ตอนที่ 110 งานเลี้ยงยามค่ำคืน (1)

ชายาเคียงหทัย

งานเลี้ยงยามค่ำคืนภายในวังหลวง บ้างรื่นเริง บ้างทุกข์ใจ

 

 

ตำหนักภายในวังหลวงได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม หลิ่วกุ้ยเฟยในชุดสีขาวดุจหิมะปักลายหงส์สีเงิน ชายชุดกรุยกรายม้วนกองอยู่กับพื้น นางกำนัลค่อยๆ เดินหลีกชุดขาวหิมะบนพื้นอย่างระมัดระวัง ในมือถือปิ่นเงินรูปผีเสื้อระย้า เตรียมเสียบแซมลงบนเส้นผมที่นุ่มลื่นนั้น หลิ่วกุ้ยเฟยนั่งอยู่หน้ากระจกที่ส่องประกายแวววาว มองหญิงสาวงดงามเยียบเย็นในกระจกด้วยสายตาราบเรียบไร้ความรู้สึก

 

 

“พระสนม องค์หญิงมาเพคะ” นางกำนัลข้างกายเอ่ยรายงานขึ้น

 

 

แววตาราบเรียบของหลิ่วกุ้ยเฟยปรากฏประกายอบอุ่น “ให้นางเข้ามาเถิด”

 

 

ไม่นาน เด็กน้อยในชุดสีเหลืองไข่นกกระทาก็เดินเข้ามา นางยืนอยู่หน้าประตูด้วยอาการประหม่า เหลือบมองหลิ่วกุ้ยเฟย ก่อนเดินเข้าไปเอ่ยเรียกด้วยเสียงเอาเบาหวิวว่า “เสด็จแม่…”

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยหมุนตัวกลับมา ยื่นมือออกไปดึงบุตรสาวให้มาอยู่ข้างหน้า นางพินิจมองใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกับนางอยู่หลายส่วน ก่อนหลุบตาลงปิดบังประกายหลากลายในแววตาของตนไว้ เอ่ยเสียงหวานว่า “หนิงเอ๋อร์ มาหาแม่ในยามนี้ด้วยเรื่องอันใดหรือ”

 

 

เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองหลิ่วกุ้ยเฟย เอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ฉางเล่อบอกว่านางจะตามเสด็จแม่ฮองเฮาไปร่วมงานเลี้ยงในวัง หนิงเอ๋อร์อยากไปกับเสด็จแม่บ้างเพคะ”

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยชะงักไป ย่นคิ้วเอ่ยว่า “เจ้ายังเล็ก งานเลี้ยงในคืนนี้จัดขึ้นเพื่อต้อนรับองค์ชายจากเป่ยหรง เจ้าไม่จำเป็นต้องไปร่วมหรอก”

 

 

ในดวงตาของเด็กน้อยๆ มีน้ำตาแห่งความน้อยใจ พี่ฉางเล่อร์โตกว่านางเพียงหนึ่งขวบเท่านั้น แต่เสด็จแม่ฮองเฮากลับพานางไปร่วมงานเลี้ยง ไปเล่นกับนางอยู่บ่อยๆ แต่เสด็จแม่กลับไม่เคยยอมพานางไปด้วยเลย และไม่ยอมเล่นกับนาง นางรู้ว่า เสด็จแม่ไม่ชื่นชอบนาง…

 

 

เมื่อเห็นสีหน้านิ่งอึ้งบนใบหน้าอันอ่อนเยาว์นั้น สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยจึงดูอ่อนลง แต่ก็กลับมาเรียบเย็นอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงเย็นว่า “หนิงเอ๋อร์ คำพูดแม่เจ้าก็ไม่ฟังแล้วหรือ กลับไปเสีย!”

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าน้อยอกน้อยใจของบุตรสาว นางจึงนิ่งไป ก่อนเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “กลับตำหนักของเจ้าไปก่อน อีกเดี๋ยวให้หมัวมัวพาเจ้าไปร่วมงานเลี้ยง”

 

 

เด็กน้อยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนเอ่ยเสียงสะอื้นว่า “ฮือฮือ…เสด็จแม่อย่าทรงโกรธเลยเพคะ หนิงเอ๋อร์ไม่ไปแล้ว หนิงเอ๋อร์จะไปเล่นกับน้องๆ…” พูดจบนางก็หมุนตัววิ่งโซซัดโซเซออกไป

 

 

ภายในตำหนักเงียบกริบลงทันที นางกำนัลข้างกายหลิ่วกุ้ยเฟยย่นคิ้วเอ่ยว่า “พระสนม ท่านปฏิบัติต่อองค์หญิงเกิน…”

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยหมุนตัวกลับเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องพูดมากแล้ว ผัดหน้าทำผมให้ข้าเถิด”

 

 

เมื่อเห็นนางมีท่าทีเช่นนี้ นางกำนัลจึงมิกล้าเอ่ยทักท้วงอันใดอีก เพียงหันมองไปทางประตูที่ไม่เห็นเงาผู้ใดอยู่แล้ว ในใจได้แต่นึกทอดถอนใจเบาๆ เมื่อเทียบกับท่าทีที่ฮองเฮามีต่อองค์หญิงใหญ่แล้ว ท่าทีที่พระสนมมีต่อองค์หญิงรองหรือแม้กระทั่งองค์ชายทั้งสองดูจะเย็นชาเกินไป หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อองค์ชายและองค์หญิงโตขึ้น เกรงว่าคงมีความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นแฟ้นกับพระสนมเท่าไรนัก น่าเสียดายที่คำพูดของนางกำนัลอย่างพวกนาง ต่อให้เอ่ยโน้มน้าวใจพระสนมอย่างไรก็ไม่เป็นผล ทำได้เพียงรับใช้เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของผู้เป็นนายอย่างคล่องแคล่วต่อไปเท่านั้น

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยลุกขึ้นยืนส่องกระจก ก่อนหมุนตัวพร้อมกล่าวว่า “ไปเถิด”

 

 

 

 

ภายในงานเลี้ยงยังคงเต็มไปด้วยเสียงเพลงและการร่ายรำ เยี่ยหลีนั่งอยู่ข้างกายม่อซิวเหยา ตั้งแต่นางเดินเข้ามาในตำหนักใหญ่ก็รับรู้ถึงสายตาจากฝั่งตรงข้ามที่ส่งมายังตนย่างชัดเจน เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่า ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม คือบุคคลสำคัญของงานในค่ำคืนนี้ องค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรง เยียหลี่ว์เหยี่ย

 

 

เมื่อเห็นว่าเยี่ยหลีมองไปทางตน เยียหลี่ว์เหยี่ยจึงเลิกคิ้วพร้อมยกจอกเหล้าในมือขึ้นส่งมาให้นาง สายตาอวดดีที่ไม่ปิดบังนั้น ทำให้เยี่ยหลีหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ตั้งแต่นางแต่งงานกับม่อซิวเหยาเป็นต้นมา ไม่สิ…น่าจะเป็นตั้งแต่ที่นางฟื้นคืนความทรงจำกลับมา ไม่เคยมีผู้ใดมองนางด้วยสายตาอวดดีเช่นนี้มาก่อน

 

 

ดูเหมือนเยียหลี่ว์เหยี่ยจะรับรู้ได้ว่าเยี่ยหลีไม่พอใจ จึงเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม ก่อนหันไปพูดกับคนที่นั่งอยู่ด้านข้างตน

 

 

เยี่ยหลีหลุบตาลงมองมือทั้งสองข้างของตนเอง หรือเยียหลี่ว์เหยี่ยคิดว่านางจะมิกล้าแผลงฤทธิ์ในงานนี้อย่างนั้นหรือ

 

 

มือข้างหนึ่งที่ค่อนข้างเย็นยื่นมาจับมือนางไว้ เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นก็เห็นสายตาที่อบอุ่นและเป็นห่วงเป็นใยของม่อซิวเหยา “ภรรยาอย่าโภรธไปเลย ไว้ข้าจะควักลูกตาเขาออกมาให้เจ้าเอง”

 

 

เยี่ยหลีกลอกตาใส่เขา เอ่ยบ่นงุบงิบว่า “เขาเป็นโอรสที่เป่ยหรงอ๋องให้ความสำคัญมากที่สุด ท่านควักลูกตาเขาออกมาแล้ว เป่ยหรงกับต้าฉู่จะมิต้องเปิดศึกกันหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นยิ้มน้อยๆ “ผู้ใดว่าจะต้องลงมือในยามที่อยู่ในต้าฉู่กัน ไว้รอให้ไปถึงเป่ยหรงก่อนข้าก็มีวิธีควักลูกตาเขาออกมาให้ภรรยาเพื่อชดเชยความผิดได้อยู่ดี”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่มีอันใดหรอก ท่านไปยังเป่ยหรงแล้วสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็ดีมากแล้ว อย่าได้ไปสร้างความขัดแย้งเพิ่มเลย”

 

 

ม่อซิวเหยาจ้องหน้านางด้วยสีหน้าสดใส “ภรรยาเป็นห่วงข้าหรือ สามีดีใจยิ่งนัก”

 

 

เยี่ยหลีอดไม่ได้ยื่นมือไปหยิกเขาให้ทีหนึ่ง ตั้งแต่ที่งานเทศกาลโคมไฟในคืนนั้น เขาชอบแสดงความรักกับนางมากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวภรรยาเดี๋ยวสามีไม่ได้หยุด

 

 

ม่อจิ่งฉีที่นั่งอยู่ทางด้านบนย่อมเห็นท่าทีของพวกเขาอย่างชัดเจน ใบหน้าที่พอเรียกได้ว่าหล่อเหลาบิดเบี้ยวขึ้นเล็กน้อย ม่อจิ่งฉีหันหน้าไปพูดกับหลิ่วกุ้ยเฟยและฮองเฮาว่า “ติ้งอ๋องกับชายาแต่งงานกันมาได้ปีกว่าแล้ว แต่ยังดูรักกันมิเสื่อมคลายเลยนะ”

 

 

ฮองเฮายกเหล้าในจอกขึ้นดื่ม ยิ้มเรียบๆ “ฝ่าบาทตรัสถูกแล้วเพคะ ติ้งอ๋องและชายารักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง เชื่อว่าจะต้องกลายเป็นเรื่องที่กล่าวขวัญกันในเมืองหลวงอย่างแน่นอนเพคะ”

 

 

ม่อจิ่งฉีพยักหน้ายิ้ม “ฮองเฮากล่าวถูกแล้ว สนมรัก เจ้าเห็นว่าอย่างไร”

 

 

หลิ่วกุ้ยเฟยใบหน้างดงามประดุจหิมะ เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ฮองเฮาตรัสถูกแล้วเพคะ”

 

 

หวังเจาหรงที่นั่งถัดจากหลิ่วกุ้ยเฟยเหลือบมองหลิ่วกุ้ยเฟย ก่อนหันมองคู่สามีภรรยาติ้งอ๋อง แล้วจึงยกยิ้มพร้อมกลั้วหัวเราะน้อยๆ ว่า “ได้ยินว่าสมัยนั้นพี่หลิ่วกับติ้งอ๋องชอบพอกันมาตั้งแต่เล็กๆ…” ยังไม่ทันพูดจบดี สายตาคมกริบของม่อจิ่งฉีก็ถูกตวัดส่งไปทางนางทันที หวังเจาหรงถึงกับใจสั่น รู้ตัวว่าได้พูดอันใดผิดเข้าให้แล้ว นางตกใจจนทำตัวไม่ถูกและไม่รู้จะพูดอันใดดี

 

 

ฮองเฮาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หวังเจาหรงดื่มเหล้าไม่เก่งนัก ดื่มให้น้อยหน่อยแล้วกัน พูดจาอันใดเหลวไหลนัก”

 

 

สีหน้าหวังเจาหรงไม่สู้ดีนัก ในใจรู้ดีว่า ฮองเฮาได้ช่วยพูดให้ตนเองแล้ว จึงรีบเอ่ยรับคำอย่างลนลาน ก้มหน้าลงและไม่กล้าพูดอันใดอีก

 

 

“ฝ่าบาท” จู่ๆ เยียหลี่ว์เหยี่ยก็ลุกยืนขึ้น เอ่ยกับม่อจิ่งฉีด้วยเสียงอันก้องกังวานว่า “ชายาขององค์รัชทายาทแคว้นข้าน้อยป่วยและเสียชีวิตลงเร็ว เสด็จพ่อคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองแคว้น จึงมีดำริให้รับองค์หญิงของต้าฉู่กลับไปยังเป่ยหรงด้วยพิธีอย่างชายาเอกขององค์รัชทายาท มิรู้ว่าข้าน้อยจะมีวาสนาได้พบชายาองค์รัชทายาทให้อนาคตหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อได้ยินเยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยเช่นนี้ ในตำหนักจึงเกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันที การแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ในครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา เป็นการรับตัวไปเป็นชายาของท่านอ๋องแห่งเป่ยหรง หรือไม่ก็องค์ชายสักองค์ของเป่ยหรงเท่านั้น ซึ่งต่างกับการแต่งงานไปเป็นชายาเอกขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นเป่ยหรงราวฟ้ากับดินทีเดียว

 

 

ยังมิต้องพูดถึงคนที่มองเรื่องนี้ไม่ออก คนที่มองเรื่องการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ออกอย่างทะลุปรุโปร่งนั้น ความตั้งใจเดิมของพวกเขายังอดที่จะสั่นไหวมิได้ บุตรสาวในตระกูลมีไว้เพื่อการใด เพื่อแต่งงานสานสัมพันธ์เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์หรือความสัมพันธ์ในช่วงสั้นๆ เพราะถึงอย่างไรก็มิมีผู้ใดที่คิดจะหวังพึ่งหญิงสาวคนหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นไปอย่างยาวนานมิใช่หรือ ถึงแม้จะรู้ดีว่าหญิงสาวที่ถูกส่งไปแต่งงาน เมื่อถึงเป่ยหรงแล้วจะมีชีวิตที่ไม่ดีนัก แต่หากมีผลประโยชน์ที่มากพอแล้ว การสละบุตรสาวเพียงคนหนึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่า

 

 

เยี่ยหลีเองก็รู้สึกคาดไม่ถึง ผินหน้าไปสบตาม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาเพียงยิ้มบางๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “การรับตัวไปด้วยพิธีอย่างชายาเอกรัชทายาท กับการแต่งตั้งเป็นชายาเอกแห่งรัชทายาทนั้นแตกต่างกันมิใช่น้อยๆ เลยนะ ผู้ใดว่าคนเป่ยหรงเป็นคนกล้าหาญตรงไปตรงมา ไม่เชี่ยวชาญด้านการวางเล่ห์เหลี่ยมกัน”

 

 

เยี่ยหลีเข้าใจในทัน จริงด้วยสิ นางลืมไปเลยว่าราชวงศ์ของแต่ละแคว้นต่างมีบัญชีทองเป็นของตนเอง ซึ่งรวมถึงแคว้นที่ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าไร้อารยะอย่างเป่ยหรงด้วย หากมิได้รับการขึ้นบัญชีทองอย่างเป็นทางการแล้ว ก็เหมือนประชาชนทั่วไปของต้าฉู่ที่มิได้รับการขึ้นบัญชีบรรพบุรุษตระกูล อย่าว่าแต่รับตัวไปด้วยพิธีชายาเอกแห่งรัชทายาทเลย ต่อให้จัดพิธีอย่างฮองเฮาก็ไม่ถือว่ามีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

เยี่ยหลีนึกถึงเรื่องม่อซิวเหยาให้คนปล่อยข่าวเรื่องที่เยียหลี่ว์เหยี่ยมาเพื่อคัดเลือกเจ้าสาวด้วยตนเอง หากเป็นเพียงชายาหรือชายาอ๋องธรรมดาทั่วไปย่อมไม่อยากให้เลือก แต่หากเป็นถึงชายาแห่งองค์รัชทายาท ฮองเฮาของแคว้นเป่ยหรงในอนาคตแล้ว หากจะไม่ให้เขาได้ผ่านตาก่อนก็ดูจะกระไรอยู่ ยิ่งในขณะที่ต้าฉู่มิมีองค์หญิงที่สามารถส่งออกไปแต่งงานได้เช่นนี้ด้วย

 

 

เยี่ยหลีมองม่อซิวเหยาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ล้อเลียนเขาที่ตั้งใจขโมยไก่แต่กลับต้องเสียข้าวสารเสียเองอย่างเปิดเผย ม่อซิวเหยามิได้ใส่ใจ เพราะถึงอย่างไรต้าฉู่ก็ต้องแต่งหญิงสาวผู้หนึ่งให้ไปอยู่เป่ยหรงอยู่ดี ในเมื่อเยียหลี่ว์เหยี่ยใจกว้างขนาดใช้ชื่อตำแหน่งชายาเอกแห่งองค์รัชทายาท เขาเองก็ไม่รังเกียจที่จะให้เขาเลือกคนที่เขาพอใจจากในขอบเขตที่เขาวางไว้เช่นกัน

 

 

“ภรรยา เจ้าเป็นห่วงคุณหนูตระกูลฮว่าไว้หน่อยจะดีกว่า หากยอมให้เยียหลี่ว์เหยี่ยเลือกด้วยตนเองแล้ว เป็นไปได้ถึงเจ็ดส่วนที่เขาจะเลือกฮว่าเทียนเซียง” และหากรู้ว่าฮว่าเทียนเซียงกับอาหลีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ความเป็นไปได้เจ็ดส่วนนั้นคงได้เพิ่มเป็นเก้าส่วนแน่

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านอ่อง ช่วยทำให้องค์ชายเป่ยหรงเข้าใจถึงความสำคัญในการเลือกชายารัชทายาทที่มีฐานะเป็นราชนิกุลอันสูงส่งแล้ว”

 

 

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “หากตัวเยียหลี่ว์เหยี่ยเองเป็นรัชทายาท เช่นนั้นเขาอาจเลือกสตรีที่เกิดเป็นราชนิกุล เพียงแต่เขาต้องมาเลือกแทนเยียหลี่ว์หง ฮว่าเทียนเซียงมิได้เกิดเป็นราชนิกุลก็จริง แต่ก็เป็นถึงหลานสาวของฮองเฮา ฐานะไม่ด้อยนัก อีกทั้งยังเป็นไปได้มากที่เรื่องนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับตระกูลฮว่าต้องห่างเหินกัน ต้องรู้ก่อนว่า ถึงแม้ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าจะมิได้ออกไปทำศึกแล้ว แต่อิทธิพลของท่านในหมู่ทหารนั้นยังมีอยู่มาก แต่ต่อให้ฮว่าเทียนเซียงแต่งงานออกไปอยู่เป่ยหรง ตระกูลฮว่าก็ไม่มีประโยชน์อันใดกับเยียหลี่ว์หงแม้แต่น้อย”

 

 

เยี่ยหลีก้มหน้าลงนิ่งคิด ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามว่า “หากทำให้เขารู้ว่าหากเทียนเซียงกลายเป็นชายาแห่งองค์รัชทายาทแล้ว เป็นไปได้มากที่จะเป็นกำลังคอยช่วยเหลือเยียหลี่ว์หงเล่า”

 

 

ม่อซิวเหยากุมขมับคิดเล็กน้อย แล้วจึงยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องนี้…อาจเป็นไปได้ คงต้องรอดูว่าจะสามารถหลอกเยียหลี่ว์เหยี่ยได้หรือไม่”

 

 

ม่อจิ่งฉีเองก็ถูกคำพูดของเยียหลี่ว์เหยี่ยทำให้มึนงงจนอึ้งไปเช่นกัน ครู่หนึ่งถึงได้ตั้งสติได้ เอ่ยถามกลั้วหัวเราะว่า “ที่องค์ชายเยียหลี่ว์พูดมาเป็นความจริงหรือ”

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงใจว่า “ย่อมเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยได้รับพระบัญชาจากเสด็จพ่อให้เดินทางมารับองค์หญิงแห่งต้าฉู่กลับไปด้วยตนเอง หรือว่านี่ยังแสดงความจริงใจได้ไม่พอพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อจิ่งฉีแววตาเป็นประกายเล็กน้อย หันมองเยี่ยหลีที่กำลังก้มหน้าพูดคุยกับม่อซิวเหยาอยู่ “ชายาติ้งอ๋อง เดิมทีเรื่องนี้ให้เจ้าเป็นผู้จัดการ เรื่องการคัดเลือกคนนี้เจ้ามีในใจแล้วหรือไม่”

 

 

ในใจเยี่ยหลีได้แต่นึกสาปแช่งม่อจิ่งฉี เมื่อตอนสายนางได้ให้คนนำรายชื่อคนที่นางเลือกไปถวายให้เขาแล้ว ที่ม่อจิ่งฉีทำเป็นไม่รู้เรื่องเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน

 

 

เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น เอ่ยด้วยความเคารพว่า “ทูลฝ่าบาท มีอยู่ในใจแล้วสามสี่รายชื่อเพคะ ก่อนเข้าวังมานี้ได้ให้คนนำไปถวายให้แก่ฝ่าบาทแล้ว แต่เกรงว่าด้วยราชกิจที่ยุ่งวุ่นวายคงทำให้ยังมิมีเวลาได้ทอดพระเนตร”

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยอมยิ้มมองเยี่ยหลี ก่อนเลิกคิ้วพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ในเมื่อยังมิได้คัดเลือก เช่นนั้นไม่รู้ว่าข้าน้อยจะขอเข้าร่วมการคัดเลือกด้วยได้หรือไม่” พวกเจ้าไม่ได้บอกว่าข้าจะมาเลือกองค์หญิงกลับไปด้วยตนเองหรือ ข้าจะเลือกให้พวกเจ้าดู เพียงแต่…ผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนื้คือชายาติ้งอ๋อง ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่น่ายินดียิ่งนัก…เยียหลี่ว์เหยี่ยมองสตรีที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วลอบนึกวางแผนด้วยความลิงโลดในใจ

 

 

“ทูลฝ่าบาท องค์ชายเยียหลี่ว์ ถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษจากต่างแคว้น เช่นนี้จะทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูแห่งต้าฉู่ของเราต้องเสียหาย” ขุนนางตระกูลใหญ่ที่มีชื่อบุตรสาวอยู่ในรายชื่อท่านหนึ่งลุกยืนเอ่ยขึ้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้รับเลือกหรือไม่ แต่หากได้รับเลือกและต้องไปอยู่ที่เป่ยหรงแล้ว เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงมิได้พบหน้ากันอีก แต่หากมิได้รับเลือก ชื่อเสียงของบุตรสาวตระกูลตนคงได้เสื่อมเสียจนหมดสิ้นเป็นแน่ แล้วต่อไปจะได้แต่งงานออกไปได้อย่างไร

 

 

“ชายาของรัชทายาทแห่งแคว้นนั้นอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ องค์ชายเป่ยหรงเป็นห่วงในเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องสมควร แค่เพียงคัดเลือกโดยละเอียดสักหน่อยก็น่าจะใช้ได้แล้ว” จู่ๆ หลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่อีกด้านก็เอ่ยปากขึ้น

 

 

ฮองเฮาอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เหลือบมองหลิ่วกุ้ยเฟยเล็กน้อย ในสถานการณ์เช่นนี้ ฮองเฮายังมิได้เอ่ยอันใด แต่กุ้ยเฟยนางหนึ่งกลับเอ่ยปากพูดขึ้น ต่อให้เป็นที่โปรดปรานเพียงใดก็ถือว่าเสียมารยาท

 

 

ม่อจิ่งฉีหันมองหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างคาดไม่ถึง สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยยังคงราบเรียบ นั่งอยู่ข้างกายม่อจิ่งฉีอย่างสง่าผ่าเผยประหนึ่งเมื่อครู่ตนมิได้พูดอันใดกระนั้น

 

 

ม่อจิ่งฉีมองสนมรักที่นั่งอยู่ข้างกายอย่างใช้ความคิด ก่อนเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ในเมื่อสนมรักกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นก็ทำตามที่องค์ชายเยียหลี่ว์ว่าก็แล้วกัน”

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยทำท่าคารวะพร้อมอมยิ้ม “ขอบพระทัยฝ่าบาท”

 

 

ม่อจิ่งฉีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เพื่อความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น องค์ชายเยียหลี่ว์มิต้องมากพิธี”