๆ เอาเรื่องในมือของตนส่งต่อให้กับนาง…กำหนดการแต่งงานของนางนั้นอยู่ในเดือนสิบเอ็ด อีกฝ่ายก็เป็นคนของตระกูลซั่งกวน แต่กลับเป็นผู้ดูแลที่มีหน้ามีตา เป็นลูกน้องที่รับคำสั่งต่อจากซั่งกวนจิ่น หลังจากแต่งงานแล้วไม่แน่ว่าจะได้กลับมาที่จวน หากฝึกฝนคนที่จะรับช่วงต่อได้เร็วหน่อย ถึงเวลานั้นก็จะสามารถแต่งออกไปได้อย่างสบายใจ

ลู่หลัวกลับไม่รีบร้อน เยี่ยนเซียงติดตามทำงานข้างกายซั่งกวนเจวี๋ยอยู่ตลอด หลังจากนางแต่งงานก็ยังใช้ฐานะของบ่าวหญิงกลับจวนมาคอยรับใช้ได้อยู่ เพียงแต่ถึงเวลานั้นคงจะเป็นแม่นมที่มีหน้ามีตาคนหนึ่งไม่ใช่สาวใช้อีกต่อไปแล้ว ช่วงนี้นางมักจะถูกแม่นมฉินประกบสอนอยู่ข้างกาย จนถึงขนาดพอจื่อหลัวพูดถึงนาง ก็จะเรียกว่าแม่นมลู่ ทุกครั้งล้วนทำทุกคนขำพรืดจนลู่หลัวนั้นโมโหกระโจนใส่นางอย่างไม่ยอมเลิกรา

“มี่เอ๋อร์ วันนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?” ซินหรันคล้ายกับเข้ามาดูนางทุกวัน ทั้งยังหาเวลาว่างมาช่วยเยี่ยนมี่เอ๋อร์ปรับลมหายใจ นางอายุมากกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์สิบห้าสิบหกปี วิชาหยกหอมก็เรียนมานานกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่เพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์มีพื้นฐานเร็วกว่า ทั้งป้าโม่ได้ฝึกฝนด้วยตนเองมากกว่าสิบปี พลังภายในจึงบริสุทธิ์กว่านางมาก เมื่อฝึกกันบ่อยครั้งเข้า พลังภายในของทั้งสองคนต่างก็พัฒนาขึ้นมา

“ดีขึ้นมาก พอจะรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงการเคลื่อนไหวในครรภ์แล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง ทารกในครรภ์นั้นแข็งแรงมาก ทั้งยังฉลาดน่าเอ็นดู จนถึงเวลานี้นางล้วนไม่รู้สึกถึงความผิดแปลกอันใด กระทั่งอาการแพ้ท้องก็ไม่มีให้เห็น นอกจากอาการปวดหัวที่แม่นมฉินและหวงฝู่เยวี่ยเอ้อพากันห่วงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ทุกวันจะส่งของสารพัดสารพันที่ดีต่อครรภ์และมารดาเข้ามา เลี้ยงตัวเองราวกับเป็นหมู ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ล้วนดีหมด

“ครรภ์ครบเจ็ดสิบวันแล้วใช่หรือไม่?” ซินหรันจำได้แม่น นางนั้นมีความรู้สึกที่พิเศษต่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก เห็นนางเป็นศิษย์น้องตัวน้อยทั้งเห็นนางเป็นผู้เยาว์เช่นกัน จึงรักและเอ็นดู ทั้งดูแลเป็นอย่างดี

“ใช่แล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นับอย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวยิ้มๆ “ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้ารู้สึกแปลกๆ และสงสัย จนถึงเวลานี้ก็ประมาณเจ็ดสิบหกวันแล้ว ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง”

“ตรงนี้ยังมีอีกสามวิชา มีวิชาหนึ่งที่เหมาะสมกับเจ้าในยามนี้ที่สุด จะดีต่อเจ้าและลูกในท้องเป็นอย่างมาก เจ้าลองดูสิ” ซินหรันควักหนังสือที่เย็บติดกันเล่มหนึ่งออกมาจากอก “วิชาแรกนั้น ในยามที่ข้าเพิ่งจะตั้งท้อง อินหงหลันกว่าจะได้มาก็ยากอยู่เช่นกัน วรยุทธ์ข้าในเวลานั้นยังด้อยกว่าเจ้าในตอนนี้เสียอีก เมื่อเริ่มฝึกก็กินแรงไปอยู่บ้าง แต่นานวันเข้าก็จะยิ่งสบายขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นในยามที่ข้าคลอดเด็กทั้งสองคน จึงไม่มีความลำบากอะไรเลย ร่างกายก็ฟื้นฟูได้เร็วอย่างยิ่ง วิชาที่สอง ประเด็นหลักคือการฟื้นฟูร่างกาย หญิงที่คลอดบุตรทั่วไปจะให้ฟื้นตัวก็ต้องใช้เวลาสามถึงสี่เดือนจึงจะสามารถคืนสู่สภาวะปกติได้ ในยามนั้นข้าคลอดได้หนึ่งเดือนก็ฟื้นฟูแทบจะเป็นปกติแล้ว เจ้าก็ใช้ได้เช่นกัน ส่วนวิชาสุดท้าย…นั่นเป็นสิ่งที่ท่านพี่ทิ้งไว้ให้ในปีนั้น ข้าไม่รู้ว่านางได้สอนเจ้าหรือไม่ เจ้าดูเอาเองเถิด!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับมาอย่างสงสัย สองสามีภรรยาอินหงหลันความรู้กว้างไกล โดยเฉพาะอินหงหลัน แม้ว่าเขาจะเป็นหมอคนหนึ่ง แต่ก็เจ้าเล่ห์หัวแหลมแทบจะเทียบกับพ่อค้าหน้าเลือดได้ นายท่านใหญ่ของตระกูลทั่วป๋า พี่ชายของทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ป่วยหนักสามปีก่อน เป็นทั่วป๋าเชียนเย่าที่เชิญเขาถึงสามครั้ง เขาจึงค่อยฝืนใจไปเหยี่ยนโจวเพื่อรักษาให้นายท่านใหญ่ มีเงื่อนไขคือบัวหิมะเทียนซานสิบห้าดอก โสมภูเขาอายุห้าร้อยปีขึ้นไปห้าต้น ไข่มุกราตรีของล้ำค่าของตระกูลทั่วป๋าหนึ่งเม็ด และเพราะเป็นคนคุ้นเคย มีความสัมพันธ์อันดีอยู่บ้าง จึงไม่ได้โลภมากไปกว่านี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รู้ว่านี่ไม่เรียกว่าไม่โลภมากแล้วจะเป็นอะไรได้อีก

“เอ๊ะ!” มองแค่ครึ่งเดียว เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตะลึงเป็นอย่างมาก หากฝึกฝนวิชาเช่นนี้ต่อไป คาดว่าลูกที่ตนให้กำเนิด แม้จะไม่กล้าพูดว่ามีพรสวรรค์ แต่ย่อมเติบโตแข็งแรง ร่างกายสมบูรณ์ ภายหลังเรียนวรยุทธ์ไม่ต้องออกแรงมากก็ย่อมได้ผลดี

“ฮวนรั่วฮวนเซิงเป็นฝาแฝด ในยามที่คลอดก็ตัวเล็กกว่าเด็กทั่วไป แต่ร่างกายกลับนับว่าสมบูรณ์ ไม่ถึงสามสี่เดือนก็ถูกพวกเราพาไปวิ่งเล่นทั่วยุทธภพแล้ว นอกเสียจาก…บางครั้งที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพอากาศและสุขอนามัย อาจจะท้องเสียบ้าง แต่ก็ไม่ได้เจ็บป่วยอย่างอื่นแล้ว โดยเป็นผลมาจากการฝึกฝนวิชานี้ เจ้าก็ลองฝึกฝนดู จะเป็นผลดีต่อลูกทั้งดีต่อเจ้าอีกด้วย!” ในยามที่ซินหรันพูดถึงเรื่องสภาพอากาศก็ดูกระดากอายอยู่บ้าง เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับอดยิ้มออกมาอย่างรู้ทันไม่ได้ กลัวว่าจะไม่ใช่เรื่องสภาพอากาศไม่ถูกสุขอนามัย แต่เป็นฝีมือการทำอาหารมากกว่าน่ะสิ ทั้งเป็นมารดาที่ชอบคิดค้นอะไรใหม่ๆ มาทำร้ายเสียด้วยสิ!

ช่วงนี้ฮวนรั่วฮวนเซิงชอบมาวิ่งเล่นที่เรือนมีคู่เป็นอย่างยิ่ง คนที่พวกเขาชื่อชอบที่สุดคือเซียงชุ่ย และเซียงชุ่ยก็ชอบเด็กตุ๊กตากระเบื้องเคลือบทั้งสองคนนี้ เป็นเด็กที่ไม่บอบบางหรืออ่อนแอแม้แต่น้อย ไปมาหาสู่นานวันเข้า ก็รู้จากปากของทั้งสองว่า พวกเขาได้ถูก ‘วางยาพิษ’ จากมารดาของตนเองอย่างไร…เด็กทั้งสองที่ไม่ว่าจะกินอะไรก็เอร็ดอร่อย ถูกปากไปหมด พอได้ลิ้มลองฝีมือของซินหรัน ก็ต้องท้องเสียทันที ครั้งหนึ่งอินหงหลันกล่าวออกมาอย่างปลงใจทั้งยิ้มๆ ว่าท้องเสียนั้นเป็นเรื่องเล็ก เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ตายม่องเท่งไปนานแล้ว แม้ว่าจะเป็นผักกวางตุ้งต้มง่ายๆ ซินหรันก็มีความสามารถทำออกมาให้เป็นพิษได้ ก็จำต้องพูดว่าเป็นพรสวรรค์ที่หายากอย่างหนึ่งเช่นกัน

“ในปีนั้นข้าตั้งครรภ์ในสภาพที่ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรโดยสิ้นเชิง ร่างกายก็ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ดีมาก อินหงหลันจึงพยายามคิดทุกวิถีทาง ให้ตระกูลอิ๋งติดหนี้บุญคุณ จึงค่อยเอาวิชานี้จากตระกูลอิ๋งมาอยู่ในมือได้” ซินหรันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนอื่นคลอดบุตรก็คล้ายกับเดินผ่านประตูผี ยิ่งประสบภาวะคลอดบุตรยากก็แทบไม่ต้องพูด และแม้ว่าจะคลอดอย่างราบรื่น ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วยามหรือถึงกระทั่งหนึ่งวัน หลังจากข้าตั้งท้อง หงหลันก็อยู่ในท่าทีที่ไม่ปกตินัก โดยเฉพาะในยามที่ค้นพบว่าชีพจรเต้นผิดปกติ เขาแทบจะเปลี่ยนเป็นคนที่เสียสติ เอาแต่ปลอบประโลมว่าอย่าได้คลอดบุตรเลย และก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในตระกูลซั่งกวนที่ชี้ทางให้เขา กล่าวว่าพื้นฐานร่างกายของข้าเป็นคนที่มีวรยุทธ์ ทั้งยังฝึกวรยุทธ์ที่ลึกล้ำ หากสามารถเอาเคล็ดวิชานี้มาจากตระกูลอิ๋งได้ การคลอดบุตรก็จะง่ายเป็นอย่างยิ่ง หงหลันจึงไปทันที ทั้งเอาสิ่งนี้กลับมา แรกเริ่มเหล่าผู้อาวุโสตระกูลซั่งกวนเอาแต่เกาะแกะไม่ปล่อยก็ยังไม่ได้ไปถึงมือ ครั้งนี้เขาตั้งใจให้ข้าเก็บไว้ดีๆ เพื่อเอามาให้กับเจ้า!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกซาบซึ้งใจ ผงกศีรษะอย่างเงียบๆ หนังสือในมือเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นมาทันที

“เจ้ารู้ไหมว่าปีนั้นที่ข้าคลอดบุตร หมอตำแยที่มาทำคลอดพวกนั้นพูดว่าอะไร?” ซินหรันกล่าวยิ้มๆ “พวกนางกล่าวว่าผู้หญิงคนอื่นนั้นคล้ายกับเดินผ่านประตูผี แต่ข้ากลับคล้ายคนท้องเสีย แค่ใช้แรงนิดหน่อยก็ออกมาแล้ว ดังนั้นเจ้าต้องฝึกฝนดีๆ”

“ข้าเข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าด้วยยิ้มบาง

“อีกสองวิชานั้นเจ้าดูเสียหน่อยก็พอแล้ว มีจุดไหนที่ไม่เข้าใจ พวกเรามาพูดคุยกันได้ โดยเฉพาะวิชาที่สาม” ซินหรันพูดด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากรู้เป็นอย่างมากจึงข้ามวิชาที่สองไปทันที พอพลิกอ่านดู ใบหน้าก็แดงก่ำยิ่งกว่าซินหรันเสียอีก นั่นเป็นวิชาของสาวงามที่มีชื่อว่าหยกร้อน!

“วิชานี้ข้าครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก็ตัดสินใจมอบให้เจ้าในตอนนี้” ซินหรันหลบสายตาจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก “วิชานี้และวิชาหยกหอมช่วยเสริมซึ่งกันและกันทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่หากไม่มีวรยุทธ์ที่สูงเพียงพอและพลังการควบคุมก็อาจจะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย วิชาหยกหอมนั้นตั้งชื่อมาจากความหมายของร่างกายหญิงสาวที่อรชรงดงาม ในยามที่ยิ่งฝึกฝนสูงขึ้น ร่างกายก็จะยิ่งอ่อนนุ่มเรียบเนียน แม้ว่าจะผ่านไปห้าสิบหกสิบปี ก็ยังสามารถรักษาสภาพราวเป็นสาวแรกรุ่นไม่มีผิดเพี้ยน แต่ในยามที่อยู่ในห้องนอนก็จะยิ่ง…เจ้าก็คงจะรู้แล้วกระมัง!”

ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แดงจนคล้ายกับเลือดจะไหลออกมา พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหลบสายตาเช่นกัน นางเข้าใจว่าความหมายที่ซินหรันพูดคืออะไร ความจริงนางก็รู้ว่า ตัวเองอ่อนไหวเป็นอย่างมาก ทั้งยังถูกซั่งกวนเจวี๋ยกระตุ้นได้ง่าย แม้หลัง จากเสร็จสมจะฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว ไม่ถึงกับขนาดลุกจากเตียงไม่ไหว แต่เวลานั้นเดิมทีก็แทบที่จะไร้แรงขัดขืนโดยสิ้นเชิง

“วิชาหยกร้อนมีเพื่อปกปิดข้อบกพร่องของวิชาหยกหอมโดยเฉพาะ” ซินหรันกล่าวอย่างทำตัวไม่ค่อยถูก “วิชานี้ที่ท่านพี่ทิ้งไว้เป็นต้นฉบับ ดังนั้นข้ากังวลว่าตัวนางเองก็ไม่เคยฝึกฝน ทั้งไม่ได้ถ่ายทอดให้กับเจ้า เพราะว่าหลังจากฝึกฝนวิชานี้ ก็จะ…หุนหันพลันแล่นได้ง่าย ชั่วชีวิตของท่านพี่ไม่ได้แต่งงานย่อมไม่อาจ…”

“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกหน้าร้อนจนเหลือทน

“เจ้าดูเอาเถิด ข้าขอตัวก่อน” ซินหรันยังคงอดหนีไปอย่างขวยเขินไม่ได้ เหลือเพียงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้คนเดียว

ไม่มีคนอื่นๆ มารบกวน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็สามารถสงบจิตใจอ่านเคล็ดวิชาทั้งสามอย่างละเอียดได้ วิชาที่สองกลับไม่ได้มีจุดที่สะดุดตาอันใด วิชาแรกนั้นสอนผู้เป็นมารดาว่าจะใช้กำลังภายในไหลเวียนลมปราณสร้างความอบอุ่นให้ทารกอย่างไร ทั้งใช้ลมปราณก่อนกำเนิดในท้องของตนเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้ทารกอย่างไร เมื่ออ่านอย่างละเอียดครั้งหนึ่ง ก็พบว่าไม่ง่าย แต่ก็ยังสามารถทำได้อยู่ วิชาที่สองนั้นถอดมาจากวิชาที่หนึ่ง แต่กลับง่ายกว่าวิชาที่หนึ่งมาก ก็เหมือนที่ซินหรันพูด หลักๆ คือการฟื้นฟูมารดาที่ได้รับบาดเจ็บจากการคลอด หลังจากให้กำเนิด ส่วนมากผู้เป็นแม่มักจะหลงเหลือปัญหาเลือดและลมปราณบกพร่อง ใช้วิชานี้ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการกินอาหารบำรุงชนิดต่างๆ ว่าจะส่งผลกระทบอะไร แต่วิชาหยกร้อน กลับเป็นวิชาที่ยากจะพูดออกมาได้

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อที่ซินหรันพูด วิชานี้มีส่วนเสริมกับวิชาหยกหอม มีส่วนที่คล้ายกันมากมายทั้งยังใช้การไหลเวียนที่เหมือนกันด้วย สามารถหลีกเลี่ยงจุดบกพร่องที่วิชาหยกหอมสร้างขึ้นมาได้ ทั้งนับว่าได้ฝึกฝนทั้งสองวิชา เพียงแต่ผู้ชายจะเข้าใจวิชานี้หรือไม่ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากมายเท่านั้น ประเด็นสำคัญอยู่ที่ผู้หญิง หากใช้ได้ นั่นก็จะเป็นประโยชน์กับสามีภรรยาทั้งสองฝ่าย แต่หากฝ่ายหญิงไม่มีเจตนาดี ก็สามารถแปรเปลี่ยนมันเป็นวิชามารดูดกินพลังได้อย่างสิ้นเชิง

บางทียามปกติที่อินหงหลันถูกซินหรันควบคุมได้ก็เพราะสาเหตุนี้กระมัง! เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดเดาอย่างไม่ได้มีเจตนาร้าย เห็นได้ชัดว่าซินหรันเรียนวิชาหยกร้อน แต่ที่นางหนีไปอาจจะเพราะกังวลว่าตนเองอ่านเสร็จแล้วจะถามคำถามอะไรบางอย่างจากนาง จะตอบก็อาย ไม่ตอบก็ไม่ดี ดังนั้นจึงหนีให้รู้แล้วรู้รอดไป?

หลังจากนี้ตัวเองก็จะสามารถควบคุมเจวี๋ยอยู่หมัดได้อย่างนั้นรึ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดคิดไม่ได้ หากมีวันนั้น ไม่รู้ว่าจะเป็นภาพแบบไหนกัน…